ไม่นานประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดอีกครั้งสวีเหล่าไท่เย่กับจวิ้นอันโหวในอาภรณ์สีเข้มเดินตามกันเข้ามา สีหน้าทั้งสองเคร่งขรึมแต่แฝงความโล่งอกตามหลังมาไม่ห่างคือเฉียวเฟิ่ง น้องชายคนเล็กในชุดนักศึกษาสีฟ้า ใบหน้าสดใส และเจียงหลี สวมชุดกระโปรงแพรเขียวหม่น กิริยาเรียบร้อย ยิ้มบางตามแบบฉบับบุตรีคนรองแสนจะเรียบร้อยอ่อนโยนและไร้เดียงสา“ต้าหลัวเจี่ย!” เฉียวเฟิ่งถลาเข้ามา คุกเข่าแนบข้างพี่สาว สีหน้าทั้งห่วงใยทั้งดีใจ“เมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”“ข้าหลับสบายดี” ถึงจะเป็นคำถามซ้ำซาก แต่นี่เป็นครั้งแรก ที่นางไม่เบื่อจะตอบ เพราะมันเป็นคำถามจากใจจริง ทุกคนเป็นห่วงนาง เช่นนี้นางจะเบื่อหน่ายอย่างไรเสียงหัวเราะอบอุ่นของสวีเหล่าไท่เย่ดังขึ้น “บ้านเรากลับมาพร้อมหน้าเสียที เจียงหลัวอาการเริ่มดีขึ้นแล้ว เห็นเช่นนี้ข้าก็เบาใจแล้ว”ท่านโหวเดินเข้ามาลูบหัวไหล่ของบุตรสาวคนโตสายตาคู่นั้นทั้งยินดีและภูมิใจ “ต้าหลัวของพวกเราทั้งมีน้ำใจ ทั้งกล้าหาญ บัดนี้ยังปลอดภัย ข้าดีใจเหลือเกิน”ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตาท่านย่ากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ในเมื่อวันนี้อากาศดี เรามากินข้าวเช้าพร้อมกันเสียที่เรือนฉาฮวานี้เถอะ”สวีเ
อรุณรุ่งแรกในเรือนฉาฮวา ม่านสีขาวพลิ้วสะท้อนแสงแดดอ่อน สาดส่องทั่วห้องนอนใหญ่ของคุณหนูใหญ่ตระกูลสวี กลิ่นดอกเหมยแห้งที่แขวนไว้บนหน้าต่างยังกรุ่นกลิ่นจาง ๆ ปะปนกลิ่นกำยานอ่อน หอบสายลมยามเช้าพัดให้ม่านบางไหวระริกสวีเจียงหลัวลืมตาตื่นในห้องที่ยังคุ้นเคยนัก เสียงนกกางเขนบนกิ่งท้อข้างบานหน้าต่างขับขานรับอรุณ เสียงน้ำในอ่างหยกกลางห้องหยาดหยดเป็นจังหวะ เจียงหลัวทอดตามองเพดานแกะลายเมฆมงคล เพราะถึงนางจะมีความทรงจำของร่างเดิม ทว่าความทรงจำของอรรัมภามันกลับเด่นชัดกว่าความทรงจำของเจียงหลัวคนเก่า“แต่จะคนไหนก็คือฉันอยู่ดีไม่ใช่หรือ” นางเตือนสติคนเอง แต่คงเพราะนางเพิ่งจะกลายมาเป็นเจียงหลัวได้เพียงสองคนกับสามวัน ความทรงจำอาจอรรัมภาจึงมีมากกว่าก็เป็นไปได้ นางคงต้องรีบปรับตัวแล้ว เพราะยังจำได้ว่าพญายมเตือนให้นางตัดอาลัยสัมผัสเย็นของผ้าห่มไหมเนื้อดียังอยู่บนกาย เสี่ยวจิ่วกับเสี่ยวผิงบ่าวสาวคนสนิทค่อย ๆ ย่องเข้ามาในห้องด้วยท่าทีระวัง สีหน้าอ่อนโยนเต็มไปด้วยความห่วงใย“คุณหนูเจ้าคะ ถึงเวลาตื่นแล้วนะเจ้าคะ วันนี้ฟ้าดี ลมเย็น สดใสเชียวเจ้าค่ะ” เสียงสดใสของเสี่ยวจิ่ว ทำให้เจียงหลัวหลับตาอีกรอบ ราวกับต้องก
จนถึงดึกสงัดในห้องอุ่น มีเพียงเสียงหอบหายใจแผ่วเบา ลอยปะปนกับกลิ่นกำยานและร่องรอยราคะบนกองหมอนอิงที่ระเกะระกะ ไป๋อี้เฉินทอดกายเปลือยเปล่า ดวงตาดอกท้อหม่นหมองทอดมองเพดาน เหงื่อยังซึมทั่วกายแววตาของเขาดูเหมือนสุขสม หากแต่เบื้องลึกมีเพียงความว่างเปล่าปลดปล่อยเพลิงโทสะไปกับร่างกายของสตรีบำเรอ แต่ในอกยังไร้ซึ่งอิ่มเอมสาวงามห้านางนอนกระจัดกระจายบนพื้นพรม ร่างบอบบางสั่นระริก บ้างก้มหน้าอย่างสิ้นหวัง บ้างกล้ำกลืนอดสูและน้ำตาบางนางยังแสร้งส่งสายตายั่วยวน หวังชะตาดีขึ้นแต่ทุกคนล้วนรู้ตัวดีสำหรับองค์ชายสาม ไม่มีใครสำคัญ ไม่มีใคร มีค่า มากไปกว่าสุราถ้วยหนึ่งบรรยากาศทั้งห้องยังคงขุ่นมัวด้วยกลิ่นกำยานและราคะเงียบงัน รันทด เยียบเย็นจับใจของสตรี และความพึงใจอันว่างเปล่าของไป๋อี้เฉิน เขารู้สึกว่าตนเองยังขาด แต่มิอาจทราบได้ว่าคือสิ่งใดขณะนั้นเองเสียงฝีเท้าแผ่วเบาเดินเข้ามาใกล้ห้องอุ่น ก่อนประตูบานหนักจะเปิดออกอย่างระมัดระวัง เป็นซูเหวินจิ้งในอาภรณ์สีเข้มก้าวย่างเข้ามา สายตากวาดมองบรรยากาศตรงหน้าแล้วก็เพียงเลิกคิ้ว ไม่ได้มีแววประหลาดใจแม้แต่น้อยเขาแสร้งไอเบา ๆ สั่งด้วยเสียงเรียบเย็น“ทุกคนออกไปได้แล้
ณ เวลาเดียวกัน ภายในเรือนอุ่นของจวนองค์ชายสามบรรยากาศในห้องถูกแต่งแต้มด้วยกลิ่นกำยานอ่อน ๆ จากเตาทองเหลือง รูปเทพนรสิงห์ ไป๋อี้เฉินกำลังทอดกายสูงใหญ่อยู่กลางกองหมอนอิงเนื้อนุ่ม สองขาเหยียดสบาย รายล้อมด้วยสาวงามห้านางที่กำลังปรนนิบัติอย่างเอาอกเอาใจ มือบางลูบไล้บ่ากว้าง บ้างนวดเฟ้นไหล่ บ้างรินสุราใส่ถ้วยหยกถวายด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานทว่าชายในหมู่หมอนและสาวงาม กลับไร้รอยยิ้มแห่งความสุขสมในแววตาแฝงแต่ความเบื่อหน่าย หมางเมินกับทุกสัมผัสของสตรีที่ห้อมล้อม สายตาเหม่อมองเพดานด้วยสีหน้าว่างเปล่าจังหวะนั้นเอง ประตูบานหนักถูกเปิดออกช้า ๆ เป็นหลัวปัง องครักษ์คนสนิท ที่ก้าวเข้ามาอย่างเงียบงันในอาภรณ์สีเข้ม มองเห็นบรรยากาศในห้องแล้วก็ปรายตาอย่างคุ้นเคยเสียงฝีเท้าของเขาแผ่วเบาราวแมวป่า ก่อนหยุดยืนก้มศีรษะประสานมืออย่างเคารพ ไป๋อี้เฉินเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำพร่า โดยไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้น“มีอันใด”หลัวปังขยับเข้าใกล้อีกสองก้าว “ทูลองค์ชายสาม…คุณหนูใหญ่สกุลสวีเดินทางกลับจวนจวิ้นอันโหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ถ้อยคำรายงานยังไม่ทันจบดี ริมฝีปากของไป๋อี้เฉินก็ยกยิ้มเย็นยะเยือก หัวเราะต่ำในลำคอ ดวงตาดอกท้อที่ปิดอยู่ค่อย ๆ
เจียงหลัวมองภาพนั้นนิ่งงัน หัวใจปวดร้าวจับขั้ว ทว่าแววตากลับยังคงแข็งกร้าวไม่เปลี่ยนแปลง นางรู้ดีว่าวันนี้ต้องทำให้ทุกคนเห็นกับตา หากมิเปิดโปงสันดานต่ำช้าของเจียงหลีเสียแต่ต้น อีกไม่นาน คนทั้งจวนจะต้องสิ้นใจเพราะน้องสาวจอมเสแสร้งผู้นี้เช่นในอดีตอีกครั้งเป็นแน่นางสูดลมหายใจลึก กัดฟันกลั้นน้ำตาเอาไว้ ก่อนตัดใจเอ่ยเสียงเข้ม“พอเถิด เจียงหลี เจ้ายังไม่สำนึกหรือ? เจ้ายังสร้างความอับอายให้ท่านแม่ ท่านย่าไม่พออีกหรือ ลูกหลายสตรีสกุลสวีมิได้มีเจ้าเพียงผู้เดียวนะ องค์ชายสาม เชิญเถอะเพคะ”นางหันไปกล่าวกับไป๋อี้เฉินเสียงเด็ดขาด สีหน้าเรียบนิ่ง ทว่าดุดันเกินต้านทาน จากนั้นจึงพยักหน้าให้หลันถิงกับเสี่ยวจิ่งเข้ามาช่วยแยกเจียงหลีออกจากแขนของไป๋อี้เฉิน ในที่สุดฝ่ายบุรุษทั้งสี่จึงสามารถก้าวออกจากห้องไปได้เสียทีบรรยากาศหลังจากนั้นตกอยู่ในความเงียบขรึม สวีเจียงหลัวเดินตรงไปซับน้ำตาให้มารดาด้วยความอ่อนโยน ก่อนโน้มตัวลงประคองไหล่เหล่าไท่ไท่ กระซิบเสียงแผ่วปลุกใจ“ท่านแม่ ท่านย่า... โปรดเข้มแข็ง ข้ายังอยู่ตรงนี้ ไม่มีสิ่งใดในใต้หล้าที่จะทำลายสกุลสวีได้อีกต่อไป”น้ำเสียงของนางมั่นคง อ่อนโยน ปลุกเร้าให้สอง
ความระแวงพลุ่งพล่านแล่นวาบในใจของไป๋อี้เฉิน ใบหน้าที่เคยแข็งกร้าวบัดนี้กลับฉายแววเคร่งเครียดหนักยิ่งขึ้น เขาขบกรามแน่น พยายามฝืนเก็บซากศักดิ์ศรีไว้ก่อนหันมาเอ่ยวาจาต่อสวีเจียงหลัวด้วยน้ำเสียงอ่อนลงประหนึ่งวิงวอน“หลัวเอ๋อ... เจ้าช่วยฟังข้าอธิบายสักหน่อยเถิด ทุกอย่างมันมิได้เป็นเช่นที่เจ้าคิด...ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะ...”หากแต่สวีเจียงหลัวไม่เปิดโอกาสให้แม้แต่จะกล่าวจบประโยค นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบราวน้ำแข็งพันปี“ฟังอันใดหรือเพคะ? ฟังว่าองค์ชายสามเผลอไผลชั่วครู่ หรือว่าต้องฟังข้อแก้ตัวว่าน้องสาวของหม่อมฉันยั่วยวนเสียจนท่านหักห้ามใจมิได้?”นางจ้องมองบุรุษและน้องสาวตรงหน้าด้วยสายตาเหยียดหยัน คำพูดนั้นเหมือนกระบี่คมกริบแทงทะลวงศักดิ์ศรีทั้งสอง ก่อนแค่นหัวเราะเบา ๆ เจือรสขมขื่นปนสะใจ“จะเพราะเผลอไผลก็ดี หรือถูกยั่วยวนก็ช่าง... หากท่านมีใจมั่นคงต่อหม่อมฉันจริงดังที่เคยเอ่ย เรื่องต่ำช้าเช่นนี้จักเกิดขึ้นหรือ?”ดวงตาคู่งามของเจียงหลัวหรี่ลงเล็กน้อย ริมฝีปากโค้งเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น หากแต่ภายในใจกลับปะทุคลื่นแค้นและเย้ยหยัน‘ต่อให้วันนี้ข้าต้องผิดกฎสวรรค์ ใครเล่าจะสน? สวรรค์นั้นไร้ใจ แต่