ログインเจิ้งซูอี้ไร้ความหวั่นเกรงต่อแม่เฒ่าจาง นางหาใช่หลิวอันอันที่ถูกรังแกมาตั้งแต่เกิดผู้นั้น นางจ้องกลับแม่เฒ่าจางตรงๆ ไม่ก้มหน้าตัวสั่นเหมือนแต่ก่อน
“ว่าอย่างไรคุยกันมาตั้งนานพวกท่านจะยอมคืนที่ดินที่เป็นของท่านปู่ข้ามาหรือจะให้เราไปตีกลองร้องทุกข์ที่อำเภอ ว่าซิ่วไฉตระกูลหลิวอกตัญญูทั้งยังคิดฮุบเอาสมบัติของผู้ที่ส่งเสียเขาเล่าเรียนไปเป็นของตนเอง พวกท่านคิดว่าที่สถานศึกษาที่หลิวฟู่เฉิงไปจะยังมีใครยอมคบหากับเขาอีกหรือไม่ ดีไม่ดีเขาอาจต้องคืนตำแหน่งซิ่วไฉที่ได้มาอย่างยากลำบากไปด้วยก็ได้”
เจิ้งซูอี้รู้จุดอ่อนของคนตระกูลหลิวดีเพราะนางเป็นถึงผู้นำทัพหน้าเรื่องแค่นี้นางมีหรือจะมองไม่ออก คนตระกูลหลิวถึงกับอ้ำอึ้งไม่รู้ว่าจะต้องตอบโต้กลับไปอย่างไร จางซานเหนียงดึงแขนเสื้อแม่เฒ่าหลิวอยู่อย่างนั้น นางกลัวว่าเจิ้งซูอี้จะทำอย่างที่นางพูดจริงๆ หากต้องคืนตำแหน่งซิ่วไฉไปนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทุกครั้งที่นางกลับบ้านเดิมทุกคนต่างก็นอบน้อมเกรงใจนางเพราะนางมีบุตรชายเป็นซิ่วไฉ
แม่เฒ่าจางถลึงตาใส่สะใภ้ใหญ่ของตน นางคิดว่าวันนี้คงจะจัดการกับคนบ้านหลิวตงจวิ้นไม่ได้แน่ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของนาง แม่เฒ่าจางล้มตัวลงแสร้งเป็นลมทันทีจางซานเหนียงที่ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าจางแกล้งแสดงจึงตกใจร้องออกมาเสียงหลง
“ท่านแม่ท่านเป็นอะไรไปฟื้นขึ้นมาสิเจ้าคะ หมอใครก็ได้เรียกท่านหมอหลี่ให้ที”
จางซานเหนียงเขย่าร่างแม่สามีแรงๆ แม่เฒ่าจางแอบหยิกแขนจางซานเหนียงเพื่อให้นางรู้ตัวว่านางแกล้งเป็นลมเท่านั้น แต่จางซานเหนียงกลับคิดว่านางกำลังชักเกร็ง
“ท่านแม่ชักเกร็งแล้วเร็วเข้ารีบหน่อย”
แม่เฒ่าจางได้แต่กัดฟันก่นด่าลูกสะใภ้ที่แสนโง่งมของตนในใจ ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของเจิ้งซูอี้ นางหันไปกระซิบบอกบางอย่างกับหลิวซีฮัน เมื่อเด็กชายได้ฟังก็พยักหน้าจากนั้นจึงวิ่งไปที่หลังเรือนอย่างรวดเร็ว
ชาวบ้านที่มามุงดูต่างขยับออกเพื่อให้แม่เฒ่าจางได้รับอากาศถ่ายเทเพราะพวกเขาคิดว่านางเป็นลมไปแล้วจริงๆ หลิวซีฮันวิ่งกลับมาพร้อมกับกระบอกไม้ไผ่ เขายื่นมันให้กับเจิ้งซูอี้
“ท่านพี่”
นางรับกระบอกไม้ไผ่มาจากนั้นจึงยิ้มอย่างมีเลศนัย ไส้เดือนนับร้อยตัวที่หลิวซีฮันและหลิวอันอันไปขุดเพื่อนำมาเป็นอาหารไก่ป่าที่หลิวตงจวิ้นจับมาเมื่อสองวันก่อน ตอนแรกพวกเขาจะนำมันไปขายแต่วันต่อมามันได้ออกไข่สองฟองหลิวซีฮันจึงขอร้องบิดาไม่ให้ขายมันและยังบอกว่าเขาจะเลี้ยงมันเอง ดังนั้นพวกเขาจึงเลี้ยงมันเอาไว้หลังบ้าน
เจิ้งซูอี้เดินไปด้านหลังของจางซานเหนียงตั้งแต่เมื่อใดไม่มีใครรู้นางเทไส้เดือนออกจากกระบอกไม้ไผ่ลงไปที่ตัวแม่เฒ่าจาง ไส้เดือนนับร้อยดิ้นยั้วเยี้ยบนร่างของนาง จางซานเหนียงทิ้งแม่เฒ่าจางที่นอนพิงนางอยู่กระโดดหนีด้วยความขยะแขยง
แม่เฒ่าจางที่แสร้งเป็นลมหรี่ตาขึ้นดูเมื่อเห็นไส้เดือนยั้วเยี้ยเต็มหน้าอกตนเองนางก็กรีดร้องออกมาเหมือนหมูถูกเชือด เจิ้งซูอี้ปิดปากหัวเราะด้วยความสนุกสนาน
“นางเด็กสารเลวแกกล้าดีอย่างไรเอาไส้เดือนมาเทใส่ข้า”
แม่เฒ่าจางชี้หน้าด่าเจิ้งซูอี้เสียงดัง นางยักไหลทำท่าไม่รู้ไม่ชี้
“ไม่เป็นลมต่อแล้วหรือยายเฒ่า”
เจิ้งซูอี้ตอกกลับนาง ชาวบ้านเหมือนจะเข้าใจความหมายของเจิ้งซูอี้ทันที
“เลิกเล่นแง่เสียที จะคืนมาดีๆ หรือต้องให้ข้าไปป่าวประกาศเรื่องของหลานชายท่าน”
แม่เฒ่าจางได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความแค้นใจ หากต้องแลกที่ดินกับชื่อเสียงของหลานชายนางแล้วนั้น แม่เฒ่าจางชั่งใจอย่างตัดสินใจไม่ได้
“ท่านย่า”
หลิวฟู่เฉิงเรียกแม่เฒ่าจางอย่างไม่สบายใจ เมื่อได้ยินเสียงหลานชายหัวแก้วหัวแหวนแม่เฒ่าจางก็ตัดสินใจได้ทันที
“ได้ข้าจะคืนที่ดินให้พวกเจ้า แต่เพียงแค่ที่ดินครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะอีกครึ่งข้าจะถือว่าเป็นค่าเลี้ยงดูหลิวตงจวิ้น”
เหอะ!!สุดท้ายยายเฒ่าเจ้าเล่ห์ก็ยังไม่คิดที่จะยอมรามือจากที่ดินของท่านปู่หลิวอันอัน ช่างเถอะได้มาครึ่งหนึ่งก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
“เช่นนั้นท่านหัวหน้าหมู่บ้านช่วยเป็นพยานด้วยนะเจ้าคะ และช่วยเขียนหนังสือตัดขาดเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างบิดาของข้าและตระกูลหลิวด้วยว่า ไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นก็ตามพวกเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ไม่เช่นนั้นต่อไปพวกเขาจะต้องมารังควานบ้านข้าไม่จบไม่สิ้นเสียที”
เจิ้งซูอี้พูดจบก็หันไปมองแม่เฒ่าจางและคนบ้านหลิวคนอื่นๆ
“เจ้า!!นางเด็กสารเลว”
แม่เฒ่าจางชี้มาที่เจิ้งซูอี้ด้วยนิ้วอันสั่นเทา นางไม่สนใจคนไร้ค่าพวกนั้นหลังจากแบ่งที่ดินและเขียนหนังสือตัดขาดเรียบร้อยคนสกุลหลิวและชาวบ้านต่างก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงสามสี่คนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหลิวตงจวิ้นที่ยังอยู่คุยกับพวกเขา
“อาจวิ้นเจ้าทำเช่นนี้ข้าคิดว่ามันดีต่อลูกเมียของเจ้าแล้วล่ะอย่าได้คิดมากเลย”
สหายที่เติบโตมาด้วยกันกับเขาที่ช่วยพูดออกหน้าให้ก่อนหน้านี้ชื่อว่าอู๋เซียนเว่ย มองท่าทางของหลิวตงจวิ้นที่ดูเหมือนจะไม่สบายใจ จึงเอ่ยปลอบสองสามคำ
“ข้ารู้”
หลิวตงจวิ้นพูดเสียงเบา หลังจากสหายของเขาจากไปหลิวตงจวิ้นก็เข้ามาดูหวังเจียอี๋ที่กำลังทำแผลอยู่ในเรือน
“เป็นอย่างไรบ้างอาอี๋เจ็บหรือไม่ ข้าขอโทษทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ข้าพาเจ้ามาที่นี่แต่กลับปล่อยให้พวกเขารังแกเจ้ามาหลายปี หากไม่ใช่เพราะความกตัญญูที่โง่งมของข้าเจ้าคงไม่ต้องมาบาดเจ็บเช่นนี้”
หวังเจียอี๋ส่ายหน้า
“ท่านอย่าได้โทษตนเอง หากว่าท่านเป็นเหมือนพวกเขาข้าก็คงไม่เลือกท่านแน่นอน”
ทั้งสองแสดงความรักและความห่วงใยต่อกันและกันทางสายตา เจิ้งซูอี้พาหลิวซีฮันออกมานอกห้องหลังจากที่วิญญาณของนางมาอยู่ในร่างนี้นางคงต้องทำประโยชน์ให้พวกเขาบ้าง
เจิ้งซูอี้ทานโจ๊กมันเทศที่เย็นไปนานแล้วอย่างไม่รู้สึกอะไร นางถูกฝึกเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กตอนอยู่ในสนามรบอาหารที่แย่กว่านี้นางก็เคยกินมาแล้ว นางคว้าเอาตะกร้าสะพายหลังและมีดผ่าฟืนเล่มใหญ่พาหลิวซีฮันเดินไปทางลำธารที่ไหลมาจากบนภูเขา
เจิ้งซูอี้ตัดไม้ไผ่มาหนึ่งลำ จากนั้นผ่าด้านปลายออกเป็นซี่ๆ แล้วเหลาให้แหลมเอากิ่งไม่คั่นระหว่างซีกให้ห่างจากกันเล็กน้อย ทุกวิธีการเอาตัวรอดของนางล้วนร่ำเรียนมาจากท่านปู่แม่ทัพใหญ่แห่งซีหยวน ป่านนี้ทุกคนคงจะเศร้าใจที่นางตายจากไปโดยไม่ได้ร่ำลา แต่การเกิดและตายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนตระกูลเจิ้งเพราะพวกเขารู้ดีว่าท่ามกลางสนามรบทุกอย่างล้วนแขวนเอาไว้ที่คมหอก และเมื่อนางได้เกิดใหม่ที่นี่ดังนั้นตอนนี้นางและตระกูลเจิ้งแห่งซีหยวนจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว
ซีหยวนไห่หนานพูดอย่างอารมณ์ดีเพราะตอนนี้เจ้านกน้อยที่หลับใหลมาอย่างยาวนานได้ฟื้นคืนสติแล้ว เจิ้งซูอี้ยังไม่หลุดจากภวังค์นางพยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่เขาบอกภายในหัว ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่องค์ชายห้าอีกต่อไปแล้วตอนนี้เขาคือรุ่ยอ๋อง นางหลับไปเพราะบาดเจ็บหนักถึงสิบห้าวัน แล้วครอบครัวของนางล่ะ“คนในครอบครัวของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ศพพวกนั้นอีก”เจิ้งซูอี้เมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบถามเขาอย่างร้อนรน นางไม่ต้องการให้ครอบครัวของนางต้องเดือดร้อนเพราะเรื่องนี้“ศพพวกนั้นได้ถูกจัดการอย่างถูกต้องจากคนของทางการ บิดามารดาและน้องชายของเจ้าก็ปลอดภัยดีพวกเขายังอยู่ที่เดิมแต่ไม่ต้องห่วง ข้าจัดการตัวปัญหาของครอบครัวของเจ้าให้เจ้าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน”จากนั้นซีหยวนไห่หน่านก็เล่าเรื่องราวหลังจากที่นางสลบไปให้ฟัง เจ้าหน้าที่ทางการเดินทางมาหมู่บ้านตระกูลสือเพื่อยืนยันศพที่นางสังหารและพบว่าพวกมันคือโจรตามใบประกาศจับที่ทางการต้องการตัวมาช้านานจากนั้นมีคนไปแจ้งเบาะแสว่าเห็นหลิวฟู่เฉิงติดต่อกับกลุ่มโจรเหล่านี้เขาจึงถูกจับตัวไป แม่เฒ่าจางเองก็ถูกจับไปข้อหารับเงินจากกลุ่มโจรเช่นกัน หลักฐานคือเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่พบในเรือนข
เงาที่ถูกยิงส่งเสียงร้อง อึก!! เพียงเท่านั้นจากนั้นจึงล้มลง เงาเหล่านั้นเมื่อเห็นพรรคพวกของตนถูกสังหารพวกมันก็ตกใจหันรีหันขวางอย่างร้อนรน จากนั้นธนูดอกที่สองสามสี่ก็ตามมา เหล่าเงาที่ต้องการเข้าไปในเรือนของนางล้มลงไปกองที่พื้นดั่งใบไม้ร่วงซีหยวนไห่หนานกับเหล่าองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่อีกมุมหนึ่ง เพื่อเฝ้าดูว่าเจ้านกน้อยของเขาจะจัดการกับคนเหล่านั้นอย่างไร ท่าทางของเขาดูคึกคักจนออกนอกหน้าทำให้จื่อรุ่ยที่อยู่ด้านหลังแอบกลอกตาให้กับความสนุกที่ไม่ดูเวลาของเจ้านาย ไม่ยอมช่วยนางแล้วยังมาแอบดูอีก หากนางรู้เข้าคงเอาธนูนั่นยิงแสกหน้านายท่านแน่นอนลูกธนูสิบดอกของนางถูกยิงออกไปจนหมด เจิ้งซูอี้ทิ้งคันธนูไปจากนั้นจึงกระโดดลงมาจากต้นอู๋ถงประจันหน้ากับเงาเหล่านั้น นางดึงมีดสั้นออกมาจากเอวจากนั้นพุ่งเข้าใส่แขกที่ไม่ได้รับเชิญยามวิกาลพวกนี้ ดูเหมือนว่าในเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้นจะยังมีคนที่พอมีฝีมืออยู่บ้างเขาใช้ดาบใหญ่เข้าปะทะมีดสั้นของนาง ทั้งสองต่อสู้กันหลายกระบวนท่า เสียงการต่อสู้ของพวกเขาเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านที่เข้านอนไปแล้วเริ่มออกจากเรือนมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เจิ้งซูอี้ใช้มีดสั้นฟันแขนของชายร่างให
“คุณชายขอรับท่านกำลังหาอะไรอยู่หรือ”จื่อรุ่ยเอ่ยถามจากทางด้านหลัง ซีหยวนไห่หนานหันกลับมามองเขา จากนั้นทำนิ้วประกบกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม“ข้าต้องการกล่องที่งดงามสักหน่อย ขนาดเท่านี้”จื่อรุ่ยเข้าใจในทันที เขาเดินออกไปด้านนอกสักพักจากนั้นกลับมาพร้อมกล่องไม้สลักลวดลายดอกไห่ถังบนฝากล่องยื่นให้ผู้เป็นนายดู“กล่องขนาดเท่านี้ได้หรือไม่ขอรับ”ซีหยวนไห่หนานรับกล่องมาดูจากนั้นนำหยกพกที่เอววางลงไป จื่อรุ่ยตกใจจนตาโตเขาไม่นึกว่าองค์ชายจะลงทุนยกหยกประจำตัวที่สลักคำว่าไห่หนานให้เป็นของขวัญแก่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดา“คุณชายแน่ใจว่าจะใช้หยกนี้จริงๆ หรือขอรับ”จื่อรุ่ยถามนายเหนือหัวอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซีหยวนไห่หนานพยักหน้าจื่อรุ่ยได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ช่างเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ที่เป็นถึงผู้ครองแคว้นยังห้ามองค์ชายห้าผู้นี้มิได้ เขาที่เป็นเพียงองครักษ์เล็กๆ เท่านั้นจะทำได้อย่างไร หลิวซีฮันที่ยังยืนอยู่ในห้องมองคนนั้นทีคนนี้ทีแต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา เมื่อรู้สึกเบื่อเขาจึงอุ้มเสี่ยวหลงเดินกลับเรือนไปหลังจากที่หลิวซีฮันกลับมาที่เรือนแล้ว จากนั้นไม่นานซีหยวนไห่หนานเองก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน ครอบครัวของหลิวตงจ
คนสกุลหลิวต่างตกใจไม่คิดว่าจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้ อาหารการกินที่มีสำหรับพวกเขาสกุลหลิวยังแทบจะไม่พอ นี่ยังจะเพิ่มชายร่างใหญ่ผู้นี้เข้ามาอีกเห็นทีพวกเขาจะอยู่ไม่พ้นหน้าหนาวแน่“อาเฉิงหลานช่วยมาคุยกับย่าสักหน่อยได้หรือไม่”แม่เฒ่าจางเดินไปหาหลานชายอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะข้างกายเขามีชายร่างใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่นยืนอยู่ แม่เฒ่าจางดึงแขนหลานชายเข้ามาคุยในห้องของนาง“เฉิงเอ๋อย่าไม่ว่าอะไรหรอกที่หลานจะมีผู้ติดตามเพราะอีกหน่อยหากหลานได้เป็นขุนนางในราชสำนักหลานจะมีคนติดตามมากมายแน่นอน แต่ตอนนี้ครอบครัวของเราเกรงว่าจะไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้....หลานช่วยคิดดูอีกครั้งได้หรือไม่”หลิวฟู่เฉิงนึกว่าแม่เฒ่าจางมีปัญญาหาเรื่องฟู่เถี่ยโถวที่ติดตามเขามาเสียอีกที่แท้ก็เรื่องเงิน หลิวฟู่เฉิงหยิบถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อวางไว้ด้านหน้าของนาง“นี่คือเงินหนึ่งร้อยตำลึงขอรับท่านย่า ทีนี้คงไม่มีใครมีปัญหากับการที่ฟู่เถี่ยโถวอยู่ที่นี่แล้วนะขอรับ”หลิวฟู่เฉิงพูดกับแม่เฒ่าจางทั้งยังบอกผู้ที่แอบฟังอยู่นอกห้องให้รับรู้โดยทั่วกัน แม่เฒ่าจางรีบตะครุบถุงเงินทันที นางไม่เคยจับเงินมากมายเช่นนี้มาก่อนในชีวิต แม่เฒ่าจาง
“ฝากเจ้าไปขอบใจพี่ใหญ่แทนข้าด้วยนะ เมื่ออาเฉิงสอบได้จีว์เหรินเมื่อใดรับรองว่าตระกูลหลิวจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้แน่”นี่เป็นสิ่งที่จางเมิ่งเสวี่ยอยากได้ยิน เมื่อพี่ฟู่เฉิงสอบได้จีว์เหรินท่านปู่ก็จะมาคุยเรื่องแต่งงานของนางกับเขา ถึงแม้สองตระกูลจะรู้กันเรื่องนี้อยู่แล้วก็ตามแต่นางก็อยากประกาศให้ใครต่อใครรู้ว่าพี่ฟู่เฉิงเป็นของนาง แม่พวกดอกท้อที่หวังจะมาเป็นสะใภ้ตระกูลหลิวจะได้เลิกล้มความคิดนั้นซะจางเมิ่งเสวี่ยอยู่คุยกับแม่เฒ่าจางสักพัก เมื่อรู้ว่าวันนี้ตนไม่สามารถพบหน้าพี่ฟู่เฉิงได้นางจึงไม่อยากอยู่ต่อ จางเมิ่งเสวี่ยขอตัวลาแม่เฒ่าจางจากนั้นจึงเดินออกจากตระกูลหลิวไป นางเดินยังไม่ถึงหน้าหมู่บ้านสายตาก็ไปสะดุดบางสิ่งเข้า ชายหนุ่มรูปงามในชุดขาวกำลังยืนชมบรรยากาศยามเช้าที่กำลังมีหมอกลงหนาอย่างเพลิดเพลินเมื่อก่อนนางคิดว่าหลิวฟู่เฉิงเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา แต่หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น หลิวฟู่เฉิงเทียบไม่ติดเลยสักนิดเดียว เหตุใดหมู่บ้านตระกูลสือถึงได้มีชายหนุ่มรูปงานเกลื่อนกลาดเช่นนี้จางเมิ่งเสวี่ยแสร้งเดินไปใกล้ชายหนุ่มผู้นั้นจากนั้นจึงแสร้งล้มลงใกล้ๆ กับที่
“นี่ท่านป้าสือท่านบอกว่าจะไปหาบ้านของชายหนุ่มมาให้ข้าเลือกไม่ใช่หรือ ผ่านไปหลายวันแล้วเหตุใดท่านยังไม่มาหาข้าสักที”หลิวตงจิ้นถามแม่สื่อแซ่สือที่ทำหน้าที่เป็นผู้หาบ้านชายหนุ่มหญิงสาวที่เหมาะสมให้แต่งงานกัน นางเป็นคนที่เชื่อถือได้ในหมู่บ้านตระกูลสือและหมู่บ้านใกล้เคียง หากถึงเวลาที่บุตรสาวหรือบุตรชายแต่งงานแล้วล่ะก็ไม่ว่าบ้านไหนก็ล้วนมาหานาง แม่สื่อสือที่อายุราวห้าสิบกว่าถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ“ไม่ใช่ว่าข้าไม่หา แต่ละแวกหมู่บ้านใกล้เคียงไม่มีใครต้องการแต่งงานกับบุตรสาวเจ้าเลยสักคน”หลิวตงจวิ้นขมวดคิ้วมุ่นด้วยท่าทางไม่เข้าใจ“ก็เรื่องที่บุตรสาวของเจ้ามีวิญญาณร้ายคอยตามติด บ้านฝ่ายชายบ้านไหนก็ไม่กล้าแต่งบุตรสาวเจ้าเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ พวกเขาบอกว่ามันเป็นลางไม่ดี”แม่สื่อสืออธิบายเสียงอ่อย“เหลวไหลทั้งเพ ท่านไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากที่ไหน”หลิวตงจวิ้นโพลงออกมาด้วยความโมโห จริงอยู่ที่บุตรสาวของเขาเคยฝันเห็นท่านพ่อของเขา แต่ท่านพ่อหาใช่วิญญาณร้ายอย่างที่พวกเขาลือกัน“จะที่ไหนซะอีกก็ทุกที่ที่ข้าไปน่ะสิ เรื่องของลูกสาวเจ้าเล่าลือกันไปหลายหมู่บ้านแล้วไม่รู้หรือ เห็นทีครั้งนี้ข้าคงจะช่วยเหลือเจ้







