“จวี๋ฮวา...ดูท่าจวี๋ฮวาคงจะมีไข้แล้ว...” ประโยคแก้ตัวโง่เง่าพรรค์นี้ พอทำหลุดออกจากปากไปแล้ว ก็อยากจะมุดลงไปนั่งใต้ตั่งให้รู้แล้วรู้รอดเลยจริงๆ
เช้านี้จวี๋ฮวาลุกจากเตียงอย่างเนือยๆ ไปอาบน้ำร้อนอย่างเนือยๆ แต่งเนื้อแต่งตัวอย่างเนือยๆ จัดเตรียมเสื้อผ้า น้ำล้างหน้า ตลอดจนข้าวของอื่นๆ ที่ท่านจ้าวหุบเขาต้องใช้ในยามเช้าไปให้เขาอย่างเนือยๆ ทำอาหารอย่างเนือยๆ จากนั้นก็ยกอาหารมาวางลงบนโต๊ะแปดเหลี่ยมแล้วนั่งร่วมโต๊ะกับ “ซือฝุ” ด้วยกิริยาเอื่อยเฉื่อย ไร้ชีวิตชีวาอย่างที่สุด
ดังคำกล่าวที่ว่า “คนงาม จะอย่างไรก็งดงาม” แม้ยามนี้ดูเหมือนจิตใจอันไม่สดชื่นแจ่มใสจะเปลี่ยนให้ใบหน้าผุดผาดหวานล้ำตราตรึงใจดูหม่นหมองคล้ายป่วยไข้ และแม้เจ้าตัวจะประเดี๋ยวก็เอามือแตะหน้าอก...แล้วก็ทอดถอนใจ ประเดี๋ยวก็มองเหม่อ...แล้วก็ทอดถอนใจ แทนที่จะดูขัดตา ร่างอ้อนแอ้นในชุดผ้าเนื้อโปร่งลู่ลมกลับชวนให้นึกถึง “ไซซี” สาวงามมีโรคประจำตัว เจ้าของสมญา “มัจฉาจมวารี” ผู้ช่วยเหลือเย่ว์อ๋องโกวเจี้ยนกู้ชาติด้วยเรือนกาย ที่แม้จะนิ่วหน้ายามเจ็บหัวใจก
เหนือหน้าผาสูงชันเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียวอ่อนโปร่งสวย...ร่างในชุดสีน้ำเงินเข้มยืนตระหง่านจ้องมองหีบไม้ใบใหญ่ร่วงลงสู่ก้นเหวลึกสุดหยั่ง สีหน้านิ่งเรียบดูเย็นชา ชวนให้นึกถึงรูปสลักน้ำแข็งพันปีไม่รอจนได้ยินเสียงหีบที่ตนเพิ่งโยนลงไปร่วงลงกระทบผืนน้ำ หลี่หยางดีดปลายเท้ากระโดดลงหน้าผา อาศัยพุ่มไม้และก้อนหินที่ลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ ช่วยพยุง ทุกการเคลื่อนไหวดูคล่องแคล่ว ราวกับเคยทำแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนไม่นานนัก ร่างสง่างามก็ไต่ลงมาถึงก้นเหวเวลานี้หีบไม้ร่วงลงในน้ำเรียบร้อยแล้วดูเหมือนตอนตกกระแทกผิวน้ำจะรุนแรงเกินไป ฝาหีบจึงเปิดอ้า ปลดปล่อยทองคำจำนวนหนึ่งให้ดำดิ่งลงสู้ก้นสระสีมรกตอย่างอิสระเสรี สระน้ำก้นเหวที่มีคราบตะไคร้ขึ้นตามหินก้นสระจนขับให้น้ำสีใสสะท้อนแสงแดดเปล่งประกายสีเขียว พลันดูคล้ายมีประกายสีทองเรืองรองเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มองแล้วดูคล้ายอัญมณีที่ส่องประกายใต้แสงแดดหลี่หยางเมินเฉยต่อภาพงดงามนั้น สาวเท้าเข้าหาเนินหินใหญ่โตใต้ผาบริเวณที่แสงสีทองจากสระน้ำส่องกระทบ คุกเข่าลงคำนับสามครั้ง ก่อนปลดขวดน้ำเต้าบรรจุสุราสาลี่ที่เอวออกมารินราดรดด้
กระนั้นจ้าวเหว่ยซงก็ไม่คิดว่าบุรุษที่พุ่งทะยานนำหน้าตนจะเป็นผู้คิดอ่านเรียบง่ายเช่นนั้น นอกจากนี้ แม้ตำหนักพันพิษจะเป็นค่ายพรรคมารก็ใช่ว่าจะยินยอมรับงานจากผู้ใดโดยง่าย ยิ่งเรื่องเข้ารับใช้แผ่นดินหนึ่งแผ่นดินใดด้วยแล้ว นับว่าผิดวิสัยพรรคมารอันเย่อหยิ่งที่ก่อร่างสร้างตัวอยู่ในสถานที่ที่รายรอบด้วยทะเลทรายอันแห้งแล้ง ปกครองตนเองเสมือนหนึ่งชนเผ่าอิสระย่อมๆ ชนเผ่าหนึ่งก็ไม่ปานรองแม่ทัพจ้าวสงสัยยิ่งนัก ว่า “กุนซือหวาง” ผู้พุ่งทะยานนำหน้าด้วยแววตามั่นอกมั่นใจถึงเพียงนั้น ไปเอาความเชื่อมั่นเช่นนี้มาจากที่ใดขณะกระโดดข้ามหุบเหวเคียงกัน จ้าวเหว่ยซงอดออกปากถามไม่ได้“กุนซือหวาง...ท่านมีวิธีทำให้ประมุขตำหนักพันพิษยอมช่วยเหลือฝ่ายเราอย่างนั้นรึ?”“เรื่องนั้นยังไม่แน่นอนนัก เพียงแต่ข่าวลือพวกนั้นช่างน่าสนใจยิ่ง” หวางมู่ตอบตามตรงนอกจากข่าวเล่าลือเรื่องลูกศิษย์ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสตรีของจ้าวหุบเขา กับเรื่องนายน้อยสกุลซุน ยังมีเรื่องที่ประมุขตำหนักพันพิษมาพำนักที่นี่อยู่อีกเรื่องจากข่าวสารที่พวกเขาได้รับ...ก่อนหน้าที่พวกเ
ท่ามกลางความเงียบงัน กุนซือหน้าหยกเอ่ยเสียงไม่ดัง ไม่เบา “จ้าวหุบเขาผู้นั้น ดูจะเร่งรีบเกินไปหน่อยหรือไม่...?” หวางมู่ยกมือจับคางตัวเองเบาๆ “เจ้าว่าคนผู้นั้นรีบร้อนถึงเพียงนั้นเพราะเหตุใด เพราะอยากรีบออกตามหาดรุณีน้อยในข่าวลืออย่างนั้นรึ?”ก่อนหน้านี้ ผู้คนในโรงเตี๊ยมใกล้ลานชุมนุมชาวยุทธไม่ไกลจากหุบเขา ล้วนพูดถึงสตรีเยาว์วัยผู้หนึ่งซึ่งจ้าวหุบเขาเดียวดายประกาศไว้ว่า“หากผู้ใดพบเห็นสตรีเช่นที่กล่าวถึงและพาตัวนางกลับมาส่งโดยปลอดภัย หรือแม้จะมีข่าวสารใดมอบให้แม้เพียงนิด ก็จะมอบรางวัลให้อย่างงาม”เมื่อเข้าไปสอบถามจึงพบว่า แม้จะบรรยายรูปลักษณ์และอุปนิสัยตลอดจนกิริยาอาการของนางละเอียดนัก จ้าวหุบเขาผู้นี้กลับไม่ยอมทิ้งภาพเขียนใบหน้านางเอาไว้สักฉบับแม้ต่อมาจะมีชาวบ้านหาของป่าที่เคยพบหน้านางพยายามชี้แนะศิลปินผู้ผ่านทางให้ทดลองวาดภาพจำลองจากความทรงจำ จ้าวหุบเขารู้เข้า ไม่เพียงไม่รู้สึกขอบคุณยังบุกทำลายภาพเขียนเหล่านั้นและสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดวาดรูปนางทั้งสิ้น ผู้คนจึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วพูดกันลับหลังว่า "ท่านจ้าวหุบเขาช่างห
“จ้าวหุบเขาช่างเข้าใจพูดจานัก”“ข้าล้วนคิดใคร่ครวญตามถ้อยคำกุนซือหวางทั้งสิ้น”ฝีปากของจ้าวหุบเขาผู้นี้... รองแม่ทัพเห็นท่าจะไม่ดี รีบเอาตัวเข้าแทรกการสนทนาบรรยากาศตึงมึนนี้อย่างทันท่วงที “ที่จ้าวหุบเขาเอ่ยมานั้นชอบแล้ว เมื่อพิจารณาตามถ้อยคำกุนซือหวาง หุบเขาเดียวดายก็ยากจะนับว่าอยู่ในอาณาจักรหนึ่งอาณาจักรใดจริงๆ” เขาประสานมือคารวะเจ้าของสถานที่ กิริยายิ่งกว่านอบน้อมหากคนอื่นๆ ณ ที่นี่ใบหน้าดำคล้ำเหมือนเปื้อนหมึก สีหน้าท่านรองแม่ทัพในยามนี้ก็ดำคล้ำและแข็งเกร็งราวกับแท่งหมึกเลยทีเดียว“ท่านจ้าวหุบเขา” จ้าวเหว่ยซงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม จริงจัง “บิดาข้านั้นเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านยิ่งนัก ตัวข้าเองที่ได้ยินชื่อเสียงท่านมาร่วมสิบปีก็ศรัทธาในตัวท่านเหลือจะกล่าว หากชาตินี้ไม่อาจร่วมรบก็คงได้แต่เสียใจที่ไร้วาสนา...”“รองแม่ทัพช่างเจรจายิ่งนัก เสียแต่ที่เรื่องการทหารดูจะเหลือบ่ากว่าแรงจนเกินไป อีกทั้งตัวข้ายังไม่มีเวลามากพอจะอยู่ฟัง หากพวกท่านมีธุระเท่านี้ เห็นทีจ้าวหุบเขาเช่นข้าต้องขอตัว&rd
กุนซือหนุ่มจ้องมองร่างที่ก้าวออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึง แต่เพียงวูบหนึ่งก็ปรับสีหน้าเป็นปกติ “ข้าน้อยหวางมู่คารวะท่านจ้าวหุบเขา” ยามเอ่ยชื่อตัวเอง หวางมู่ลอบจับสังเกตสีหน้าบุรุษสูงสง่าเจ้าของสถานที่ เมื่อไม่เห็นว่ามีสิ่งใดผิดปกติจึงค่อยเอ่ยต่อไป “ไม่ทราบว่าจ้าวหุบเขามีชื่อเรียงเสียงไร?” กุนซือหวางถามด้วยรอยยิ้มสว่างสดใส ดูเป็นมิตรเป็นอย่างยิ่ง“ดำรงอยู่เสมือนไม่ดำรงอยู่ มีก็เหมือนหนึ่งไม่มี ไม่ว่าก่อนหน้าสืบทอดที่แห่งนี้จะชื่อเสียงเรียงไร นับแต่รับสืบทอดทุกสิ่งจากปรมาจารย์จ้าวหุบเขารุ่นก่อน จ้าวหุบเขาเช่นข้าก็ได้ละวางชื่อแซ่ไปนานแล้ว” จ้าวหุบเขายังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าดูไร้อารมณ์ความรู้สึก “บอกธุระพวกท่านมา หากไม่มีธุระอันใด ก็เร่งลงจากเขาเสีย จ้าวหุบเขาเช่นข้ามีกิจธุระรัดตัว ไม่สะดวกรับรองผู้ใดทั้งนั้น” ประโยคหลังนี้ฟังดูไร้มารยาทนัก ทว่าท่าทีอันสงบนิ่งภูมิฐานเปี่ยมมารยาทจรรยาของบุรุษเจ้าของสถานที่ กลับขับให้ประโยคที่ว่านี้ดูถูกต้องชอบธรรมเป็นอย่างยิ่ง“อา...ท่านคือจ้าวหุบเขาเดียวดายผู้โด่งดังผู้นั้นไม่ผิดแน่” กุนซือหวางยังคงเอ่ยด้วยใบหน้าอาบรอยยิ้มเจือจาง ทว่
ชายคนเดิมยังคงเอ่ยเสียงต่ำ ฟังแล้วแทบไม่ดังไปกว่าเสียงลมพัด น้ำเสียงยามชายคนนี้เอื้อนเอ่ยไม่เพียงฟังดูไพเราะนุ่มนวลยังมีจังหวะจะโคนคล้ายเสียงดนตรี รับกันกับใบหน้างดงามและรูปร่างเพรียวบางเป็นอย่างยิ่ง“คนผู้นี้กำลังเดินลมปราณเพราะเหตุผลบางอย่าง หากขัดจังหวะตอนนี้ ไม่แน่ว่าเราอาจทำเขาบาดเจ็บสาหัส หรือไม่ก็อาจเป็นพวกเราเสียเองที่ตกอยู่ในอันตราย...” ชายเสียงไพเพราะราวกับเสียงพิณยังคงเอ่ยต่อไป “โทสะของพยัคฆ์ร้ายยามโดนรบกวนนั้นไม่ธรรมดา ผู้ฝึกยุทธนั้นเทียบไปแล้วก็ไม่ต่างจากสัตว์ป่า แต่ละคนล้วนฝึกปรือจนประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณในการป้องกันตนเองรุนแรงแกร่งกล้า หากสัมผัสถึงสิ่งคุกคามแม้เพียงนิด พวกเขาย่อมไม่ลังเลที่จะ ‘กำจัด’ เพื่อปกป้องตนเองเอาไว้...คิดรบกวนผู้ฝึกยุทธ โดยเฉพาะผู้ที่สำเร็จวิชามารจนลมปราณกล้าแข็งขณะคนผู้นั้นกำลังเดินลมปราณ หากพลาดพลั้งถูกลงทัณฑ์ หรือถูกสัญชาตญาณอันแรงกล้าของยอดฝีมือคร่าชีวิตอย่างไร้ค่าก็ไม่อาจโทษผู้ใดทั้งนั้น นอกจากความโง่เง่าของตนเอง”“อะ...” ผู้ถูกสอนสั่งชะงักปากเล็กน้อย ก่อนเอ่ยประโยคที่เริ่มไว้ “กุน ซือหวางกล่าวได้ถูกต้อง เป็นผู้น้อยที่คิดอ่านไม่ถี่ถ้วนจนเกิ