 LOGIN
LOGINอวิ๋นเฟยหลงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาทำเพียงยื่นมือมาทางเธอ หลินเข่อซิงมองมือที่ยื่นมาของเขา เธอลังเลอยู่บ้าง ด้วยกลัวจะโดนเขาแกล้งแต่สุดท้ายเมื่อลองคิดทบทวนแล้วก็ยื่นมือออกไปจับอยู่ดี
วินาทีที่มือของเธอแตะกับมือของเขา... เธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอย่างประหลาดที่ไม่น่าจะมาจากคนเย็นชาแบบเขาเลยเธอถูกดึงขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอย่างง่ายดายด้วยพละกำลังมหาศาลจากมือของชายหนุ่ม ก่อนที่เธอจะพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ใกล้ชิดกับอวิ๋นเฟยหลงอย่างมาก "...!!!" ‘โอ๊ย! ใกล้ไปแล้ว! ฉันสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากตัวเขาเลยนะ!’ หลินเข่อซิงพยายามกระถดตัวถอยห่างจากแผ่นหลังของคนตรงหน้า แต่มือของเขาก็ช่างว่องไวนัก เขาคว้ามือเธอทั้งสองข้างให้กอดเอวเขาไว้แน่นราวกับลูกลิงเกาะหลังแม่ลิงฉะนั้น "จับดี ๆ" เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหูเธอ "...!?" "เจ้าคงไม่อยากตกลงไปหรอกใช่ไหม?" หลินเข่อซิงกลืนน้ำลาย ‘โอ๊ย! นายจะทำเสียงทุ้มหล่อ ๆ แบบนี้ไม่ได้นะ! ฉันใจไม่ดี! แล้วไหนจะกลิ่นตัวหอม ๆ นี่อีก คนโบราณนี่เขาใช้อะไรนะ ถึงหอมขนาดนี้' เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจับเอวเขาไว้แน่น "ดี" และทันใดนั้นเอง… ตึก! ตึก! ตึก! ม้าควบตะบึงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พุ่งตรงกลับไปยังจวนอวิ๋น ท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดผ่านใบหน้าของหญิงสาวจนแสบตาไปหมด ยังไม่นับรวมเศษฝุ่นผงที่ปลิวเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หลินเข่อซิงจึงซบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างของอวิ๋นเฟยหลง หลินเข่อซิงรู้สึกถึงมัดกล้ามบริเวณหน้าท้องแกร่งที่เธอสัมผัสโดนโดนไม่ตั้งใจ รวมถึงแผ่นหลังกว้างที่เธอซุกซบอยู่นี้ ช่างทำให้คนรู้สึกสบายใจจริง ๆ หากเธอได้พระเอกของเรื่องอย่างอวิ๋นเฟนหลงมาเป็นพวกแล้ว ชีวิตในโลกนี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป กุบกับ! กุบกับ! กุบกับ! เสียงกีบเท้าม้าดังก้องไปทั่วลานหน้าจวนตระกูลอวิ๋น ก่อนที่มันจะหยุดลงอย่างสง่างาม หลินเข่อซิงยังคงนั่งตัวแข็งอยู่บนหลังม้า มือเล็ก ๆ ของเธอกอดเอวของอวิ๋นเฟยหลงแน่นราวกับกลัวตกลงไป อีกทั้งใบหน้าก็ซบแนบกับหลังของเขาแม้ม้าจะหยุดนิ่งไปแล้วก็ตาม ภาพเหล่านี้ล้วนถูกบรรดาทหารยามเฝ้าประตูจวน และบ่าวไพร่ที่ทำหน้าที่อยู่บริเวณด้านหน้าเห็นกันถ้วนทั่ว ต่างพากันอมยิ้มและลอบมองอยู่ไม่ไกล "ถึงแล้ว" เสียงทุ้มต่ำของอวิ๋นเฟยหลงดังขึ้น ทำให้เธอสะดุ้งเฮือก รีบเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ เธอกลับมาถึงจวนแล้วจริง ๆ! และที่สำคัญ... มีสายตาของเหล่าคนรับใช้ที่จ้องมองเธออยู่นับหลายสิบคู่! ‘เฮ้ย! ไม่ต้องมองกันขนาดนั้นก็ได้! ฉันรู้ว่าฉันมากับพ่อพระเอกขี่ม้าขาว แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรไม่ดีจริง ๆ นะ!’ "จะลงเองหรือจะให้ข้าช่วย?" เสียงทุ้มของอวิ๋นเฟยหลงทำให้เธอสะดุ้งอีกครั้ง เธอเงยหน้าขึ้นไปมองเขา และพบว่าดวงตาของเขากำลังจับจ้องเธออย่างนิ่งสงบ "ขะ...ข้าลงเองได้เจ้าค่ะ!" เธอรีบปล่อยมือจากเอวของเขา แล้วพยายามจะกระโดดลงจากหลังม้า...แต่เธอลืมไปว่าเธอไม่เคยขี่ม้ามาก่อนและตัวเธอไม่เคยลงหลังม้ามาก่อน พรืด! ร่างของเธอเสียหลัก เซถลาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว! "ว้ายยย!" ‘จบแล้วยัยโง่เอ้ย! ฉันกำลังจะกลิ้งลงไปประจานตัวเองต่อหน้าข้ารับใช้ทุกคนแน่ ๆ!’ แต่ก่อนที่เธอจะได้สัมผัสกับพื้นแข็ง ๆนั้นเอง หมับ! มืออันแข็งแกร่งของอวิ๋นเฟยหลงคว้าข้อมือของเธอไว้ได้ทัน ก่อนจะกระตุกเล็กน้อย ทำให้เธอล้มลงไปในอ้อมแขนของเขา! "...!!!" หลินเข่อซิงเบิกตากว้าง ส่วนอวิ๋นเฟยหลงเองก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ตอนนี้เธออยู่ในท่าที่น่าอายสุด ๆ แขนของเขาโอบรอบเอวเธอไว้แน่น ส่วนเธอ... ซบหน้าอยู่กับแผงอกแกร่งของเขาเต็ม ๆ! โอ๊ย! ทำไมเหตุการณ์แบบนี้ถึงเกิดขึ้นได้บ่อยจัง!? ฉันจะเป็นนางเอกสายขายขำหรือไง!? เอะอะล้ม เอะอะมองตา เคยเห็นแต่ในละคร เพิ่งมาเจอกับตัวก็คราวนี้ เธอรีบเงยหน้าขึ้น และพบว่าดวงตาของอวิ๋นเฟยหลงอยู่ใกล้เธอมาก... มากเสียจนเธอเห็นแพขนตาของเขาเรียงเส้นเลยทีเดียว! "...!!!" ‘โอ๊ย! ใกล้ไปแล้ว! นายหล่อเกินไป! ฉันรับมือไม่ไหวแล้ว!’ บรรยากาศรอบตัวเงียบสนิท แม้แต่ข้ารับใช้ที่ยืนมองอยู่ก็พากันกลั้นหายใจ ราวกับรู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด อวิ๋นเฟยหลงจ้องเธอเงียบ ๆ ดวงตาคู่นั้นอ่านไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้น… "คุณชาย!" เสียงของผู้ดูแลจวนดังขึ้น ทำให้ทั้งสองสะดุ้งและหันไปมองพร้อมกัน หลินเข่อซิงรีบกระโดดออกจากอ้อมแขนของอวิ๋นเฟยหลงทันที อวิ๋นเฟยหลงเองก็กลับมาทำหน้าตายเหมือนเดิม ก่อนจะหันไปมองผู้ดูแลจวน "มีอะไร?" "นายท่านเรียกพบขอรับ" อวิ๋นเฟยหลงพยักหน้า ก่อนจะหันกลับมามองเธออีกครั้ง "...คราวหลัง อย่าหายไปไหนตามลำพังอีก" เสียงของเขาแม้จะเย็นชา แต่เธอกลับรู้สึกได้ถึง... อะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป ‘เดี๋ยวนะ! หรือฉันคิดไปเอง!? ทำไมฟังดูเหมือนเขาเป็นห่วงฉันเลยล่ะ!?’ เธอยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ อวิ๋นเฟยหลงก็หมุนตัวเดินจากไป ปล่อยให้เธอยืนกุมหน้าอกตัวเองอยู่ที่เดิม ‘ใจเย็น ๆ หลินเข่อซิง! เธอยังต้องรอดไปให้ถึงตอนจบของเรื่องนี้นะ!’
“เฮือก…” เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกดังขึ้น ทำเอาทรวงอกของหญิงสาวยกขึ้นสูง ขนตางอนยาวเรียงตัวสวยเริ่มขยับไหว ในที่สุดเปลือกตาก็คอยๆเลิกขึ้น ปรากฎดวงตากลมโตสดใสที่มองไปมารอบๆ แสงไฟสีขาวนวลสว่างขึ้นในห้องเล็กๆ ของเธอมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดานห้องสี่เหลี่ยมที่คุ้นเคย เมื่อมองไปตรงมุมห้องขวามือ ก็มีโต๊ะเขียนหนังสือรกๆ ที่มีหนังสือและแก้วน้ำวางอยู่ โทรศัพท์มือถือวางแน่นิ่งบนหัวเตียง สายชาร์จรวมถึงสายสมอลทอร์คพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนกลม หลินเข่อซิงค่อยๆลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง“เรากลับมาแล้วเหรอ…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ราวกับไม่แน่ใจว่านี่คือความจริงหรือเพียงอีกหนึ่งความฝันอันยาวนานนางลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อปลอบใจว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเผชิญมา เป็นเพียงฝันร้ายยาวนานเท่านั้น แต่มันช่างสมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกของสายลมในป่าลึก กลิ่นดินหลังฝนตก เสียงหัวเราะของหลิงเฉิน หรือแม้แต่สัมผัสอันอบอุ่นของอวิ๋นเฟยหลง...“เฟยหลง…”เพียงเอ่ยชื่อเขา น้ำตาก็เอ่อคลอเบ้า ราวกับหัวใจถูกบีบรัด เธอรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก พยายา
นับจากโศกนาฏกรรมนองเลือดวันนั้น ก็ผ่านมาได้หนึ่งปีแล้ว อวิ๋นเฟยหลงไม่ยอมรับตำแหน่ง เขาทำเพียงรักษาการณ์แทน และให้เหล่าเสนาบดีเป็นที่ปรึกษาคอยชี้แนะแก่เขาย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน หลังได้รับชัยชนะ เข้ากอบกู้วังหลวงจากคนชั่ว และทวงแค้นจากหานเจี๋ย เขากลับไม่รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นเฟยหลงประกาศต่อหน้าที่ประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย“ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้”คำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงไปทั่วห้องประชุม เฟยหลงก้าวออกมายืนกลางห้อง สายตาแน่วแน่“ตลอดชีวิตของข้า ข้าเกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดินและต่อสู้ในสนามรบ ข้าไม่เคยมีความปรารถนาจะครอบครองบัลลังก์มังกร ข้าเชื่อว่าแคว้นนี้สมควรมีผู้นำที่ดีกว่า”นับจากวันนั้นอวิ๋นเฟยหลงก็ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอดไม่ขาดตกบกพร่องอันใด จนราษฎรต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ ในใจทุกคนอวิ๋นเฟยหลงคือฮ่องเต้ พ่อของแผ่นดินของพวกเขา คอยปกปักคุ้มครองให้แคว้นฉางจีอยู่รอดปลอดภัย บุ๋นก็ชำนาญ บู๊ก็คือเทพเซียนมาจุติและแล้วข่าวดีที่เขารอคอยก็มาถึง เจิ้งจู่ได้รายงานข่าวสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เขาค้น
ก่อนที่อวิ๋นเฟยหลงจะได้ปัดป้องตอบโต้ ก็มีเสียงกังวานใสของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น“หยุดนะ!” หยางเฟยฮุ่ยยืนอยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้ โดยมีทหารองครักษ์ผู้หนี่งใช้ดาบพาดคอของหานเจี๋ย“หากท่านละเว้นอวิ๋นเฟยหลง ข้าก็จะไว้ชีวิตท่าน!” สตรีผู้ได้ชื่อว่าฮองเฮา แม่ของแผ่นดิน ก้าวขึ้นหน้ามาอีกก้าว หยุดยืนมองหานเจี๋ยนิ่ง“เจ้า!... นี่เจ้ากล้าก่อกบฏหรือ ดีนี่ฮองเฮา ดี … ดียิ่งนัก ทหาร! กุดหัวนางหญิงชั่วนี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้!”เงียบ มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ไม่มีทหารคนใดขยับ ต่างมองไปทางอวิ๋นเฟยหลงอย่างรอฟังคำสั่ง“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?!” หานเจี๋ยตื่นตระหนกแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้“ราชโองการในฮ่องเต้พระองค์ก่อน มาถึงแล้ว! อวิ๋นเฟยหลง รับราชโองการ!”ถึงตอนนี้ทหารที่จ่อปลายดาบคุมตัวหานเจี๋ยได้เตะดาบในมือเขาจนกระเด็น ก่อนลากตัวหานเจี๋ยให้ออกห่างจากอวิ๋นเฟยหลง“กระหม่อมอวิ๋นเฟยหลงพ่ะย่ะค่ะ” อดีตแม่ทัพหนุ่มหันกายคุกเข่ามาทางกงกงที่ยืนถือพระราชโองการสีทองอร่ามในมือ“ด้วยโองการสวรรค์ ข้าโอรสสวรรค์ผู้คร
เสียงอาวุธกระทบกันดังไม่หยุด อวิ๋นเฟยหลงหอบหายใจเสียงดัง หลินเข่อซิงมองเสี้ยวหน้าของชายอันเป็นที่รักด้วยความเจ็บปวดในหัวใจ นางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ท่านพี่ ทิ้งข้าไว้เถอะ หากไม่มีข้าท่านก็จะทำศึกได้อย่างเต็มที่ และปกป้องพวกเราทั้งหมดได้”“เหลวไหล! ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้ากับลูกแน่ อย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน และข้าจะไม่มีวันแพ้! เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ” อวิ๋นเฟยหลงปวดใจนักเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆนั่นพูด ประกอบกับบาดแผลที่ไหล่ของนาง เขายิ่งอยากจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด กระบวนท่าของอดีตแม่ทัพใหญ่แกว่งไกวดาบเข้าห้ำหั่นศัตรู ร่างกายพลิ้วไหว มือเท้าผสานกัน แม้มือซ้ายจะโอบกอดหลินเข่อซิง แต่นั่นกลับไม่อาจสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มได้“เหล่าพี่น้องของข้า จงฟัง! พวกเจ้าทุกคน วันนี้เราจะเด็ดหัวฮ่องเต้ทรราชนั่นซะ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกเจ้า ราษฎรแคว้นฉางเยว่ และเพื่อฮ่องเต้องค์ก่อนที่ต้องสวรรคตอย่างมีเงื่อนงำ จงตามข้ามา!”“เฮๆ ๆ ๆ” เหล่าทหารฝ่ายอวิ๋นเฟยหลงต่างส่งเสียงร้องกู่ก้องไปทั่วลานด้วยการนำของอวิ๋นเฟยหลง ตอนนี้พวกเขาบุ
‘ท่านพี่ เมื่อท่านได้รับสารฉบับนี้ หวังเพียงว่าท่านจะยังไม่กระทำการรุนแรงกับท่านหมอประจำตัวข้าหรอกนะ’ อวิ๋นเฟยหลงเลิกคิ้วสูง ก่อนเหลือบมองไปยังใบหน้าช้ำดำเขียว และเปรอะด้วยโลหิตของหมอหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้าอ่านต่อ‘ข้าได้ยินมาว่าท่านได้ยกทัพมาประชิดประตูเมืองแล้ว คืนนี้ยามโหย่ว (17.00น. - 19.00น. โดยประมาณ) ข้าจะแอบมารอท่าน ขอท่านพี่ช่วยมารับข้าด้วย ข้าจะไปรอที่ประตูเมืองด้านทักษิณ หลิงเฉินบอกว่าประตูด้านนั้นค่อนข้างหละหลวม เพราะทหารไปรวมกันที่ประตูหน้าเสียส่วนใหญ่ ข้าจะรอท่านนะ’อวิ๋นเฟยหลงหรี่ตามองไปยังหมอหนุ่มที่ยังนั่งแหงนหน้ามองฟ้า ดูท่ากำเดาคงจะใกล้หยุดไหลแล้วกระมัง อวิ๋นเฟยหลงทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วต่ำ“ข้าต้องขออภัยท่านหมอแทนทหารของข้าด้วย ฝากบอกซิงเอ๋อร์ว่า ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปตามนัดหมาย”เวินสือชูมองบุรุษร่างใหญ่บึกบึนตรงหน้าด้วยความยำเกรง ก่อนจะยิ้มออกมาหน่อยๆ“มิเป็นไร ข้าเข้าใจว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเขา หากมิมีอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากมานานเกินไป อาจถูกสงสัยได้”อวิ๋นเฟยหลงพยัก
แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับดาบของเหล่าทหารหาญที่ตั้งทัพอย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าประตูเมือง เมื่ออวิ๋นเฟยหลงประสานสายตากับเหล่าทหารกล้าที่เขารวบรวมมา พวกเขาคือผู้ที่ยังภักดีต่อแผ่นดินและเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของแม่ทัพผู้เคยกอบกู้แผ่นดิน“วันนี้มิใช่เพียงการทวงคืนวังหลวง” อวิ๋นเฟยหลงประกาศเสียงกร้าว “แต่คือการทวงคืนความยุติธรรม ทวงคืนอนาคตของบ้านเมือง และนำแสงสว่างกลับสู่แคว้นฉางจีอีกครั้ง”เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มจากทหารนับหมื่นที่เข้าร่วม ขบวนธงสีดำลายมังกรทองสะบัดปลิวไสว เสียงอาวุธกระทบกันดังก้อง ขับเคลื่อนจิตใจอันห้าวหาญของนักรบทุกคนเหล่าทหารที่คอยรักษาการณ์ประจำตำแหน่งประตูหน้าต่างตื่นตัวและคอยจับตามองทัพของอดีตแม่ทัพอวิ๋นเฟยหลง อดีตรองแม่ทัพหยางซึ่งในขณะนี้ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ทองลงไปยังอดีตผู้ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่กว่าตน ในสายตามีทั้งความกริ่งเกรง และหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ“ท่านแม่ทัพขอรับ” นายทหารหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นมารายงานกับแม่ทัพหยาง“ว่ามา”“ข้าได้รายงานให้กับฝ่าบาททราบแล้วขอรับ ตอนนี้ยังไม่มีคำสั่งใหม่ เห็นว่าฝ่าบา








