“ไม่กลัวคนอื่นจะว่าเอาเหรอว่าคุณมาแอบนอนกับนาค”
สิงหราชไม่ตอบแต่กระชับอ้อมกอดมากขึ้น ชายหนุ่มดึงคนตัวเล็กเข้ามาซุกอก ปากน้อยบ่นคนตัวโตไปแบบนั้น กระทั่งหลับตามกันไปในที่สุด
ตั้งแต่วันที่นาราทะเลาะกับคนงานไป วันนี้ดูเหมือนว่าทุกคนจะกลัวเธอไปเลย ดังเช่นตอนนี้ที่นาราจดบันทึกรายงานของเมล็ดพันธุ์ที่เอามาส่งในศูนย์วิจัยที่ตั้งอยู่ในไร่อันกว้างขวางแห่งนี้ ศูนย์วิจัยเป็นตึกชั้นเดียวขนาดกลางที่มีคนทำงานอยู่ในนั้นประมาณห้าคน คนที่เหมือนจะมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่กล้ามองแบบนั้นอีก อ้อ เธอลืมบอกไป เนื่องจากที่นี่ใหญ่มาก และปลูกพืชพันธุ์หลายชนิด ทั้งส้ม สตรอว์เบอร์รี่ ผัก ดอกไม้ ข้าว และอีกต่างๆมากมาย ธรภูมิจึงมีศูนย์วิจัยเป็นของตนเองเพื่อพัฒนาพันธุ์พืชต่อไป
เมื่อรานากลับออกมา เธอก็ปั่นจักรยานไปที่บ้านพักของตน ลมเย็นแสนบริสุทธิ์ผ่านพัดกายทำให้ต้องสูดลมหายใจเข้าปอด เอาอากาศดีๆเข้าไป คงมีแค่สิ่งนี้ที่ทำให้เธออยากอยู่ที่นี่ ธรภูมิขึ้นชื่อว่าอากาศดี และวิวสวยที่สุด
เข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอจะออกไปหาอะไรกินสักหน่อย ทว่าต่อมามือถือก็ส่งเสียงขึ้น เพราะแบบนั้นนาราจึงกดรับ
[ว่ายังไงคะพี่ภู] เสียงหวานกรอกลงไป
[ลืมไปหรือเปล่าว่าวันนี้วันอะไร] ภูริพี่ชายคนสนิทของเธอนั่นเอง
[วันอะไรเหรอคะ] หญิงสาวทำท่านึก แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก กระทั่งภูริถอนหายใจออกมา
[วันเกิดพี่เราไง แค่นี้ก็จำไม่ได้เหรอยัยนาค ปีก่อนแกก็ไม่มา ปีนี้ก็จะไม่มาอีกเหรอ]
ตายแล้ว ลืมไปเลย นาราตาโต เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของพี่ชายของเธอ อาจเพราะนาราทำงานหนักเธอเลยไม่ได้นึกถึงอะไรเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้สิงหราชให้เธอเข้ามาเรียนรู้เรื่องฝ่ายบัญชีด้วย ซึ่งเธอก็ไม่เข้าใจว่าเขาให้ทำไปทำไม ทั้งๆที่งานของเธอเป็นแค่งานไร่ แต่ที่ขัดไม่ได้เพราะกำลังติดหนี้เขาไง
[นาคลืมไปเลยอ่ะ] ปีที่แล้วที่ไม่ได้ไปเพราะทะเลาะกับสิงหราชนี่แหละ เขาไม่ยอมให้เธอไป จนสุดท้ายนาราเหนื่อยจึงไม่ได้ไปอยู่ดี แต่ปีนี้เธอจะไปให้ได้
[แต่ตอนนี้นาคอยู่ที่ไร่นะ ยังไม่ได้บอกเขาเลย ไม่รู้ว่าจะยังไง] ‘เขา’ ที่หมายถึงเป็นอันรู้กันว่าหมายถึงนายหัวของไร่นั่นเอง ซึ่งภูริไม่เข้าใจว่าสิงหราชจะหวงน้องเขาไปถึงไหน ทั้งๆที่ก็ไม่เคยยกย่องเชิดชู มันน่าโกรธจริงๆ
[ช่างปะไร ออกมาเถอะ หมอนั่นไม่สนใจอะไรหรอก ลับหลังเขาคงมีผู้หญิงมากมาย อย่าลืมนะนาค เราเป็นแค่ลูกหนี้เขา ไม่มีสิทธิ์มารุกล้ำสิทธิของเราด้วยซ้ำ นาคไม่ต้องกลัว ถ้าเขาทำอะไร พี่จะจัดการเอง] ความจริงเขาก็อยากเอาเงินมาช่วยน้องอยู่หรอก แต่ภูริเป็นปลัดจนๆจะเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้จำนวนมหาศาลเป็นล้าน
พอได้ฟังคำของพี่ชาย นาราก็ฮึกเหิม ใช่ เขามีสิทธิ์อะไรมาห้ามเธอกัน!
นัดแนะกับภูริเสร็จนาราก็บอกให้ภูริมารับที่ไร่ รอไม่นานตามใจคิดรถเก๋งเลี้ยวเข้ามา คนขับดีใจจนน้ำตาแทบไหลที่เห็นน้องสักที ส่วนมากเขามาที่ไร่นี้ทีไร สิงหราชจะบอกให้คนขับไล่เขาทันที จนบางครั้งไม่ทันได้เจอนาราก็โดนไล่ออกแล้ว พอจะบอกน้องก็กลัวน้องจะทะเลาะกับคนที่มีอิทธิพลในไร่อีก
หมอนั่นมันหวงก้างอะไรไม่รู้
“ค้างด้วยเหรอ นาคเอาชุดไปด้วย” นาราเอ่ยถามพลางแทรกตัวเข้ามาในรถ ภูริลูบหัวน้องเบาๆ เขาเอ็นดูนาราเสมอ ถ้าถูกล็อตตารี่รางวัลที่หนึ่งนะ เขาจะเอาเงินมาปลดหนี้ช่วยน้องเอง
“อืม ถ้านาคสะดวกนะ นอนบ้านพี่ ยินดีต้อนรับอยู่แล้ว”
สมัยเรียนนาราเคยไปค้างบ้านภูริอยู่สองสามครั้ง และทุกครั้งเธอจะนอนกับพี่สาวของชายหนุ่ม จึงไม่มีปัญหาอะไร
“อืม สะดวก” ตอบรับไป แม้ตอนนี้คนตัวเล็กจะใจตุ๊มๆ ต้อมๆก็ตาม เธอไม่ได้บอกสิงหราชเลย ชายหนุ่มไม่อยู่ไปส่งต้นกล้าที่อำเภอใกล้ๆ แต่พอมาคิดดูอีกที เธอจะบอกเขาทำไม ในเมื่อเขาไม่ใช่สามีเธอสักหน่อย
รถสัญชาติญี่ปุ่นของภูริเคลื่อนออกไป ทั้งคันเปิดเพลงครึกครื้นที่ทั้งสองเคยฟังตั้งแต่สมัยเรียน นาราโยกหัวเบาๆสนุกก็เต้นด้วย แล้วในตอนที่รถของภูริเคลื่อนลงจากเขาอันเป็นพื้นที่ของธรภูมินั่นเอง รถกระบะคันเก่าก็สวนทางมา ร่างสูงบนรถเหลือบมองยังกระจกรถคันเมื่อครู่ และเพียงปราดมองเขาก็รู้ว่ารถคันนั้นเป็นของใคร
นายปลัดภูริ มีธุระอะไรที่ไร่ของเขา มีแค่สาเหตุเดียว
ชายหนุ่มเหยียบคันเร่งขึ้นจนสุดแรง ทำเอาคนที่นั่งอยู่เบาะข้างอย่างเผ่าถึงกับสะดุ้ง ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้านายถึงได้ขับรถแรงขนาดนี้ ฉี่จะราดอยู่แล้ว คนงานหนุ่มไม่กล้าโวยวาย ได้แต่จับเบาะไว้แน่น
รถของปลัดหนุ่มขับเข้ามาในตัวเมืองอันเป็นบ้านของเขา นาราลงไปก็พบกับน้ากรองแก้วผู้เป็นมารดาของพี่ชายคนสนิทของเธอ หญิงสาวยิ้มให้คนสูงวัยพลางเดินเข้าไปกอด
“สวัสดีค่ะน้าแก้ว ดีใจจังเลย”
มารดาของภูริลูบหลังเด็กสาว “ยินดีเหมือนกัน เดี๋ยวตอนเย็นน้าจะทำอาหารอร่อยๆให้ทานนะ”
“ดีเลยครับแม่ ภูอยากกินแกงไตปลาอยู่พอดี” ลูกชายยิ้มพรายพลางแย่งกระเป๋าจากมือนาราไปถือ ทั้งสามคนเดินเข้าไปในบ้าน พูดคุยกันเหมือนคนไม่เคยพบเคยเจอนาราเดินขึ้นมาตามเนินเขาเรื่อยๆ แสงของพระอาทิตย์สาดส่องไปทั่วและสายลมที่พัดเอื่อยๆต้องผิวกายพลันทำให้เย็นสดชื่นราวกับได้เกิดใหม่ ปลดระวางความเหนื่อยล้าที่มีมาทั้งวัน หญิงสาวยิ้มร่าเมื่อคิดว่าขึ้นไปบนหน้าผาแล้วจะเจอใครคนหนึ่ง คน...ที่วันนี้คิดถึงเป็นร้อยครั้ง และใช่ เมื่อขึ้นมาก็เห็นเขายืนอยู่ก่อนแล้ว คนตัวเล็กคลี่ยิ้ม ด้านข้างของสิงหราชนั้นช่างดูดีเสียจริง หล่อเหลาราวกับรูปปั้น ไม่รวมผิวสีเข้มที่บ่งบอกว่าผ่านการแตกแดดมานมนาน เสริมให้บุคลิกของคนร่างสูงดูองอาจขึ้นไปอีก เธอไม่อยากเชื่อว่าวันหนึ่งคนคนนี้จะเป็นของเธอ ทว่าเวลานี้เขายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว พร้อมกับยิ้มให้เธอด้วยความจริงใจ นาราวิ่งเข้าไปหาแขนที่อ้าออก หลับตาสูดเอากลิ่นหอมๆของชายคนรักเข้าปอด ซึ่งอีกคนก็เช่นเดียวกัน เขาประทับริมฝีปากลงบนกระหม่อมบาง ลอบดมกลิ่นหอมหวานจนชื่นใจ “เหนื่อยมั้ย” เสียงทุ้มทรงเสน่ห์เอ่ยอย่างเป็นห่วง ใครจะคิดว่านาราจะอึดขนาดนี้ ทำสวนไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย บ้ากว่าเขาตอนทำไร่ใหม่ๆอีกมั้ง แล้วคำตอบของเธอทำเขายิ้มออกมาอย่างไม่ยาก “ไม่เหนื่อย
“แต่หนูไม่โกรธยายหรอกค่ะ แต่มาวันนี้ก็เพื่อบอกให้ยายรู้ว่าหนูจะไม่ทนอีกแล้ว ยายต้องรับผิดชอบในส่วนที่ยายทำ ถ้ายังหาเงินมาคืนสามีหนูไม่ได้ แน่นอนว่าบ้านหลังนี้กับที่ดินหนูจะยืดไปให้หมด” “นี่แก๊” ธัญญาหมดความอดทนจริงๆ ไม่คิดว่าหลานตัวเองจะเลวร้ายแบบนี้ เธอรู้ว่าตัวเองผิดที่เห็นแก่ตัวไม่ใช้หนี้ แต่เธอก็เอาเงินของเธอมาดูแลแม่ไง แม่มันไม่ดูแลยายก็ให้มันใช้หนี้ไปสิ ผิดตรงไหน คนเป็นป้าอยากพูดแบบนั้นทว่าพอเห็นสายตาเลือดเย็นของหลานสาว ก็ถึงกลับต้องหุบปากไป เพราะกลัวมันจะเพิ่มหนี้ให้เธอ “หนูมาบอกแค่นี้ล่ะค่ะ ขอตัว” หญิงสาวเดินออกมา เธอแทบจะล้มลงไปกับพื้นทว่าได้สิงหราชประคองตัวไว้ เธอพยักหน้าให้เพื่อบอกเขาว่าไม่เป็นไร ทว่าพอได้ขึ้นมาบนรถ ก็อดกลั้นไม่ไหวร้องไห้ออกมาในที่สุด คนตัวใหญ่ดึงเธอเข้าไปกอด ลูบแผ่นหลังเบาๆ ความอ่อนแอยิ่งถูกกระตุ้นไหลเป็นสาย บางทีโลกเราก็โหดร้ายเกินไป พยายามคิดในแง่บวกไว้ ปกปิดมันด้วยเหตุผลทุกอย่าง ทว่าพอเผชิญหน้ากับความจริงกลับเกินทนจนยากที่จะรับไหว “พี่อยู่นี่ ไม่เป็นไร” สิงหราชปลอบโยนคนต
รถกระบะคันเก่าวิ่งเข้ามาจอดกลางบ้าน ทำให้ธัญญาที่กำลังร้องไห้ราวกับจะขาดใจเงยหน้ามอง จากที่ราวถูกเหยียบย่ำหัวใจไปแล้ว หญิงวัยกลางคนยิ่งแหลกสลายเข้าไปกันใหญ่เมื่อเห็นหลานสาวของตนและผู้มีอิทธิพลในแถบนี้เดินเข้ามา และใช่ ลูกสาวเธอโดนจับก็เพราะพวกมัน “อีนารา! มึงยังเสนอหน้ามาอีกเหรอ” ธัญญาตะโกนดังลั่น ความโกรธเกรี้ยวของเธอทำให้ยายของนาราที่นั่งอยู่ข้างๆธัญญาลูบหลังลูกสาวเบาๆ นาราปรายตามองยายของตน หญิงใจร้ายที่ไม่เคยคิดบอกความจริงกับเธอ ที่ผ่านมาเธอใจดีมาก ทำดีกับยายมาโดยตลอดเพราะหวังว่าสักวันหญิงชราจะเห็นความดีแล้วรักเธอบ้าง ทว่าตอนนี้หญิงสาวได้รู้ว่าสิ่งที่ทำไปมันสูญเปล่า ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยรักเธอในฐานะหลานเลย แม้ใจจะปวดหนึบ แต่ก็พยายามเก็บมันไว้ คงเห็นท่าไม่ได้ สิงหราชเลยกุมมือเธอ หญิงสาวส่ายหัวบอกเขาว่าไม่เป็นอะไร ใจเข้มแข็งพอแล้ว และส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ได้ก็เพราะเขา “ป้าทำเหมือนโกรธหนู แต่หนูมากกว่าที่ต้องโกรธป้า” คนตัวเล็กตอบโต้กลับทันที “โกรธกูเรื่องอะไร!” ตอนนี้ธัญญาไม่วางมาดอะไรอีกแล้ว นังเด็กนี่มัน
“ครับ เมียเอายังไงก็เอา แต่บอกก่อนได้มั้ยว่าจะไม่โกรธกัน” เขากลัวเมียหายไปนะ ถ้าเธอจากเขาไปทั้งไร่ต้องลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน พลิกแผ่นดินหาไม่เจอก็จะหาอยู่แบบนั้น นาราหลุบมองคนที่ซุกอยู่บนอก ดวงตาดุๆ พลันทำให้ชายหนุ่มก้มหน้าลง เผลอใช้โอกาสนี้ซุกใบหน้าลงมามากกว่าเดิม นาราอึดอัดจนต้องขยับดิ้น เธอจิ๊ปากทีหนึ่ง “อื้อ!” เสียงอ้อนเอ่ยตามมา “บอกก่อนว่าจะไม่โกรธ” “ไม่” “ทำไมไม่” “ก็โกรธ” “แล้วทำยังไงถึงจะหายโกรธ” “ไม่รู้ ออกไปจากที่นี่มั้ง” วินาทีนั้นอ้อมแขนที่กอดเธออยู่รัดแน่นขึ้น นาราเกือบหายใจไม่ออก ทว่าต้องทำเก๊กเพราะกลัวเขาจะได้ใจ หญิงสาวเลยนิ่งไว้ “ไม่ให้ไป ไปสิ จะขังไว้ที่นี่เลย” ตัวเล็กดวงตาวาวโรจน์ “กล้าเหรอ?” “ไม่กล้า” เสียงหงอยเอ่ย นารานิ่งไป มองคนตัวใหญ่ที่กำลังไซ้หัวลงบนหน้าอกเธอเหมือนเด็ก “งั้นเอาไร่มั้ย เอาไร่ส้มสักร้อยไร่ หรือตรงที่น้องทำ พี่ยกให้หมดเลย” “ยกให้แฟนเก่ากับคุณปราณนารีสิ มาให้ฉันทำไม”
“น้ำ” เสียงแหบแห้งและฝืดเคืองครางออกมา ใช่ ตอนนี้รู้สึกราวกับว่าอยู่ในทะเลทรายอันแสนแห้งแล้งและร้อนผ่าวแผดเผาอยู่ภายใต้พระอาทิตย์ แล้วในตอนนั้นเองที่เปลือกตาสีไข่เปิดขึ้น ฝ้าเพดานที่คุ้นเคยทำหญิงสาวกะพริบตาปริบๆ แรงกอดรัดช่วงตัวทำให้เธอเอี้ยวตัวมองคนที่กอดเธอไว้ สิงหราช นี่เขา พาเธอออกมาจากป่าได้จริงๆ “ตื่นแล้วเหรอ” ร่างสูงตื่นขึ้นมาพอดี เขายิ้มให้เธอ เป็นรอยยิ้มที่ไม่เคยเห็นเลยในชาตินี้ ยิ่งทำให้อึ้งไปกว่านั้นเพราะเขาโน้มหน้าลงมาจูบกระหม่อมกันเอ่ยคำพูดแปลกประหลาด “เมียตื่นแล้วเหรอครับ” ราวกับสติได้หลุดล่องหายไป เมื่อกี้เขาว่ายังไงนะ “คุณว่ายังไงนะ” “เมียตื่นแล้ว อยากได้อะไรมั้ย” แม้จะยังมึนงง ทว่านาราตอบอย่างไม่ลังเล เอาไว้ก่อนเรื่องเขาเรียกเธอว่าเมีย “น้ำ” เพียงเท่านั้นเขาก็ลุกขึ้น พร้อมกับเอามันมาให้เธอ ร่างสูงนั่งลงข้างเตียง ประคองเธอขึ้นนั่ง นาราดื่มน้ำด้วยความกระหาย ก่อนดวงตาจะจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไง มันผสมปนเปกันไป
“นายหัว!” นงรักตาเบิกกว้างเมื่อเห็นคนสูงใหญ่ผู้น่าเกรงขามในไร่แบกหญิงสาวตัวเล็กไว้บนหลังเดินเข้ามา พอมองสภาพของทั้งสองคนหญิงแม่บ้านก็ต้องตกใจ อะไรกันเนี่ย ทำไมดำไปทั้งตัวแบบนี้ มิหนำซ้ำท่อนขาและเท้าเปลือยเปล่าของสิงหราชยังเต็มไปด้วยบาดแผลราวกับโดนของร้อนจี้มา หรือว่าที่คนงานพูดกันว่าในป่ามีเพลิงไหม้ เกี่ยวข้องกันนายหัวและหญิงสาวตัวเล็กที่ไม่ได้สตินี่เหรอ เกิดอะไรขึ้น ใครบังอาจทำนายหัวเธอ มันเป็นใคร! วินาทีนั้นราวกับนายหัวของไร่เป็นคนบ้าใบ้ สิงหราชไม่พูดอะไร อุ้มนาราขึ้นมาบนบ้าน ดวงตาชายหนุ่มเหม่อลอย และกว่าจะเอ่ยออกมาก็ปาไปหลายนาที “ป้าเรียกหมอให้หน่อยได้มั้ยครับ” เหนื่อยจนเหมือนตายทั้งเป็น แต่ก็ยังอยากเห็นอีกคนไม่เป็นอะไร “โถ่ ได้ค่ะ” นงรักแทบร้องไห้ เธอรีบกุลีกุจอโทรไปเรียกหมอที่เป็นคนสนิทกับครอบครัว แล้วเวลานั้นเองที่ชายอีกคนโผล่มา “พี่สิง” “มึงไม่ใช่น้องกู...” สิงหราชมองไปที่น้องชายของตน ก่อนหน้านั้นเขาพอรู้มาบ้างว่าอะไรเป็นอะไร แต่ไม่คิดว่ามันจะทำแรงขนาดนี้ “มึง