หลังจากที่หลินเข่อซิงสั่งตัดชุดเสร็จ ทั้งเธอและหลิงเฉินก็เดินออกจากร้านผ้าด้วยความรู้สึกตื่นเต้น โดยเฉพาะหลินเข่อซิงที่อดใจรอชุดใหม่ไม่ไหวเลยสักนิด
"ข้าคิดว่าชุดกี่เพ้าของข้าต้องออกมาสวยแน่ๆ!" หลินเข่อซิงพูดพร้อมยิ้มกว้าง "ข้าก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ คุณหนู จะต้องโดดเด่นไม่เหมือนใครแน่ๆ" หลิงเฉินพูดเสริมด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวขึ้น "คุณหนู เจ้าคะ เมื่อครู่เราเดินผ่านโรงเตี๊ยมอวิ๋นหลง ท่านสนใจลองไปทานอาหารที่นั่นไหม? ข้าได้ยินว่าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องเป็ดย่างกับซุปเนื้อ" “ดีเลย! ข้ากำลังหิวพอดี ลองดูซักหน่อยเถอะ!” หลินเข่อซิงตอบทันทีด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทั้งสองเดินไปยังโรงเตี๊ยมอวิ๋นหลง บรรยากาศในร้านคึกคักเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยมาแตะจมูก หลินเข่อซิงนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับสั่งเมนูที่หลิงเฉินแนะนำ "ข้าขอเป็ดย่างกับซุปเนื้ออย่างที่เจ้าแนะนำละกัน ข้าตื่นเต้นจะแย่แล้ว!" เธอพูดพร้อมกับหัวเราะ ไม่นานนัก อาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมอบอวลของเป็ดย่างทำให้หลินเข่อซิงอดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล "โอ้โห! หอมเหลือเกิน ข้าว่านี่ต้องอร่อยแน่ๆ!" เธอตักซุปเนื้อขึ้นมาชิมแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ “อืม... รสชาติดีมาก! เนื้อไม่เหนียวเลย นุ่มละมุนแทบละลายในปาก ส่งนซุปก็เข้มข้นมากๆ กลิ่นหอมของเนื้อหอมวนอยู่ในปากขึ้นไปที่จมูกเลยทีเดียว” หลิงเฉินขำพรืด “คุณหนูพูดอะไรประหลาดอีกแล้ว ฮ่าๆ” ทั้งสองเพลิดเพลินกับมื้ออาหารกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นของโรงเตี๊ยมที่คึกคัก หลังจากอิ่มหนำสำราญ ทั้งคู่ก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อเดินกลับไปขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกลจากตลาด ระหว่างที่หลินเข่อซิงกับหลิงเฉินเดินกลับ พวกเธอได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทดังมาจากซอยข้างหน้า คนสองกลุ่มกำลังตะโกนเถียงกันอย่างรุนแรง เสียงดังก้องไปทั่วตลาด ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาต่างพากันหลบเลี่ยง แต่หลินเข่อซิงที่กำลังมองเหตุการณ์อยู่ก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาในหัวทันที “เดี๋ยวนะ! ฉากนี้...มันเหมือนในนิยายเลยนี่นา!” เธอพึมพำออกมาอย่างตื่นเต้นและตื่นตระหนกในเวลาเดียวกัน “นี่มันคือฉากที่นางเอกเกือบจะโดนลูกหลงจากการทะเลาะวิวาท แล้วพระเอกก็มาช่วยนางได้ทันเวลา...” “คุณหนู? ท่านว่าอะไรนะเจ้าคะ?” หลิงเฉินถามอย่างงุนงง ขณะที่ทั้งคู่หยุดยืนห่างจากกลุ่มคนทะเลาะกัน หลินเข่อซิงยังคงจ้องมองเหตุการณ์ข้างหน้า หัวใจเธอเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นและความกังวล เพราะเธอรู้ว่าถ้าเรื่องดำเนินไปตามนิยายที่เธอเคยอ่าน เธอเองอาจจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเหมือนนางเอกในเรื่อง “หลิงเฉิน เราต้องถอยไปไกลกว่านี้... ข้าจำได้ว่ามีคนโดนลูกหลงจากการทะเลาะกัน!” หลินเข่อซิงพูดด้วยความรีบเร่ง ขณะที่พยายามพาหลิงเฉินเดินถอยหลัง แต่ยังไม่ทันที่พวกเธอจะหลบออกไปไกลพอ เสียงตะโกนและการทะเลาะกันก็ดังสนั่นยิ่งขึ้น เศษหินเศษอิฐลอยมากลางอากาศ และในขณะนั้น หลินเข่อซิงเห็นว่ามีวัตถุบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามาทางเธออย่างรวดเร็ว “อ๊า!” เธออุทานเสียงดัง หัวใจเต้นรัวอย่างตกใจ ไม่ทันที่เธอจะคิดทำอะไร เสี้ยววินาทีต่อมา ร่างสูงของใครบางคนก็ก้าวเข้ามาขวางหน้าพร้อมกับใช้มือปัดวัตถุนั้นออกไปทันที หลินเข่อซิงเบิกตากว้างมองผู้ที่ช่วยชีวิตเธอ ในใจนึกว่าจะต้องเป็นอวิ๋นเฟยหลง แต่เมื่อเธอมองหน้าเขาอย่างใกล้ชิด หัวใจของเธอกลับพลิกผันไป “ท่าน... หานเจี๋ย?” เธอพึมพำออกมาด้วยความแปลกใจ ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่อวิ๋นเฟยหลงอย่างที่เธอคิด แต่กลับเป็นองค์ชายห้าหานเจี๋ยที่มีท่าทีสงบนิ่งและเยือกเย็น เขามองเธอด้วยแววตาแฝงความสนใจเล็กน้อย ราวกับกำลังสำรวจว่าหลินเข่อซิงเป็นใคร “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หานเจี๋ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แฝงด้วยความห่วงใยเล็กน้อย หลินเข่อซิงยิ้มแห้งๆ และพยักหน้า “ข้าสบายดี ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้า” ในใจของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและแปลกใจ ทำไมเรื่องถึงไม่เป็นไปตามที่เธอคาดไว้? แล้วทำไมคนที่มาช่วยเธอถึงเป็นหานเจี๋ยแทนที่จะเป็นอวิ๋นเฟยหลง? หานเจี๋ยเพียงพยักหน้าเล็กน้อย “ดีแล้ว ถ้าเจ้าไม่เป็นอะไร ข้าจะไปจัดการเรื่องนี้ต่อ” จากนั้นเขาก็หันกลับไปจัดการกับกลุ่มคนทะเลาะกัน ด้วยท่าทีสงบนิ่งแต่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ ขณะที่หลินเข่อซิงยืนมองอย่างอึ้งๆ "องค์ชายห้าช่างสง่างามเหลือเกิน..." หลิงเฉินกระซิบเบาๆ ข้างๆ หลินเข่อซิงที่ยังคงสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "อืม... ข้าก็คิดอย่างนั้น" หลินเข่อซิงตอบด้วยน้ำเสียงเบาๆ แต่ในใจเธอก็ยังคงตั้งคำถามว่าทำไมฉากนี้ถึงไม่เป็นไปตามนิยายที่เธอจำได้ "บางที... ชีวิตในโลกนี้อาจไม่ได้เหมือนในนิยายทุกอย่าง" เธอคิดในใจ ขณะเดินตามหลิงเฉินกลับไปยังรถม้า คืนนั้น หลินเข่อซิงนอนพลิกไปพลิกมาบนเตียง ความคิดในหัวของเธอวนเวียนอยู่กับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เธอทะลุมิติมายังโลกนี้ หลายสิ่งหลายอย่างดูจะผิดไปจากนิยายที่เธอเคยอ่าน ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เธอจำได้อย่างแม่นยำ 'ทุกอย่างมันผิดเพี้ยนไปหมด' เธอคิดในใจพลางถอนหายใจยาว ดวงตาจ้องมองเพดานห้องขณะที่พลิกตัวไปมา “ในนิยาย พระเอกน่าจะเริ่มสนใจนางเอกแล้วสิ... ทำไมแทนที่จะเป็นอย่างนั้น เขากลับดูสนิทกับหยางเฟยฮุ่ยมากกว่า? แล้วนางร้ายก็ยังเงียบ ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยสักอย่าง หรือว่านางวางแผนบางอย่างอยู่?” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ คิ้วขมวดแน่นด้วยความสงสัย และยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ในวันนี้ก็ทำให้เธอสับสนยิ่งขึ้น เมื่อคิดถึงฉากการทะเลาะวิวาทที่เธอจำได้ว่า นางเอกในนิยายจะโดนลูกหลง และอวิ๋นเฟยหลงจะเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย “แล้วทำไมคนที่มาช่วยข้ากลับกลายเป็นหานเจี๋ยไปได้ล่ะ?” หลินเข่อซิงนั่งผุดลุกขึ้นบนเตียงทันทีด้วยความงุนงง เธอนึกถึงท่าทางสงบนิ่งของหานเจี๋ยและรู้สึกแปลกใจ ทำไมเรื่องราวถึงไม่เป็นไปตามที่เธอเคยอ่าน? "หรือว่า...โลกนี้มันเปลี่ยนไปเพราะข้า?" เธอพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง ขณะที่ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ความคิดต่างๆ ยังคงรุมเร้าไม่หยุด เธอนอนพลิกไปมา พยายามหาคำตอบให้กับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกัน ที่บนกิ่งไม้ใหญ่ใกล้หน้าต่างห้องนอนของหลินเข่อซิง อวิ๋นเฟยหลงนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางความมืด ดวงตาคมของเขาจ้องมองไปยังห้องของเธอ แสงจันทร์ส่องลอดผ่านกิ่งไม้และใบไม้ทำให้เห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนขึ้น เขามองทุกการกระทำของหลินเข่อซิงอย่างเงียบๆ “คนอะไร... ทำท่าพิลึก” อวิ๋นเฟยหลงพึมพำกับตัวเองเบาๆ ขณะที่มองดูหลินเข่อซิงพลิกตัวไปมา นอนลุกนั่งอย่างกระวนกระวาย ใบหน้าของเขายังคงเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย เขาเริ่มแอบมาดูเธอทุกคืน หวังว่าจะได้พบเบาะแสบางอย่างว่าเธอเป็นใครกันแน่ ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ หรือว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในตัวเธอที่เขายังไม่เข้าใจ “ข้าต้องหาคำตอบให้ได้” อวิ๋นเฟยหลงคิดในใจพลางมองไปยังหลินเข่อซิงที่ยังคงนอนพลิกไปพลิกมาอย่างไม่สบายใจในห้องของเธอ และคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เขายังคงมองดูเธอจากบนต้นไม้ โดยไม่รู้ตัวว่าในใจของเขาเองก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด...“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา