LOGINบรรยากาศในลานประชันฝีมือยังคงคึกคักหลังจากการแสดงของยอดหญิงงามทั้งห้าสิ้นสุดลง เมื่อถึงเวลาลงคะแนน ป้ายไม้กลับถูกมอบให้แก่สตรีที่ไม่ได้อยู่ในสายตาผู้ใดมาก่อนอย่างคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง เฉินเซียงหรง กองป้ายสูงเกือบสามเท่าตัวคนทำให้นางกลายเป็นผู้ชนะไปอย่างขาดลอย ได้ครอบครองตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีในปีนี้
เซียงหรงยิ้มน้อยๆ อย่างสงบเสงี่ยมเช่นเดิม นางเองก็รู้สึกดีใจไม่น้อย แต่ไม่ได้เสียกิริยาเพียงเพราะเสียงปรบมือกึกก้องแต่อย่างใด
ทว่าเพียงครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันจากใครบางคนในกลุ่มฝูงชนที่มาชมการแข่งขัน
“โฉมงามยอดเมธีในปีนี้ เป็นเพียงสตรีที่แปดเปื้อนราคีคาว! น่าอับอายยิ่งนัก!”
เสียงคำกล่าวหยามเหยียดนั้นไม่ดังมาก แต่ชัดเจนพอที่จะทำให้ทั้งลานแข่งขันเงียบลง
สีหน้าของเฉินกั๋วกงทั้งเจ็บแค้นทั้งโศกสลด เช่นเดียวกับอนุหาน หานชิงเยว่ ที่ลุกขึ้นมาในทันใด
“ผู้ใดกล่าวหาบุตรีข้า! คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง!” นางตะเบงเสียง ยิ่งเอ่ยก็ยิ่งดัง “องครักษ์จวนสกุลเฉินอยู่ที่ใด รีบตามหาตัวคนพูดเดี๋ยวนี้! ข้าจะทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่ได้พูดพล่อยๆ ออกมาอีก!”
ท่าทางเฉียบขาดและผดุงความยุติธรรมเรียกสายตาชื่นชมจากบรรดาสตรีบรรดาศักดิ์ได้มากมาย ภายในใจอนุหานกระหยิ่มยิ้มย่องไม่หยุด
ชื่นชมข้าสิ ฮึ! พวกโง่เง่า พวกเจ้าไม่มีทางหาคนพูดเจอหรอก ก็เขาเป็นคนของข้าเองนี่!
คนอื่นๆ เริ่มจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงดัง บ้างก็พยักหน้าเห็นด้วย บ้างกลับหันไปซุบซิบเรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับคุณหนูสาม เฉินเซียงหรง ทว่ามีผู้คนที่เฉลียวฉลาดไม่น้อยเริ่มคิดตามนัยแห่งคำพูดของอนุหาน
เพียงห้ามไม่ให้พูด...ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ใช่ความจริง
ช่างเป็นสตรีที่จิตใจน่ากลัวยิ่งนัก
ระหว่างนั้น บรรดาราชบัณฑิตผู้ทรงภูมิ ซึ่งเป็นคณะกรรมการในงานครั้งนี้เริ่มกระซิบหารือกันอย่างเคร่งเครียด ก่อนที่หัวหน้าราชบัณฑิตที่มากด้วยความน่าเกรงขามจะลุกขึ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ราชบัณฑิตทุกท่านได้ลงความเห็นกันแล้ว ว่าความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์นั้น อยู่ที่ใจใช่ร่างกาย! โฉมงามยอดเมธีนั้นคือตำแหน่งที่มอบให้สตรีงดงามทรงภูมิอันดับหนึ่งของเทียนจินเรา มิได้วัดกันที่เรื่องอื่นเรื่องไหน หากเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาด ไม่ว่าร่างกายจะเป็นอย่างไร ก็ย่อมนับได้ว่าเป็นปราชญ์เมธี!”
คำกล่าวนั้นแม้จะทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียงซุบซิบลดลงเลยแม้แต่น้อย ทว่าเฉินเซียงหรงที่ยืนสงบนิ่งอยู่กลางลานแข่งขันกลับนิ่งงัน
ข้าไม่หาเรื่อง เรื่องก็มาหาข้าจริงๆ เลย!
หากนางไม่แสดงตน ข่าวคาวนี้ย่อมเป็นเกราะบังไม่ให้ตระกูลใดต้องการได้ตัวนาง นับแต่นี้นางจะได้เป็นอิสระดังใจหมาย...
แต่อิสระจะมีประโยชน์ใดหากต้องแลกมาด้วยความสุข เกียรติยศ และศักดิ์ศรีของคนอื่นนอกเหนือจากนาง
คนที่กล้าทำลายชื่อเสียงของบิดานาง ว่าร้ายการอบรมสั่งสอนของมารดานาง เหยียบย่ำใบหน้าของจวนตระกูลเฉินเช่นนี้ นางยังจะปล่อยให้ลอยนวล ไม่ตอบโต้ เพียงเพราะเห็นแก่อิสระของตนเองได้หรือ
นางทำไม่ได้
เฉินเซียงหรงเงยหน้าขึ้น ก่อนส่งเสียงอย่างองอาจ
“หม่อมฉันทูลขอต่อไท่โฮ่ว หวงโฮ่ว และขอกล่าวต่อเหล่าราชบัณฑิตทุกท่าน ณ ที่นี้” นางเอ่ยเสียงดังชัดเจน ดวงตาหงส์คู่งามแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่มีใครลบล้างได้ “แม้ตำแหน่งโฉมงามยอดเมธี จะไม่เกี่ยวพันถึงเรื่องความบริสุทธิ์หรือแปดเปื้อนราคีคาว แต่เด็กสาวเช่นหม่อมฉัน และจวนเฉินกั๋วกง ไม่อาจแบกรับคำปรามาสที่ไร้หลักฐานเช่นนี้ได้”
ผู้คนในลานเริ่มซุบซิบกันเสียงดังขึ้น แต่เซียงหรงยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง
“เพื่อพิสูจน์ความจริง หม่อมฉันทูลขอให้หวงโฮ่วโปรดประทานคำสั่งให้มีการตรวจสอบความบริสุทธิ์ของหม่อมฉัน โดยหมอหญิงและนางกำนัลผู้เชี่ยวชาญ ณ ที่นี่ และเวลานี้ ขอทรงมีเมตตาด้วยเพคะ”
ความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของเซียงหรง ทำให้หวงโฮ่วทรงมองนางด้วยความชื่นชมอย่างปิดไม่มิด พระนางเหลียวสบพระเนตรแม่สามี เมื่อเห็นสวีไท่โฮ่วพยักหน้าน้อยๆ ก็กล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด “ได้! ถ่ายทอดคำสั่ง จัดเตรียมพื้นที่ศาลากลางน้ำให้กลายเป็นห้องตรวจ นำหมอหลวงหญิงและหมอหญิงผู้เชี่ยวชาญ นางกำนัลอาวุโสมาทำการตรวจสอบความบริสุทธิ์ของคุณหนูสาม หากนางยังคงไร้ราคีจริง ข้าจะคืนความบริสุทธิ์ให้นางเอง”
ใช้เวลาไม่นาน ศาลากลางน้ำก็ถูกผ้าหนาสีเข้มพันรอบ กลายเป็นห้องตรวจสอบ ผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮา เพราะได้เห็นการเตรียมการตั้งแต่ต้นจนจบ เรียกว่าไม่อาจเล่นตุกติกได้อย่างแน่แท้
เซียงหรงเดินเข้าสู่ห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้โดยสง่างาม หัวใจนางแม้จะสั่นไหวด้วยความอับอาย แต่ก็ยังมั่นคงในความจริง นางรู้ดีว่าตัวเองบริสุทธิ์ ทว่าความกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อความจริงย่อมสำคัญยิ่งกว่า
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







