กัสนั่งนิ่งๆ ก่อนที่จะไปท้องพระโรง เขาคิดย้อนเหตุการณ์เมื่อเสือเข้มพามาถึงยังหมู่บ้านกองโจร ซึ่งคนละที่กับซุ้มเสือเข้ม เพียงแค่เข้าไปถึงแม้จะไม่ประหลาดใจ แต่ก็ต้องอึ้งกับผู้คนในที่แห่งนี้ ที่มีหลากหลายอายุคละกันไป และมีการฝีกปรือฝีดาบอย่างขะมักเขม้น แต่เขาก็พยายามมองผ่านและเดินตามเสือเข้าไปข้างใน
“แม่นมข้ากลับมาแล้ว” เสือเข้มวิ่งเข้าไปกราบแท่บเท้าของ มัณฑนานางกำนัลเก่าแห่งเมืองเมฆาบุรี
“หายไปนายมากเลยนะ แม่อดคิดถึงเอ็งไม่ได้เลย เอ้า แล้วพาใครมาด้วยล่ะนะ” มัณฑนามองมายังกัสที่ยืนนิ่ง แต่แล้วเมื่อเห็นสายตาของมัณฑนาเขาก็ต้องนั่งลงแต่โดยดี
“เพื่อนข้าเอง” เสือเข้มอมยิ้ม
“เพื่อนเอ็งเป็นใครกัน ทำไมผิวพรรณยังกับคนในรั้วในวัง รูปร่างก็บอบบางยังกับอิสตรี เอ็งไปรู้จักกับเขาได้อย่างไรกัน”
“ข้าเจอโดยบังเอิญชื่อโสภณ เป็นโอรสลับๆ ของสนมแห่งเมืองโสรยานคร”
กัสรู้สึกประดักประเด่อพอสมควร เพราะเขากับเสือเข้มได้ตกลงตอนเดินทางมาที่แห่งนี้ ความคิดเช่นเดิมได้เกิดครั้งแรกที่เขาได้เจอแม่ทัพวิศรุฒ แต่ได้ปดมดเท็จว่าเป็นองค์ชายโสภณ กัสจึงทำตามเช่นเคยซึ่งเสือเข้มก็เห็นพ้องไม่ทัดทาน
“อ่อ องค์ชายตกยาก คงจะเป็นคนองค์ชายที่เหลืออยู่องค์สุดท้าย เพราะเมืองโสรยาถูกแม่ทัพวิศรุฒเผาจนวอดวายไปแล้ว ช่างน่าสงสารชีวิตช่างเหมือนของเอ็งเลย”
“ใช่แม่ แต่ข้ายังมีบ้านเมืองกู้เอาคืนมา แต่ไอ้โสภณไม่มีอะไรเหลือแล้ว ข้าเลยพามันมาเป็นตัวแทนข้าไงแม่”
“ตัวแทนอะไรแม่ไม่เข้าใจสิ่งที่เอ็งพูดแม้แต่นิดเดียว” มัณฑนานางกำนัลที่เลี้ยงดูเสือเข้มมาตั้งแต่แบเบาะ ถึงแม้เสือเข้มจะรู้ว่านางไม่ใช่แม่ที่แท้จริง แต่ก็นับถืออย่างแม่แท้ๆ ไม่มีเป็นอื่นแต่อย่างใด
“ไอ้โสภณออกไปข้างนอกก่อน” เสือเข้มใช้สายตาอันดุดันจ้องมองไปยังโสภณ ซึ่งเขาก็ไม่สามารถที่จะทัดทานสายตานี้ แวบแรกที่เห็นจึงรีบลุกขึ้นยืนและเดินออกไปในทันที
“เล่ามา แม่งงไปหมดแล้ว”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าแค่จะเห็นไอ้โสภณเป็นองค์ชายเมธีแทนข้า ส่วนข้าก็จะเป็นองครักษ์เข้ม”
“เอ็งเป็นอะไร อยู่ๆ จะยกตำแหน่งองค์ชายให้คืนอื่น”
“แม่ฟังข้าก่อน แม่ก็รู้นี่ในเมืองนั้นมีแต่เสือสิงกระทิงแรด ขนาดราชาเมฆาที่ว่าแน่ยังสิ้นพระชนม์อย่างน่าสงสัย แล้วในวังนั้นมีแค่อำมาตย์มงคลที่ไว้ใจได้ ส่วนคนอื่นแต่ละคนเขี้ยวลากดินกันทั้งนั้น ยิ่งแม่ทัพวิหคกับลูกของมันร้ายกว่าใคร มีอำนาจเหนือกว่าราชาเมฆาอีก”
“แล้วไง แม่ไม่เข้าใจ”
“ก็เอาไอ้โสภณบังหน้าไง ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น มันนั่นแหละต้องตายก่อนข้า” เสือเข้มหัวเราะออกมา
“ลูกแม่ สิ่งที่แม่สอนไม่ใช่อย่างนี้นะ” มัณฑนารู้สึกเสียใจอย่างมาก เพราะเธอไม่คาดคิดว่าคนที่เธอฟูมฟักเลี้ยงมาตั้งแต่เยาว์วัยจะเปลื่ยนไป แต่เธอก็ไม่แปลกใจเท่าไรหนัก เพราะเสือเข้มเริ่มโตเป็นหนุ่มอำมาตย์เมธีก็พาไปยังซุ้มเสือ ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่ค่อยได้พบหน้าตาเสือเข้มสักเท่าไร
“แม่อย่าคิดมากเลย แม่อย่าลืมว่าท่านอำมาตย์เมธีไม่รู้ว่าข้าคือโอรสของราชาเมษา ไม่ใช่ราชาเมฆาที่พึ่งสิ้นพระชนม์ไป”
“เรื่องนี้ไม่มีใครรู้นอกจากแม่และสาลินี ซึ่งแม่ก็ไม่รู้นางไปอยู่ไหน ส่วนโอรสของราชาเมฆาเป็นตายร้ายดีอย่างไรแม่ก็ไม่รู้ได้ แม่ว่าท่านอำมาตย์ไม่น่าจะมีพิษภัยอะไรหรอก ตราบใดที่ไม่รู้ว่าเอ็งเป็นใคร”
“ใช่ไง ข้าเลยเอาโสภณเป็นโล่กำลังเพื่อป้องกัน ถ้ามีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น แม่อย่าลืมนะโอรสของราชาเมฆายังอยู่ แล้วเราก็ไม่รู้นางกำนัลสาลินีได้บอกอะไรไว้บ้าง”
“นางไม่บอกหรอกแม่เชื่อใจสาลินี นางคงเลี้ยงแบบสามัญชนคนธรรมดา หรือไม่ป่านนี้ไม่อยู่บนโลกใบนี้ก็ได้”
“แม่ มันมีอีกหลายเรื่อง ยิ่งพวกขุนนางแต่ละคนคงไม่ปล่อยให้ข้าอยู่สบายหรอก คงจะวางแผนฆ่าจนวุ่นวาย และอีกอย่างข้าไม่ใช่โอรสราชาเมฆา แต่ข้าคือโอรสราชาเมษา ข้าไม่อยากเป็นโอรสของคนที่ฆ่าพ่อแม่ข้า แม่รู้ไหมข้าจะรอโอกาสเป็นองค์ชายเมธาโอรสของราชาเมษา”
“เอาล่ะ ลูกก็โตแล้วคงตัดสินใจเอง แม่ไม่ทัดทานหรอก ออกไปหาโสภณได้แล้ว หลังจากนั้นตกลงคุยกันดีๆ อย่าให้ผิดพลาดเป็นอันขาด เพราะนั่นมันคือชีวิตของคนคนหนึ่งเชียวนะ” มัณฑนารู้สึกผิดและสงสารกัสที่อยู่ในร่างของโสภณอย่างสุดซึ้ง
“คิดอะไร อำมาตย์มงคลมาแล้ว” เสียงของเสือเข้มดังขึ้น
กัสได้สติขึ้นมาทันทีเขาจึงลืมตาโพลง แล้วหันไปมองเสือเข้มด้วยโดยความไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้นอกจากนิ่งใส่อย่างเดียว
“จะไหวเหรอ” อำมาตย์มงคลยืนกอดอก พร้อมด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด
“ไหวคอยดูก็แล้วกัน” กัสพูดเสียงหนักแน่น
“ถ้าไหวก็ไปที่ท้องพระโรงได้แล้วองค์ชายเมธี” อำมาตย์ยังไม่วายมองทั้งกัสและเสือเข้ม ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ร่างอันสูงเคียงบ่าเสือเข้มและไม่ได้ล่ำแม้แต่น้อย เดินนำหน้าโดยอำมาตย์มงคลกับเสือเข้มซึ่งตอนนี้กลายเป็นองครักษ์เข้มไปแล้ว ในห้วงเวลานี้กัสตื่นเต้นยิ่งนัก ถึงแม้จะรู้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นนั้น เขาน่าจะรับสถานการณ์ได้ แต่ยังแอบหวั่นเพราะเขายังไม่ได้เขียนบรรยายอย่างละเอียด เป็นเพียงแค่โครงร่างคร่าวๆ แต่ถึงกระนั้นในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นใด เขาก็พร้อมจะสู้ฟันฟ่าอุปสรรคไปให้จงได้
เพียงกัสย่างเท้าเข้าไปในท้องพระโรง เขาก็ต้องพบกับสายตาอันดุดัน และดูไม่เป็นมิตรแต่อย่างใด ถึงจะหวั่นไหวแต่ก็ต้องเผชิญหน้าต่อไป กัสจึงเดินมองตรงไปยังบัลลังก์ที่ทำด้วยทองคำแกละสลักวิจิตตระการตา เมื่อเขาเดินไปถึงก็ก้าวเท้าขึ้นบันไดไปสามขั้น แล้วหันหน้ามายังบรรดาขุนนางที่เฝ้ามองอย่างไม่กะพริบตาแม้วินาทีเดียว แม้ว่าสายตาจะไม่เป็นมิตรแต่น้ำเสียงกับดังกึกก้องคำนับโดยดุษฎี
“ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ”
ศีรษะของกัสพยักหน้าลงเป็นการรับรู้ ต่อจากนั่งเขาจึงนั่งลงตรงบัลลังก์ พร้อมกับหันขวาไปหาอำมาตย์มงคลชั่ววินาที ประหนึ่งอยากขอคำแนะนำจากท่าอำมาตย์ว่าจะพูดว่าอะไรต่อจากนี้ แต่นั่นเป็นสิ่งที่กัสคิดผิด เพราะท่านอำมาตย์เป็นคนพูดแทน
“นี่คือองค์ชายเมธี โอรสของราชาเมฆาและราชินีมาริสา ซึ่งในเมื่อทั้งสองสิ้นพระชนม์ไปแล้ว องค์ชายเมธีก็คือรัชทายาทก็จะต้องขึ้นครองบัลลังก์ต่อไป”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรกันว่านี้คือองค์ชายเมธี” แม่ทัพวิหคเอ่ยขึ้นด้วยความไม่เชื่อ
“ข้ามีราชสาส์นของราชาเมฆา พร้อมประทับตรามิขาดตกบกพร่อง และสิ่งสำคัญคือธำมรงค์ที่อยู่พระดัชนีขององค์ชาย น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้นะท่านแม่ทัพวิหค”
“องค์ชายเมธี ข้าขอให้ท่านพระราชทานธำมรงค์ ให้แกขุนางทั้งหลายได้ตรวจสอบ”
กัสดึงแหวนออกจากนิ้วชิ้และยื่นให้เสือเข้มไปมอบให้แก่ท่านอำมาตย์มงคล ซึ่งเมื่ออำมาตย์มงคลได้รับมาแล้ว จึงเดินไปหาแม่ทัพวิหคให้ได้ตรวจสอบ และส่งต่อไปยังขุนนางท่านอื่นๆ อีกหลายคน
หน้าตาของกัสวิตกกังวลยิ่งหนัก ถึงแม้จะรู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นแบบคร่าวๆ แต่ยังอดหวั่นใจไม่ได้ สายตาของกัสจึงมองไปยังขุนนางทุกคนที่ตรวจสอบ ความเป็นองค์ชายเมธีอย่างเคร่งเครียด
เมื่อขุนนางทุกท่านตรวจสอบและเห็นพ้วงต้องกันว่าเป็นองค์ชายตัวจริง กัสถึงกับโล่งอกและรีบรับธำมรงค์มาสวมใส่ไว้ตามเดิม
“ข้อนี้กระหม่อมรับอย่างไม่มีข้อสังสัย แต่เรื่องความสามารถที่จะครองนครแห่งนี้ กระหม่อมยังไม่มั่นใจในตัวพระองค์พระเจ้าค่ะ” แม่ทัพวิหคเอ่ยขึ้นมาพร้อมยิ้มที่มุมปาก
“ท่านแม่ทัพวิหคพูดเยี่ยงนี้จะให้ข้าทำกระไรรึ” กัสกลั้นใจพูดออกมาแต่ยังสั่นกลัวอยู่
“ช่างกล้าหาญดีมากองค์ชายเมธี”
“ว่ามาจะให้ข้าทำอะไร”
“นครของเรากว้างใหญ่ไพศาล ก็เพราะมาจากฝีมือเหล่าแม่ทัพ ตั้งแต่อดีตไม่ว่าจะยุคของราชาเมษา ต่อมาถึงราชาเมฆา ส่วนราชานั่งบนบัลลังก์ไม่ได้แสดงฝีมืออะไรเลย แล้วแบบนี้ขุนนางและประชาชนจะไว้ใจได้อย่างไรกัน เพราะอดีตที่ผ่านก็เห็นกันอยู่ว่าแต่ละพระองค์แท่บไม่เคยออกรบทำสงคราม” แม่ทัพวิหคใช้สายตาอันดุดันมองกัสอย่างอาฆาต
“ท่านวิหคท่านจะมากเกินไปแล้วกระมั้ง นี่คือรัชทายาทที่กำลังจะขึ้นครองบัลลังก์ ถ้าให้ไปออกรบแล้วเกิดเหตุไม่คาดฝัน พวกเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรกัน” อำมาตย์มงคลมีสีหน้าที่เกรี้ยวกราดพอสมควร
“หาคนใหม่ ว่าไงพวกเราเห็นด้วยกับข้าไหม” แม่ทัพวิหคพูดขึ้นเสียงดัง
“เห็นด้วยกับท่านแม่ทัพ” เสียงขุนนางกึกก้องทั้งท้องพระโรง
“ไม่ต้องกลัวท่านอำมาตย์ ข้าจะให้บุตรของข้าไปด้วย รับรองปลอดภัยหายห่วง”
“รองแม่ทัพวิจารณ์น่ะเหรอ” อำมาตย์มองไปยังบุตรชายของแม่ทัพวิหค ที่ยืนสง่านิ่งขรึมแต่ภายในใจเก็บความใฝ่สูงไว้เต็มอุรา
“ใช่ ดูแล้วพระชันษาน่าจะเท่ากับองค์ชายนะพระเจ้าค่ะ” แม่ทัพวิหคยิ้มอย่างผู้มีชัยต่อหน้ากัส
“อือ” กัสพยักหน้าตอบรับและหันไปมองเสือเข้ม ซึ่งเสือเข้มก็พยักหน้าไปการตอบรับ
“ได้ข้าจะออกศึกในครั้งด้วย”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ ถึงจะสมเป็นว่าที่ราชาแห่งเมฆาบุรี ถ้างั้นที่แรกพระองค์ต้องไปออกศึกรบกับเมืองศิลานคร ซึ่งในเพลานี้แม่ทัพวิศรุฒได้ยกทัพมาประชิดชายแดน ถ้าเรายังไม่ไปช่วยสกัดกั้นไว้อีกไม่นานคงจะมาประชิดประตูเมืองอย่างแน่นอน”
“แล้วทำไมท่านไม่ไป ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาแล้วพวกเราจะทำอย่างไรกัน” อำมาตย์มงคลไม่คาดคิดว่าแม่ทัพวิหคจะมาไม้นี้
“ข้าอยู่นี้ทั้งคนจะกลัวไปใย และอีกอย่างที่ชายแดนก็มีแม่ทัพตุลาอยู่นั่น ไหนจะบุตรของข้าอีก เผลอๆ องค์ชายเมธีแค่ไปนั่งเป็นขวัญเหล่าทหารแค่นั้นแหละ องค์ชายเมธียังไม่กลัวเลย ท่านจะกลัวไปใยอำมาตย์มงคล”
“เอาล่ะเลิกเถียงกันได้แล้ว ในเมื่อข้าตกลงจะไปก็คือไป ไม่ต้องไม่พูดอะไรกันอีกแล้ว เป็นอันว่าพรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทาง ใครที่จะติดตามข้าโปรดเตรียมตัวให้พร้อม เลิกประชุมได้ข้าจะกลับตำหนัก”
น้ำเสียงของกัสถึงจะดังปานใด แต่ไม่ได้มีพลังอำนาจเหนือผู้อื่น จึงสร้างความขบขันภายในใจเหล่าขุนนาง แต่กัสก็ไม่สนเขารีบลงจากบัลลังก์และเดินอย่างเร่งรีบ โดยไม่มองหน้าใครแม้แต่คนเดียว เพราะเขารู้สึกหวั่นใจคนที่จะต้องออกรบด้วยนั่นคือแม่ทัพวิศรุฒ ซึ่งเก่งกาจสามารถเหนือคนอื่น ถ้าเกิดต้องประจันหน้ากันกัสไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไร เพราะในนิยายตัวเขาคือยิวที่แม่ทัพวิศรุฒเริ่มมีใจใคร่เสน่หา
ศีรษะที่กระแทกลงบนโน๊ตบุ๊ค ทำให้ได้แรงกระเทือนสลบวูบไปชั่วครู่ เมื่อได้สติดวงตาคู่นี้จึงลืมขึ้นทันที พร้อมหันไปมองเสียงประตูที่เปิดออก ซึ่งเห็นชายหนุ่มที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนคนรู้จัก แต่แล้วเขาก็ไม่ได้คิดอะไรนาน เพราะผู้ชายตรงหน้าหันมามอง และรู้ได้ทันทีว่าเป็นเป็ก“ถึงเราจะโกรธนาย แต่สิ่งที่นายให้เราทำ เราก็จะทำให้นายเป็นครั้งสุดท้าย” เมื่อเป็กพูดจบเขาก็เดินออกจากประตูไปในทันใด พร้อมปิดประตูจนเสียงดังลั่นสนั่นมือน้อยๆ กำที่ศีรษะสายตามองไปรอบๆ ดวงตาคู่นั้นถึงกับเบิกโพลงทันใด เพราะสิ่งที่เห็นเป็นห้องนอนอันคุ้นเคย มือนั้นรีบมาจับศีรษะและบริเวณลำคอทันใด“เรายังไม่ตาย” ยิวพูดขึ้นลอยๆ แล้วความแปลกใจและตื่นตระหนกยิวคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ตอนอยู่ลานประหาร สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือแค่รับสัมผัสจากคมดาบเพียงชั่ววินาที หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้แม้แต่นิด ยิวคิดวนมาวนไปหลายรอบพร้อมหันหน้าไปมา จนเห็นโน๊คบุ๊คเปิดอยู่เขาจึงจับเม้าท์คลิกเปิดดูทันใด และสิ่งที่เขาเห็นเป็นคลิปวีดีโอตัวเขาเองกับพีคกำลังนอนกอดกัน“อะไรกันนี่ มันไม่ใชเรานี่หน่า” ยิวปิดวีดีโอนั้นทันทีเมื่อปิดวีดีโอเสร็จเขาได้เห็นเว็บเขี
ข่าวทำสงครามของแม่ทัพวิศรุฒรบชนะดังไปทั่วแคว้นแดนดิน ทั้งสองเมืองต่างเฉลิมฉลองอึกทึกครึกโครม เพราะในช่วงเวลานี้ได้เป็นพันธมิตรกัน หลังจากงานอันเป็นมงคลได้ผ่านไป แม่ทัพวิศรุฒซึ่งในเวลานี้เป็นราชาวิศรุฒ ได้ทราบข่าวร้ายในทันใด เมื่อจอมได้รีบมาบอกข่าวนี้ทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราวไม่ดี“พระองค์ ราชาศิลาจะประหารชีวิตองค์ชายเมธีพระเจ้าค่ะ” จอมหน้านิ่วคิ้วขมวด“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุผลใดเล่า” แม่ทัพวิศรุฒมีสีหน้าวิตกกังวลยิ่งนัก“ได้ข่าวมาองค์ชายเมธีได้ฆ่าองค์ชายศิธาตายพระเจ้าค่ะ”“ไม่น่าใช่ อ่อนแอขนาดนั้น”“กระหม่อมก็ไม่รู้ แต่สายรายงานข่าวมาเช่นนี้พระเจ้าค่ะ พระองค์จะทำเช่นไรข้าอดเป็นห่วงองค์ชายเมธีไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวจริงอย่างน้อยพระองค์ท่านก็มีบุญแก่กระหม่อม”“ไม่ต้องห่วงข้าจะกลับเมืองศิลานคร แต่ข้าจะขี่ม้าไปคนเดียว เพราะจะได้ไวขึ้นกว่าไปเป็นกองทัพ”“กระหม่อมขอเสด็จตามไปด้วยนะพระเจ้าค่ะ”“ได้ ออกเดินทางวันนี้เลยเดี๋ยวไม่ทันการณ์” ราชาวิศรุฒถอนหายใจเฮือกใหญ่“พระเจ้าค่ะ กระหม่อมไปเตรียมม้าและข้าวของจำเป็นก่อนนะพระเจ้าค่ะ”“อืม”“กระหม่อมทูลลา”ราชาวิศรุฒยืนนิ่งครุ่นคิดและหวาดหวั่
กัสหยุดเขียนนิยายไปหลายวัน และเริ่มตีตัวออกห่างเป็กแล้วเข้าหาพีคในช่วงเวลาเดียวกัน ค่ำคืนนี้จึงเป็นแผนเผด็จศึกและเสร็จศึกให้จบสิ้น เขาจึงรีบโทรหาพีคในทันใด“ฮัลโหลมีอะไรหรือเปล่าน้องกัส”“พี่พีค” กัสร้องสะอื้นไห้ออกมา“เป็นอะไรบอกพี่มา”“เป็กเขาทิ้งกัสไปแล้ว เขาบอกเบื่อกัสไม่อยากคบเป็นแฟนอีกต่อไป”มีแต่เสียงสะอื้นไห้ของกัสแต่ไร้เสียงใดๆ ของพีค จนกัสรู้สึกใจหายและผิดหวังในสิ่งที่ทำลงไปไม่เกิดผล“ใจเย็นๆ ในเมื่อเขาไม่รักเราแล้ว ก็ปล่อยเขาไปเหมือนอย่างพี่กับเขื่อนไง อย่าเสียใจไปเลย”“แต่ อืม กัสยังคิดอดไม่ได้ครับ” กัสกลับมาดีใจอีกครั้ง“ไม่ต้องคิดอะไรมาก เอาอย่างนี้พี่จะไปอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน ในเมื่อเป็กเลิกกับกัสกันไปแล้ว พี่ไปอยู่ด้วยคงไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก ถ้างั้นรอพี่อยู่ที่ห้องนะอย่าคิดอะไรมาก พี่จะรีบไปเดี่ยวนี้ ทำใจดีๆ ไว้นะน้องกัส”“ครับ ขอบใจพี่พีคมากที่คอยดูแลกัสตลอดมา”“อืม ไม่เป็นไร”เมื่อพีคได้วางหูโทรศัพท์มือถือ กัสถึงกับอมยิ้มและเตรียมแผนการต่อไว้อย่างดี หลังจากนั้นกัสนิ่งรอพีคมายังห้องอย่างใจจดใจจ่ออย่างมีความหวัง และคาดฝันในสิ่งที่วางแผนไว้ ซึ่งเวลาที่เฝ้ารอไม่ได้นานมา
เวลาที่แม่ทัพวิศรุฒรอคอยได้มาถึง เมื่อถึงเวลาเขาบุกเข้าไปในเมืองเมฆาบุรีทันที แต่ยังไปไม่ถึงป้อมปราการ ทัพเสือเข้มวิ่งกรู่เข้ามาอย่างรวดเร็ว สองกองทัพต่างวิ่งถือดาบธนูเข้าหากัน เหมือนกับเคืองแค้นกันมาหลายภพหลายชาติเหล่าทหารกองทัพเมืองศิลานครนำทัพโดย แม่ทัพวิศรุฒนั้นร่างกายค่อนข้างแกร่งฝีมือดี เพราะผ่านศึกสงครามและฝึกฝนอย่างหนัก ในทางกลับกันฝีมือของกองทัพเสือเข้มร่างกายได้หาแข็งแกร่งไม่ ฝีมือใช่ว่าจะดีมากมาย แต่ที่ชนะกองทัพของราชาวิหคเพราะรบแบบกองโจร และแผนการอันแยบยล ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะมีทหารโดยแท้ปะปนมาด้วย แต่หาเทียบเหล่าทหารแม่ทัพวิศรุฒได้ โดยการครั้งนี้มีเสือเข้มนำกองทัพออกรบ แต่บรรดาทหารไม่ได้ออกมาทั้งหมดแม่ทัพวิศรุฒก็รู้ดีเช่นกัน เพราะทราบข่าวจากการสู้รบของเสือเข้มจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาจึงเตรียมการไว้อย่างดี เมื่อเขาได้นำทัพมาถึงกลางสนามรบ แต่ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ในทันที เพราะเสือเข้มออกมาสู้ประจันหน้า และพร้อมกับสองข้างฝั่งมีกองโจรดักอยู่ คอยยิ่งธนูไม่ขาดสายถึงเป็นเช่นนั้นแม่ทัพวิศรุฒหากลัวไม่ เพราะสองฝั่งเขาให้จอมและทันเดินทัพออกห่างออกไปไกล เมื่อถึงเวลารบจ
กัสยังไม่ได้เริ่มเขียนนิยายแม้แต่คำเดียว เป็กก็มาถึงยังห้องนอนอย่างรวดเร็ว จึงมีความจำเป็นต้องหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น“เราทำให้นายทุกอย่างเลยนะ ว่าแต่นายจะทำอะไรให้เราบ้างล่ะในคืนนี้” เป็กกอดร่างของยิวไว้แน่นพร้อมบรรจงจูบทั่วใบหน้า ไม่ว่างเว้นแม้แต่ส่วนเดียว“ไปอดอยากมาจากไหน” กัสยังนิ่งเฉยไม่ขัดขืนแต่อย่างใด“ใช่ อดอยาก อมให้หน่อย” เป็กหยุดสัมผัสเรือนกายของกัสและปลดอาภรณ์ทุกชิ้นออกไม่มีเหลือ พร้อมกับล้มตัวลงนอนข้างๆ กัสที่นั่งยิ้มแต่ใจนั้นแสนเบื่อหน่ายกัสไม่สามารถที่จะปฏิเสธการนี้ได้ เขาจึงจับท่อนเอ็นของเป็กที่กำลังแข็งตั้งตระหง่าชูชัน พร้อมกับก้มใบหน้า ใช้ริมฝีปากสัมผัสท่อนเอ็นส่วนปลายสีชมพูอ่อนๆ จากทีแรกรู้สึกเบื่อหน่ายแต่เมื่อเห็นท่อนเอ็น ทำให้มีอารมณ์ร่วมมากขึ้นกัสจึงใช้ปลายลิ้นสัมผัสไล้เลียวนมาวนไปอย่างใคร่กระหาย“อืม อืม อืม” เป็กครางออกมาด้วยความเสียวซ่านอย่างถึงใจ“จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ” เสียงอมรูดท่อนเอ็นดังอย่างต่อเนื่องริมฝีปากอันเล็กรูดท่อนเอ็นขึ้นลงอย่างช้าๆ และใช้ปลายลิ้นตวัดเลียไปมา พร้อมกับเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนร่างของเป็กสั่นสะท้าน ความรู้สึกสยิวท่อนเอ็นอย่างต่อเนื่อง
ยิวนั่งหมดอะไรตายอยากในห้องบรรทมอย่างเงียบเหงา ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ หมดสิ้นหนทางอย่างไร้ที่หมาย เขาถึงกับถอนหายใจถี่ก้มมองลงพื้นด้วยความกลัดกลุ้มในใจอย่างรวดร้าว แต่แล้วเมื่อเขาได้ยินเสียงประตูเปิดออก ความรู้สึกนั้นได้จางหายไปในทันที เมื่อร่างขององค์ชายศิธาปรากฏ“นั่งเหงาเลยนะองค์ชายเมธี”“ถ้ามาพูดแค่นี้ไม่น่าต้องเสด็จมาก็ได้”“ข้ามีเรื่องจะบอกองค์ชายถึงมานี่ เรื่องนี้ข้าเท่านั้นที่ต้องบอก จะได้สมน้ำสมเนื้อกับองค์ชาย”“เรื่องอะไร” ยิวให้ไปทั้งใบหน้ามององค์ชายศิธาที่ยืนยิ้มอย่างเย้ยหยัน“แม่ทัพวิศรุฒออกเดินทางไปยังเมืองเมฆาบุรีแล้ว”ยิวไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเขารู้สึกใจหายหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน เพราะนั่นเท่ากับเขาอยู่ที่นี่อย่างไร้ความหมาย“รู้ไหม ทำไมแม่ทัพวิศรุฒถึงไปยังเมฆาบุรี”“ข้าไม่รู้”“เพราะที่เมฆาบุรีเกิดการกบฏอีกครั้ง และคนก่อกบฏก็เป็นเสือเข้ม องครักษ์ขององค์ชายนี่ใช่ไหม”ดวงตาของยิวเบิกโตตื่นเต้นไม่คาดคิดว่าเสือเข้มจะทำได้จริงๆ และนั่นเขาก็หวั่นๆ ว่าจะเกิดร้ายไม่ดีกับแม่ทัพวิศรุฒ“เพลานี้เมืองเมฆาบุรีกำลังวุ่นวาย เสด็จพ่อของข้าจึงสั่งจัดการให้สิ้นซาก”“บอกข้าทำไม” ยิว