เวลาผ่านไปได้ไม่นาน หลังจากตรวจดูจนแน่ใจ หมอหญิงที่มีความเชี่ยวชาญสูงสุดก้าวออกมาพร้อมกับสีหน้าจริงจัง
“ทูลหวงโฮ่ว เรียนราชบัณฑิตและสักขีพยานทุกท่าน ข้าในนามหมอหลวงหญิงผู้ตรวจสอบ ขอประกาศว่าผลการตรวจสอบพรหมจรรย์ คุณหนูสามแห่งจวนเฉินกั๋วกงยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่อง หาได้แปดเปื้อนราคีคาวดังที่ถูกกล่าวหาไม่!”
ทันทีที่คำกล่าวนั้นถูกประกาศ เสียงซุบซิบในลานพลันเงียบสงบลง เหล่าผู้คนที่เคยวิพากษ์วิจารณ์กลับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางคนเริ่มกล่าวขอโทษอย่างกระอักกระอ่วน
ไท่โฮ่วตรัสด้วยสุรเสียงเรียบเรื่อย ทว่าทรงอำนาจ “เรื่องนี้ควรเป็นบทเรียนแก่ทุกคน อย่าให้ข่าวลือที่ไร้หลักฐานกลายเป็นอาวุธทำลายเกียรติของสตรีอีกต่อไป”
สวีหวงโฮ่วค้อมศีรษะคารวะแม่สามีอย่างนบนอบ “เสด็จแม่กล่าวได้ถูกต้องแล้วเพคะ” พระนางผินหน้ากลับมาถอดปิ่นหงส์ทองคำอันหนึ่งออกส่งให้นางกำนัลคนสนิท ประกาศด้วยเสียงอันดัง “คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงเปรียบดังทองแท้ไม่กลัวไฟ งดงามกล้าหาญ นับเป็นแบบอย่างที่ดีของสตรีเยาว์วัย มอบปิ่นหงส์ทองคำประดับมุกหยกเป็นรางวัลเพิ่มเติม!”
เซียงหรงเดินออกจากห้องตรวจ คุกเข่าขอบพระทัยไท่โฮ่วและหวงโฮ่วด้วยความสง่างาม ใบหน้าของนางแม้ยังซีดเล็กน้อย แต่รอยยิ้มที่มุมปากกลับทำให้หลี่จือหลินมองนางด้วยความชื่นชมยิ่งกว่าเดิม
นางน้อมรับรางวัลสำหรับโฉมงามยอดเมธีในปีนี้ อันได้แก่ภาพอักษรฝีพระหัตถ์ ‘คุณธรรม ความสามารถ’ แท่นฝนหมึกและจานรองหมึกหยกมรกตเก่าแก่โบราณ เงินรางวัลหมื่นตำลึงที่ฝ่าบาทพระราชทาน และปิ่นหงส์ทองคำประดับมุขหยกของหวงโฮ่วด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้เหลือบมองผู้คนที่เคยกล่าวคำปรามาสและเย้ยหยัน คนเหล่านั้นไม่ได้สำคัญต่อนางแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่นางทำก็มิใช่เพื่อการพิสูจน์ตนเอง แต่เพื่อปกป้องเกียรติของตระกูลเฉินกั๋วกงเท่านั้น
เฉินกั๋วกงรีบก้าวออกมาทันทีที่นางกลับมายืนยังลานแข่งขัน สีหน้าบนใบหน้าที่ยังคงเค้าหล่อเหลาระคนไปด้วยความปลื้มปิติและความเสียใจปะปนกัน
“หรงเอ๋อร์...” เสียงทุ้มต่ำของเขาสั่นเครือเล็กน้อย “บิดา...ผิดเองที่เคยกักขังเจ้าไว้ในจวน เพราะไม่เชื่อมั่นในตัวเจ้า”
น้ำตาคลออยู่ในดวงตาของเซียงหรง แต่ใบหน้าของนางยังคงยิ้มละไม “เรื่องราวล้วนผ่านไปแล้ว ที่แล้วมาหรงเอ๋อร์อยู่ในจวนไม่ได้ทุกข์ร้อนสิ่งใด หวังเพียงนับจากนี้ ท่านพ่อเชื่อในตัวลูก ลูกก็ไม่ปรารถนาอะไรอีกแล้ว”
เสียงกระซิบชมเชยในฝูงชนเริ่มดังขึ้น บ้างกล่าวว่านางเป็นหญิงที่ทั้งอ่อนโยนและกล้าหาญ ขณะที่หวงโฮ่วซึ่งทอดพระเนตรเหตุการณ์ทั้งหมด ก็ประทับใจในความเฉลียวฉลาด สง่างาม และกล้าหาญ ของเซียงหรงเป็นอย่างยิ่ง พระนางตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเป็นอย่างยิ่ง
“คุณหนูสามแห่งจวนเฉินกั๋วกง รูปโฉมงดงาม กิริยาสงบเสงี่ยมไว้สง่า ช่างเจรจาพาที”
ถึงขั้นใช้ข้าและไท่โฮ่วเป็นเครื่องมือในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง ช่างรู้จักหยิบฉวยผลประโยชน์ยิ่งนัก!
“เจ้าช่างเป็นยอดหญิงที่หายากยิ่ง เป็นโฉมงามยอดเมธีอย่างไม่มีผู้ใดเคลือบแคลง” สวีหวงโฮ่วแย้มสรวล ก่อนรับสั่งต่อ “ไม่ทราบว่ามีผู้ใดหมายหมั้นไว้หรือยัง?”คำถามนั้นทำให้สวนชิงหลิงอันกว้างใหญ่ที่เงียบสงบกลับมามีเสียงฮือฮาอีกครั้ง
เซียงหรงหน้าซีดในทันที คำถามนี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนกำลังถูกต้อนจนมุม
หวงโฮ่วสนใจในตัวข้า!
ข้า...ข้าไม่น่าแสดงฝีมือเลย...ไม่น่าพิสูจน์ตัวเลย! จะทำอย่างไรดี! ข้าเพียงต้องการอยู่เงียบ ๆ ในจวน ไม่ให้ใครมายุ่งเกี่ยว...
ความคิดในหัวของเซียงหรงพลุ่งพล่านราวกับน้ำเดือด แต่ก่อนที่นางจะตอบคำใด เสียงทุ้มที่แฝงความมั่นใจก็ดังขึ้น
“นางคือคู่หมั้นของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จือหลินซึ่งยามนี้เช็ดหน้าเช็ดตาสะอาดหมดจดดีแล้ว ก้าวออกมาจากตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ข้างมารดาอย่างสง่างาม เสียงของเขาดังชัดเจน ทำให้ทุกสายตาหันไปจับจ้องทันที
“ไม่พบกันเสียนาน ว่าที่ภรรยาตัวน้อยของข้า เติบโตขึ้นเป็นหญิงงามขนาดนี้เชียวหรือ”
เซียงหรงแทบล้มทั้งยืน ใบหน้าของนางซีดขาวในขณะที่ดวงตาเบิกกว้าง นางจำรอยยิ้มมุมปากและแววตาที่ยียวนของเขาได้ในทันที
นางแทบจะกรีดร้องในใจ
เป็นเขา เป็นเขาจริงๆ!
เสียงซุบซิบในลานดังขึ้นอีกครั้ง หลายคนเริ่มจับกลุ่มสนทนากันอย่างตื่นเต้น บ้างกล่าวชื่นชมว่าโชคชะตาของนางช่างดีเหลือเกิน บ้างกลับตื่นตะลึงที่จู่ ๆ ทายาทแห่งตำหนักจวิ้นหวังทิศบูรพาผู้ลือชื่อว่าเป็นชายหนุ่มผู้กล้าหาญและทรงเสน่ห์กลับป่าวประกาศเช่นนี้ต่อหน้าทุกคน
เซียงหรงแทบอยากหายตัวหนีไปจากลานในทันที แต่เมื่อเหลือบมองไปยังหลี่จือหลินซึ่งยืนมั่นคงอยู่ข้างกาย เห็นใบหน้าของเขามีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ชัดเจน ก็ได้แต่กัดฟันและคร่ำครวญในใจ
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ข้าจะทำอย่างไรกับคนผู้นี้ดี!
‘พี่ชาย’ หายไปจากชีวิตนางถึงเจ็ดแปดปี ได้ข่าวว่าไปได้ดีในทางทหาร กลายเป็นแม่ทัพรักษาชายแดน แต่กลับมีภาระติดพันไม่ได้กลับเมืองหลวงแม้แต่ครั้งเดียวเพราะต้าเว่ยที่บ้าสงครามหาโอกาสโจมตีอยู่ตลอด จนนางลืมไปแล้วว่าเคยมีเรื่องหมั้นหมายด้วยถังหูลู่ห้าอีแปะ
เรื่องบ้าเช่นนี้ เขากลับยังไม่ลืม!
เสียงฮือฮายังคงอื้ออึงในลานประลอง ทว่าในใจของเซียงหรงกลับเหมือนคลื่นน้ำที่ถาโถมเข้าหาฝั่งไม่หยุดนางรู้สึกหน้ามืดวูบ ตั้งแต่หลี่จือหลินก้าวออกมาประกาศอย่างเต็มเสียง ว่านางเป็นคู่หมั้นของเขาเซียงหรงพลันหายใจไม่ทั่วท้อง หัวใจเต้นรัวอย่างตื่นตระหนก ภาพตรงหน้าของนางเหลือเพียงม่านหมอกสีดำร่างอ้อนแอ้นบอบบางทรุดฮวบไปในทันทีซู่ซินรีบเข้าไปประคองพลางร้องลั่น"คุณหนู! คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ!"หลี่จือหลินที่ยืนอยู่ไม่ไกลใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาก้าวพรวดพราดเข้าไปหา ‘หญิงคู่หมั้น’ ย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองร่างน้อยด้วยความรวดเร็ว กวาดมือออกเป็นเชิงบอกให้ซู่ซินหลบไป"หรงเอ๋อร์!" เสียงทุ้มต่ำเรียกนางอย่างอ่อนโยน กดจุดบนฝ่ามือนางด้วยแรงที่พอเหมาะเซียงหรงค่อยๆ ได้สติคืนมา เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ใกล้แค่เอื้อม หัวใจก็พลันเต้นระรัวขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะหวั่นไหว แต่เพราะความตื่นตระหนกที่ประดังประเดเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งถังหูลู่ห้าอีแปะ! สัญญาน่าหัวร่อในวัยเด็กนั่น... เซียงหรงคิดอย่างสิ้นหวัง ต
เวลาผ่านไปได้ไม่นาน หลังจากตรวจดูจนแน่ใจ หมอหญิงที่มีความเชี่ยวชาญสูงสุดก้าวออกมาพร้อมกับสีหน้าจริงจัง“ทูลหวงโฮ่ว เรียนราชบัณฑิตและสักขีพยานทุกท่าน ข้าในนามหมอหลวงหญิงผู้ตรวจสอบ ขอประกาศว่าผลการตรวจสอบพรหมจรรย์ คุณหนูสามแห่งจวนเฉินกั๋วกงยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่อง หาได้แปดเปื้อนราคีคาวดังที่ถูกกล่าวหาไม่!”ทันทีที่คำกล่าวนั้นถูกประกาศ เสียงซุบซิบในลานพลันเงียบสงบลง เหล่าผู้คนที่เคยวิพากษ์วิจารณ์กลับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางคนเริ่มกล่าวขอโทษอย่างกระอักกระอ่วนไท่โฮ่วตรัสด้วยสุรเสียงเรียบเรื่อย ทว่าทรงอำนาจ “เรื่องนี้ควรเป็นบทเรียนแก่ทุกคน อย่าให้ข่าวลือที่ไร้หลักฐานกลายเป็นอาวุธทำลายเกียรติของสตรีอีกต่อไป”สวีหวงโฮ่วค้อมศีรษะคารวะแม่สามีอย่างนบนอบ “เสด็จแม่กล่าวได้ถูกต้องแล้วเพคะ” พระนางผินหน้ากลับมาถอดปิ่นหงส์ทองคำอันหนึ่งออกส่งให้นางกำนัลคนสนิท ประกาศด้วยเสียงอันดัง “คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงเปรียบดังทองแท้ไม่กลัวไฟ งดงามกล้าหาญ นับเป็นแบบอย่างที่ดีของสตรีเยาว์วัย มอบปิ่นหงส์ทองคำประดับมุกหยกเป็นรา
บรรยากาศในลานประชันฝีมือยังคงคึกคักหลังจากการแสดงของยอดหญิงงามทั้งห้าสิ้นสุดลง เมื่อถึงเวลาลงคะแนน ป้ายไม้กลับถูกมอบให้แก่สตรีที่ไม่ได้อยู่ในสายตาผู้ใดมาก่อนอย่างคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง เฉินเซียงหรง กองป้ายสูงเกือบสามเท่าตัวคนทำให้นางกลายเป็นผู้ชนะไปอย่างขาดลอย ได้ครอบครองตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีในปีนี้เซียงหรงยิ้มน้อยๆ อย่างสงบเสงี่ยมเช่นเดิม นางเองก็รู้สึกดีใจไม่น้อย แต่ไม่ได้เสียกิริยาเพียงเพราะเสียงปรบมือกึกก้องแต่อย่างใดทว่าเพียงครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันจากใครบางคนในกลุ่มฝูงชนที่มาชมการแข่งขัน“โฉมงามยอดเมธีในปีนี้ เป็นเพียงสตรีที่แปดเปื้อนราคีคาว! น่าอับอายยิ่งนัก!”เสียงคำกล่าวหยามเหยียดนั้นไม่ดังมาก แต่ชัดเจนพอที่จะทำให้ทั้งลานแข่งขันเงียบลงสีหน้าของเฉินกั๋วกงทั้งเจ็บแค้นทั้งโศกสลด เช่นเดียวกับอนุหาน หานชิงเยว่ ที่ลุกขึ้นมาในทันใด“ผู้ใดกล่าวหาบุตรีข้า! คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง!” นางตะเบงเสียง ยิ่งเอ่ยก็ยิ่งดัง “องครักษ์จวนสกุลเฉินอยู่ที่ใด รีบตามหาตัวคนพูดเดี๋ยวนี้! ข้าจะทำให้แน่ใจว่ามันจะไม่ได้
เฉินเซียงหรงยืนอยู่กลางลานแข่งขันด้วยชุดผ้าไหมสีฟ้าปักลายดอกเหมยละเอียดอ่อน ดวงหน้าของนางสงบนิ่ง ทว่าดวงตาคู่งามเปล่งประกายแห่งสมาธิและความมั่นใจเบื้องหน้านางยามนี้มีม้วนกระดาษเซวียนจื่อที่ถูกจับขึงตั้งฉากกับพื้น แขวนไว้ด้วยเส้นเชือกเกลียวทองอันบางเบา ซ้ายมือมีโต๊ะที่ตั้งฉินเอาไว้สายลมพัดดอกเหมยพร่างพรู เซียงหรงยกพู่กันขึ้นด้วยมือขวา พลันปลายนิ้วของมือซ้ายก็เริ่มดีดสายพิณ เพลงที่บรรเลงเป็นทำนองที่รื่นหู ทว่ามีความลึกล้ำคล้ายสะท้อนธรรมชาติ ดั่งสายลมที่พัดผ่านเหล่าดอกเหมยบนภูเขาหิมะปลายพู่กันตวัดไปตามเสียงพิณราวกับเป็นส่วนหนึ่งของท่วงทำนอง นางก้าวขยับไปมาอย่างพลิ้วไหว อาภรณ์ปลิวตามลมเบา ๆ มือหนึ่งดีดฉินคลอคล้ายบอกเล่าเรื่องราวของสายลมและสายฝน อีกมือลากปลายพู่กันสร้างเส้นสายของภาพบนกระดาษ ขณะดีดพิณ นางหมุนตัว ตวัดพู่กันเป็นเส้นโค้งที่งดงามราวกวางน้อยกำลังโลดแล่นในหุบเขาภาพบนกระดาษเซวียนจื่อเริ่มชัดเจนขึ้น เป็นภาพของดอกเหมยยืนต้นท่ามกลางหิมะโปรยปรายภาพนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความงดงามของธรรมชาติ แต่ยังเปี่ยมด้วยความหมายลึกซึ้ง เหมือนบอกเล่าถึงจิตใจของ
เสียงกระซิบเหล่านั้นลอยไปถึงหูนางกำนัลของหวงโฮ่วที่อยู่ไม่ไกลจากฝูงชนนางกำนัลเห็นสายตาที่หวงโฮ่วมองไปยังคุณหนูสาม เฉินเซียงหรง ซึ่งยามนี้ยืนรับคำชื่นชมจากทุกทิศทาง ก็รีบปราดเข้าไปกระซิบกระซาบรายงานทันทีฉับพลัน ตาหงส์ที่สงบไว้สง่าของสวีหวงโฮ่วฉายแววชื่นชมประสมยินดีสตรีเก่งกาจและมีนิสัยสงบเสงี่ยม จิตใจมั่นคง ไม่อวดอ้างตน ไม่หวั่นไหวต่อลมปากผู้คน และที่สำคัญ...แม้จะสูญเสียมารดาตั้งแต่ยังเยาว์ บิดาไม่ได้ทะนุถนอมปกป้อง แต่ยังคงมีความอดทน สามารถเติบโตขึ้นมาได้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากในจวนเฉินกั๋วกง ซ้ำยังมีความสามารถเลิศล้ำเช่นนี้ ย่อมเป็นยอดหญิงที่หาได้ยาก โบราณว่า ‘ใกล้ชาดเปื้อนแดง ใกล้หมึกเปื้อนดำ’ หากองค์ชายได้อภิเษกกับสตรีเช่นนี้ นอกจากจะทำให้มีเรือนหลังที่มั่นคงแล้ว ยังจะช่วยส่งเสริมจิตใจให้มีความมุ่งมั่นและมั่นคงมากขึ้น ช่วยให้องค์ชายสามารถรับภาระในอนาคตและความท้าทายในราชวงศ์ได้อย่างมั่นใจความคิดเหล่านี้เริ่มซึมซาบเข้าสู่จิตใจของพระนางถูกแล้ว...บุตรสาวของเฉินกั๋วกงที่เกิด
ในการแข่งขันรอบที่ห้า อุปกรณ์เขียนอักษรของผู้เข้าแข่งขันล้วนถูกยกออกไปทั้งหมด คงเหลือเพียงโต๊ะและม้านั่งสูงเพื่อให้โฉมสะคราญทั้งหลายได้บรรเลงเจิงเท่านั้นในรอบนี้นักพนันหลายคนต่างลงพนันเอาไว้ว่าคุณหนูใหญ่จวนเฉินกั๋วกง เฉินชิวเยว่ ที่เป็นโฉมงามผู้เป็นยอดฝีมือในการบรรเลงเจิงจะต้องคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันมาได้อย่างแน่นอน แม้แต่ตัวเฉินชิวเยว่เองก็เชื่อเช่นนั้นโดยสนิทใจกระทั่งถึงคราวที่เฉินเซียงหรงต้องแสดงฝีมือ เพียงเสียงดนตรีจากเจิงของนางดังขึ้นท่อนเดียวเท่านั้น บรรยากาศในสวนชิงหลิงอันกว้างใหญ่ราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ กระทั่งผู้ที่ไม่ได้รู้ถึงสำเนียงดนตรีลึกซึ้งสักเท่าใด ยังถูกท่วงทำนองอันมีเอกลักษณ์ดึงดูดให้ต้องนิ่งฟัง“นี่มัน...” อาจารย์สอนเจิงผมขาวโพลน ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งกาลเวลาผู้หนึ่งเบิกตาโพลง ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง “ลำนำเฉียนฉิน!”“ท่านอย่าได้พร่ำเพ้อถึงเพียงนี้เลย” คนอื่นๆ ที่ได้ยินหัวเราะเบาๆ “ลำนำเฉียนฉินหรือ ผู้ใดจะกล้าบรรเลงเพลงนี้ ทั้งความยากของการดีด ทั้งการตีความที่ต้องลุ่มลึก ทั้งยังต้องถ่