สีฝุ่นสาวอวบกองบรรณาธิการนิตยสาร ได้รับงานให้ไปศึกษาวรรณคดีกากี แต่วันนี้มีแต่เรื่องวุ่นๆ ทั้งโดนเพื่อนร่วมงานบูลลี่จนอับอาย รุ่นพี่คนที่แอบรักมานานกำลังจะประกาศแต่งงานคืนนี้ แต่รุ่นพี่อีกคนก็จะต้องมาสารภาพรักคืนนี้เลยด้วยเนี่ยนะ ยังซวยไม่จบ ดันตกลงมาจากระเบียง ไปเกิดใหม่กลายเป็นนางกากีในหนังสือวรรณคดีโบราณเฉยเลย!! แล้วนี่ได้ยินมาว่า ต้องมีสามีตั้งหลายคนไม่ใช่เหรอ >< ทั้งพระเจ้าพรหมทัต พญาครุฑเวนไตย นาฏกุเวรคนธรรพ์ นาสำเภาจีนเฉิงอี้เฟิง มหาโจรสุลัยมาน แล้วยังท้าวทศวงศ์อีก กี่คนเข้าไปแล้วเนี่ย หมดรึยัง!!
View Moreบทนำ
เพียงปลายนิ้วไล้แผ่วผ่าน กากี นางกายหอมที่ยังหลับใหลไม่ได้สติด้วยพิษไข้ก็สะดุ้งสะท้านไปทั้งตัว นวลผิวที่เคยขาวผุดผ่องละมุนละไม บอบบาง ชวนทะนุถนอม บัดนี้เต็มไปด้วยฟกช้ำจ้ำเขียว บางแห่งขีดข่วนฉีกขาดเห็นรอยเลือดซิบ
นั่นแค่เท่าที่เห็นจากภายนอก ใต้ผ้าผ่อนที่มองไม่เห็นนั่นจะอีกสักเท่าไหร่ คนธรรพ์หนุ่มคิด ร่องรอยของความเจ็บปวดพรายพราวไปทั่วร่าง น้ำตาหญิงสาวไหลหยดลงบนหมอนเป็นเม็ดใส ระยับราวเม็ดมณี ลาดไหล่สะท้านสะเทือนตามแรงสะอื้น
นาฏกุเวรสั่นไปทั้งตัว ทั้งปวดร้าว เจ็บแค้น สงสารจนใจแทบขาด
กากีเอ๋ย แก้วตาของพี่ เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย ตั้งแต่พระเจ้าพรหมทัตทูลขอทารกในดอกบัวจากพระดาบส มาถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูจนเติบโต ผลิบานเต็มสาว หอมงามสะพรั่ง งามอย่างที่นางสวรรค์องค์ไหนก็ไม่อาจเทียบเทียมได้ เนื้อนวลบอบบางน่าถนอมอย่างนี้ ทำไมต้องมาเจอคนเลวทรามกระทำเยี่ยงนี้
เพราะใจยึดมั่นกตัญญูต่อพระเจ้าพรหมทัตที่รักบูชายิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้าเท่านั้นหรอก ทำให้นาฏกุเวรเพียรพยายามหักห้ามใจตนเองเสมอมา
ทั้งที่เพลิงเสน่หาแผดเผาหัวใจแทบมอดไหม้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็ต้องข่มไว้ ถ้อยนิดคำน้อยไม่เคยเอ่ยให้น้องระคาย เฉียดกรายใกล้ที่สุดก็เพียงมองผ่านม่านประตูห้องตอนที่นั่งบรรเลงดนตรีกล่อมหอก่อนเข้าบรรทมเท่านั้น
ดูรึ ไอ้ครุฑเดียรัจฉาน วางกลล่อลวงนางแก้วของแผ่นดินออกมาเป็นสมบัติตัวได้แล้ว กลับไม่รู้จักดูแลถนอมรักษาให้สมที่ได้รับโอกาสได้เชยชม
คนธรรพ์กึ่งมนุษย์กึ่งเทวดาขยับเข้าประชิด ก้มตัวกระซิบที่ข้างหู “กากี กากีเอ๋ย ยอดดวงใจของพี่ ตื่นเถิด พี่มาแล้ว” แตะมือวางที่ผิวเนื้อเหนือข้อศอก ตรงที่ไม่มีบาดแผล เขย่าร่างแผ่วเบา ด้วยความที่สีฝุ่นเป็นคนตื่นง่าย เป็นนิสัยติดกายมาแต่โลกโน้น ดังนั้นแม้จะเจ็บปวดระบมช้ำไปทั้งร่าง ซมด้วยพิษไข้ หญิงงามนามกากีก็ผวาตื่นขึ้น โดยพลันเมื่อได้ยินเสียงพูดอยู่ใกล้ๆ
เมื่อเห็นร่างชายหนุ่มกึ่งมนุษย์กึ่งเทพนั่งแนบชิดอยู่ก็ตกใจ ผลักไสร่างนั้นออกห่าง ถดตัวถอยหนี ทว่าพละกำลังเหลือน้อยเต็มทีจากอาการเจ็บไข้ “ใคร ออกไปนะ!”
ผลเนื่องจากการถูกกระทำย่ำยีอย่างไร้ความปราณีจากพญาครุฑหนุ่มต่อเนื่องมาหลายคืน ทำให้กากีหวาดผวาแทบบ้า
นาฏกุเวรเห็นอย่างนั้นน้ำตาคลอในอกใจถูกบีบจนเหลือเล็กจ้อย กอดประคองหญิงสาวที่กะปลกกะเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงไว้ในท่านั่งแนบอก “พี่เองกากี พี่เอง นาฏกุเวร คนธรรพ์ที่คอยขับดนตรีกล่อมหอให้เจ้ากับองค์เหนือหัวพรหมทัตทุกค่ำคืน เจ้าอย่าอึงไป ประเดี๋ยวเวรยามที่เฝ้าอยู่หน้าห้องจะได้ยินเข้า พี่มาช่วยเจ้า ให้พ้นจากครุฑเลวนั่น”
หญิงสาวพยายามรวบรวมสติอย่างยากเย็น สมองและดวงตาพร่าเลือนไปหมด ในที่สุดก็นึกออกได้เลาๆ “นาฏกุเวร... คนธรรพ์...”
กึ่งเทวดาหนุ่ม ใบหน้างามหมดจดผุดผ่องกระซิบต่อ “มาเถิด พี่เป็นกึ่งเทพ นอกจากมนต์ดนตรีคีตศิลป์แล้ว ยังพอมีพลังบำบัดรักษา พี่จะช่วยน้องให้หายเจ็บ อย่ากลัวเลยนะกากี”
กากีเงยหน้าสบตาชายหนุ่มตรงหน้า ดวงตาเบิกโพลงมองเนื้อตัวที่สว่างเรื่อเรืองขึ้นมาได้เองอย่างน่าอัศจรรย์ เขาหลับตาขยับปากพึมพำบางอย่าง แล้วเป่าเบาๆที่ต้นแขน ตรงที่เป็นรอยช้ำปื้นใหญ่เขียวม่วง ริมฝีปากเกือบแตะเนื้อต้นแขน ลมหายใจร้อนผ่าว
น่าประหลาดใจยิ่ง ความเจ็บปวดหนึบทรมานจากรอยช้ำนั้นค่อยลดลงเรื่อยๆ เมื่อเหลือบมอง ก็พบว่ารอยช้ำปลาสนาการไปสิ้น เหลือเพียงผิวเนื้อนวลปลั่งขาวสะอาดสะอ้านเช่นเดิม “ทะ...ทำได้ยังไง” ในช่วงเวลาของความสับสน สีฝุ่นในร่างกากียังอุตส่าห์พยายามนึกถึงเหตุผลในแง่วิทยาศาสตร์ เออ ลืมไป นี่มันนิยายไทยแฟนตาซี
“พี่ต้องขอโทษด้วยที่อาจจะต้องล่วงเกิน กากีคนงาม มเหสีของพระเจ้าพรหมทัต ได้ใกล้ขนาดนี้กลิ่นกายของน้องหอมรัญจวนยิ่งนักจนหัวใจพี่แทบมอดไหม้ด้วยความสิเน่หา เห็นเจ้าเจ็บระบมไปหมดอย่างนี้พี่ใจแทบขาด ให้พี่ได้ช่วยรักษารอยฟกช้ำ ให้พี่ได้ถอนพิษไข้ให้เจ้าเถิด”
คนธรรพ์หนุ่มวางนางลงนอนอิงหมอนบนแท่นบรรทมเช่นเดิม ค่อยทยอยก้มลงจุมพิตแผ่วเบาไปตามรอยแผลฟกช้ำที่ปรากฏทั่วร่างอรชร ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกใหม่ที่คล้ายความหวานซาบซ่านชวนชื่นใจอยู่ในผิวเนื้อ
กากีสะท้านทั้งร่าง แต่พอรู้สึกตัวตื่นเต็มที่ก็พยายามดิ้นรนผลักไสออก ยิ่งคิดถึงหน้ามานพหนุ่ม อันเป็นใบหน้าเดียวที่เธอรักบูชาหมดหัวใจมาตลอดหลายปี แขนขาก็ยิ่งมีแรงดิ้นรนมากขึ้น “ปล่อยข้า อย่ามาแตะต้องตัวข้า ตอนนี้ข้าเป็นชายาท้าวเวนไตย...”
นางพูดได้เพียงแค่นั้นก็สะดุ้งทั้งตัวอีกรอบ เมื่อถูกนาฏกุเวรเสกมนต์พิศวาสจังงัง เป่าพรวดใส่หน้าผากมือไม้แข้งขาที่แข็งขืนอยู่เมื่อครู่ก็พลันอ่อนยวบสิ้นเรี่ยวแรงลงทันที มึนงง พร่ามัว สับสน ขณะริมฝีปากอุ่นร้อนของนาฏกุเวรค่อยๆพรมจูบไปทั่วร่าง ไล่ตั้งแต่เนื้ออ่อนข้างแก้ม มาที่ซอกคอ ต้นแขน
คนธรรพ์ร่างงามระหงอย่างเทวดาพลิกกายนางเนื้อหอมให้หงายขึ้น สอดส่ายสายตามองจนทั่วว่ายังมีรอยช้ำรอยแผลเหลือตรงไหนอีก ผ้าพันอกเนื้อบางเบาสีกลีบบัวเลิกขึ้นเหนือสะดือ คลุมไว้เพียงปลายถันที่กำลังแข็งตั้งชูชันด้วยความหวิววาบอย่างประหลาด
หญิงสาวกระตุกทั้งร่างเมื่อริมฝีปากนุ่มลื่นอุ่นจัด ประกบเข้ากับรอยแผลข่วนยาวที่ท้องน้อย เธอเผลอตะปบมือทั้งสองเข้าที่บ่าของนาฏกุเวรอย่างแรง
บุรุษหนุ่มครึ่งเทวดาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้างามพิลาศพิไล เห็นริ้วแดงก่ำพาดที่กลางแก้ม ริมฝีปากแดงฉ่ำถูกกัดเม้มไว้แน่น ก็กระหยิ่มใจ แต่เสแสร้งทำเป็นไม่รู้ “พี่ทำเจ้าตกใจหรือกากี น่าสงสารเสียจริง คงถูกรังแกจนผวา มาเถิด พี่จะรักษาเจ้าให้หายจากความทรมาน พิษไข้ของน้อง พี่จะช่วยถ่ายถอนให้เอง”
มีวิธีตั้งมากมายที่มนุษย์กึ่งเทพอย่างนาฏกุเวรจะทำได้เพื่อถ่ายถอนพิษไข้ แต่หญิงสาวที่นอนระทดระทวยอยู่ไม่ได้รับรู้อะไรด้วย ซ้ำยังมึนงงด้วยพลังมนต์ของมนุษย์กึ่งเทพ เธอจึงไม่ได้ปัดป้องผลักไส เมื่อชายหนุ่มรูปงามค่อยๆคลานขึ้นมาคร่อมร่างไว้ แล้วประกบริมฝีปากของเขาลงมาที่ริมฝีปากเธอ อย่างเชื่องช้า นุ่มนวล
เพียงริมฝีปากสัมผัส “นาฏกุเวร” คนธรรพ์หนุ่มสะท้านไปทั้งร่าง กลางกายร่ำร้องแข็งขันให้ปลดพันธนาการออก แต่เขาก็ไม่ได้เร่งรีบ ปรารถนาได้ครองทั้งหัวใจ ไม่ใช่เชยชมสมสู่ทิ้งขว้างอย่างหญิงงามอื่นทั่วแผ่นดินที่เขาเคยผ่าน
ความฉ่ำชื่นลื่นไหลของเนื้ออ่อนนุ่มหวานหอมกลิ่นกายเทพ สะกดกากีให้อยู่ในภวังค์ ร่างทั้งร่างสะบัดร้อนสะบัดหนาว ความปวดซมทรมานจากพิษไข้ไม่มีหลงเหลืออีก ซาบซ่านไปทั้งตัว ยังเผลอเผยอยกคอตามเมื่อเขาผละริมฝีปากห่างออก
นาฏกุเวรซ่อนยิ้มไว้ในหน้า “ตรงไหนอีกที่มันทำเจ้าเจ็บ” ว่าพลางกระตุกเปิดผ้าพันอกของนางออกโยนลงข้างแท่นบรรทมอย่างรวดเร็วและคว้าแขนเรียวงามดั่งลำเทียนไว้ไม่ให้ทันปิดป้อง
กากีอับอายยิ่งนักเมื่อต้องเผยร่างกายตนเองต่อหน้าคนธรรพ์ แต่กระนั้นร่างกายกลับไม่ยอมต้านทาน ทำได้เพียงหลับตาไม่มองใบหน้าหล่อเหลาคมคายแดงเรื่อ ที่กำลังกวาดสายตาพิจารณานางอย่างพิถีพิถัน
นาฏกุเวรระงับความตื่นเต้นจนหัวใจแทบกระโจนออกนอกอก กากีเอ๋ย งามไปทั้งตัวอะไรอย่างนี้ ปทุมถันกลมเต่งตึงนวลงามเหมือนบัวหลวงแรกผุด ปลายถันกลมเล็กเท่าเม็ดบัวสีกลีบบัวเต่งชันแข็งขันเหมือนก้อนหิน บ่งบอกว่าหญิงเองก็กำลังทุกข์ทรมานยิ่งจากแรงปรารถนา กลิ่นเนื้อนางหอมฟุ้งแรงขึ้นมากกว่าที่เคย ยวนราคะแทบบ้าคลั่ง แม้จะเต็มไปด้วยร่องรอยกัด ขย้ำ จากคนโง่เขลาไม่รู้ค่าอย่างท้าวเวนไตย
เขาแสร้งตีหน้าเศร้า “โถ ดูเถิด เต็มไปด้วยบาดแผล เจ้าคงทรมานมาก พี่จะช่วยเองนะ”
กากีเม้มปากกลั้นหายใจ ตอนที่ใบหน้างามดั่งปั้นมุดลงฟอนเฟ้นปทุมถันทั้งสองข้างย่างนุ่มนวล ปลายลิ้นอ่อนนุ่มลื่นเคลื่อนเฉียดผ่านปลายถัน เหมือนจงใจ ก่อนวนรอบปริมณฑล
เมื่อนาฏกุเวรเริ่มดูด เลีย ชิมเม็ดบัวน้อยๆด้วยจังหวะจะโคนชำนิชำนาญเหมือนดนตรีท่อนอินโทร หญิงสาวก็หายใจติดขัดสะอื้นสะท้าน ร่างกระตุกเป็นจังหวะตามการเคลื่อนไหวของปลายลิ้น ความรู้สึกต่อสู้กันระหว่างอยากผลักไสเขาออกกับกดรวบร่างของคนธรรพ์เอาไว้แนบแน่นขึ้นให้กลายเป็นกายเดียว นางเนื้อหอมปากคอสั่น พูดจาไม่มีเสียง ร้อนวาบแต่ท้องน้อยลงไปถึงหน้าขา
“ทนเอาอีกหน่อยเถิด กากีคนงามของพี่ ที่เจ้าเจ็บที่สุดคือส่วนไหน พี่รู้ดี” ว่าพลางนิ้วมือเรียวยาวขาวสะอาดอย่างมนุษย์กึ่งเทพก็เคลื่อนไหวปลดปมผ้านุ่งของนางออกอย่างรวดเร็วจนกากีแทบไม่ทันตั้งตัว
“มาเถิด” คราวนี้เสียงของนาฏกุเวรสั่นเครือจนไม่อาจซ่อนได้อีก “ให้พี่ได้ช่วยเจ้า รักษาบาดแผลที่ท้าวเวนไตยทำกับเจ้าไว้ให้หมดจดเสียทีเถิดนะ ยอดดวงใจของพี่”
แม่ของเธอยิ้มกว้าง ดวงตาสดชื่น ความสุขแผ่เต็มใบหน้าแม้ร่างกายจะซูบผอมหลังจากต้องเฝ้าไข้เธอมายาวนาน เอ่ยตอบน้ำตาคลอ “ให้อ้วนเป็นช้างแม่ก็เลี้ยงไหว ขอแค่ลูกแม่ปลอดภัย อย่าเป็นอะไรไปอีกก็พอแล้ว” แตงกวาถลามาถึงโรงพยาบาลเพียงเพื่อจะพบว่า โรงพยาบาลห้ามเยี่ยมเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เธอจึงต้องนั่งอยู่ที่ด้านล่างของโรงพยาบาล แล้ววิดีโอคอลคุยกับเพื่อนรัก “แก สรุปเรื่องตอนนั้นที่แกกลับมาในร่างนางแบบวิกตอเรียซีเคร็ท น่ะ เรื่องจริง ฉันไม่ได้ฝัน ไม่ได้บ้าใช่ไหม” แตงกวาถาม หลังจากเห็นเพื่อนสบายดีแล้ว และกำลังกินเอแคล์รที่เธอซื้อมาฝากผู้ช่วยพยาบาลไปเยี่ยม “อืม แกไม่ได้บ้า แต่เรื่องแบบนี้ เล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อเนอะ ลืมๆไปเหอะ” สีฝุ่นพูดขณะเคี้ยวขนมตุ้ยๆ อาการหลังผ่าตัดเธอดีขึ้นอย่างรวดเร็วหมออนุญาตให้กินอาหารได้ตามปกติ นั่นคือข่าวดีที่สุดของเธอ “จะว่าไป แกเสียดายบ้างไหมวะ ที่ไม่ได้อยู่ในร่างสวยเริ่ดเหมือนนางฟ้าแบบนั้นแล้ว” เพื่อนสาวถามตาเคลิ้มๆ “ฉันยังอยากได้เลยแก สิบล้านค่าหมอผ่าไม่รู้จะพอไหมให้ได้สักครึ่งนั่น” สีฝุ่นตอบแบบไม่ลัง
ข้าจะรักษาเจ้าให้ได้กากี เจ้าอย่าเพิ่งหมดหวัง ข้าจะไม่ยอมแพ้ ข้ารักเจ้า ข้ารักลูกของเรา เจ้าห้ามตาย ข้าจะรักษาเจ้ากากี ได้ยินข้าไหม เจ้าต้องรอดให้ได้” กากีคลี่ยิ้ม คำรักนั้นอ่อนหวานนัก ช่างอบอุ่นและจริงใจยิ่ง เป็นความรู้สึกอิ่มเอิบเบิกบานคล้ายมีดอกไม้ทิพย์กลีบบอบบางกลิ่นหอมละมุนบานสะพรั่งอยู่ในอกตน นางคลี่ยิ้มก่อนเอ่ยประโยคสุดท้าย “ข้าก็รักเจ้า กาฬปักษี ข้ารักเจ้า” หลังจากนั้นร่างกายคล้ายถูกฉีกเป็นเสี่ยงๆ นางกระตุกเฮือก ไขว่คว้าเอามือหนานุ่มแสนอบอุ่นนั้นมาแนบที่ใบหน้าก่อนที่หยาดน้ำตาสุดท้ายจะไหลรินลงบนมือนั้น เป็นความอบอุ่นสุดท้ายก่อนชีพนางจะดับลง ฝ่ายนาฏกุเวร แบกดวงใจอันปวดร้าวเดินทางกลับพาราณสี ทุกข์โทมนัสด้วยความสิ้นหวัง กากี แม่งามเอ๋ย ยอดดวงใจพี่ นางในดวงใจที่เฝ้าถนอมรักไว้ใจดวงใจมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็ไม่ยอมรับรัก แม้หักหาญราญเอากายนางเป็นเมีย ปรนนิบัตินางด้วยกามวิเศษ แม้หมายจะเชิดชูให้นางเป็นถึงมเหสีเอก นางก็กลับไม่สนใจ ซ้ำรังเกียจอย่างที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเคยรังเกียจ กล้ากระทั่งทำให้ตนเองพิการอัปลักษณ์เพื่อคนไร้
บรรดาเหล่าพลธนูทั้งนั้นที่มาด้วย เห็นกระจะตาแล้วว่ากากีกำลังท้องแก่จึงเกิดความเวทนา ต่างลังเลไม่กล้ายิง แต่เมื่อถูกสั่งซ้ำโดยหัวหน้านายกอง จึงได้แต่ฝืนยิงอย่างไม่เต็มใจนักกาฬปักษีด้วยความที่หูตาไว ได้ยินเสียงธนูแหวกอากาศก็รีบโอบกากีหลบซุกกับอกตน หันหลังรับลูกธนูแทนนางไปทุกดอก ธนูแต่ละดอกถูกยิงมาโดยไม่เต็มใจ จึงเข้าเป้าอย่างไม่แม่นยำนัก ถูกแขนขาเอาบ้าง ตกลงพื้นบ้าง ทว่าดอกหนึ่งปักทะลุเข้าที่แผ่นหลังตรงอกหมอกาฬปักษีจนเจ็บปลาบ จุกแน่นหายใจไม่เข้า ทรุดลงนั่งกับพื้นกากีกรีดร้อง ร่ำเรียกชื่อชายคนรักสะอึกสะอื้น พยายามคิดหาหนทางรักษากาฬปักษี แต่ก็คิดไม่ออก ได้แต่กอดร่างชายคนรักที่ใกล้จะหมดสติร้องไห้อยู่อย่างนั้น เคราะห์กรรมซ้ำซัด ครรภ์แก่นั้นถึงกำหนดคลอด พิษครรภ์ต่างสายพันธุ์ทำให้ธาตุไฟปั่นป่วนทั่วร่างกายของกากี แสบร้อนไปสิ้นทั้งภายในภายนอก ปวดหัวแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ลมหายใจร้อนผ่าว ดวงตาขาวเริ่มมีเส้นเลือดแตกหลายเป็นสีแดงฉาน หัวใจของนางอยู่ที่การช่วยคนรักเท่านั้น นางจึงฝืนร่างกาย วิ่งกลับขึ้นไปบนบ้าน คว้ามีดได้ ก็กลับลงมาใช้กำลังที่เหลือ ดันลูกธนูให้ทะลุออก แล้วตัด
ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นย่ำ พระอาทิตย์กำลังทอแสงสุดท้าย พระเจ้านาฏกุเวรก็มาถึงอาศรมของหมอเทวดากาฬปักษี กำลังพลต่างโอบล้อมอยู่ห่างๆ ส่วนตัวคนธรรพ์ลงจากหลังม้าเดินเข้าไปคนเดียว กากีและกาฬปักษีได้ยินเสียงม้ามาแต่ไกล แต่ไม่ได้เอะใจว่าอาจเป็นผู้ที่นำอันตรายมาให้เข้าใจว่าเป็นผู้ทุกข์จะมาขอความช่วยเหลือรักษาโรค จึงไม่ได้หนีไปทางไหนได้แต่เตรียมหยูกยาอยู่ที่ชานหน้าบ้าน นาฏกุเวรเมื่อเห็นร่างตะคุ่มๆสวมชุดดำอยู่คู่กัน ร่างอรชรนั้น ต้องเป็นกากีไม่ผิดแน่ หัวใจแทบกระดอนออกมาจากอกด้วยความตื่นเต้น “กากี พี่มาแล้ว” นาฏกุเวรร้องเรียกเสียงสั่น กากีที่โพกผ้าคลุมหัวปิดใบหน้าอยู่ครึ่งหนึ่งเย็นวาบจากท้ายทอยไปถึงเท้า เพราะจำได้ดีว่านั่นคือเสียงใคร นางเงยหน้าขึ้นมองด้วยใจหวาดหวั่น กาฬปักษีเงยหน้าขึ้นดูด้วยดวงตาข้างที่ได้มาจากกากี เมื่อเห็นบุรุษรูปกายงามราวเทพบุตรลงมาจากสวรรค์ เสียงไพเราะอ่อนหวาน และเครื่องทรงทองอร่ามสว่างไสวไปหมดทั้งตัวก็นึกรู้ได้ทันที “พระเจ้านาฏกุเวรหรือนั่น” เขารำพึงพลางรีบดึงตัวกากีให้ถอยไปอยู่ด้านหลังตน พระเจ้านาฏกุเวรตวาด
แม้แต่ตัวนางกากีเองก็พลอยตื่นเต้นไปด้วยดั่งว่านี่เป็นประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกของตน ตื่นใจ อ่อนหวาน หวั่นไหว ยิ่งเมื่อทั้งสองเริ่มช่วยกันเคลื่อนกายไหวโยก ขยับส่ายสับสะโพก เสือกท่อนเอ็นขนาดเขื่องเคลื่อนเข้า ออกในกายนาง แต่ละครั้งที่ดึงออกแทบถ่ายถอน ก่อนเหวี่ยงสับกระชับ เผียะลงมา ทำเอานางผวาใจแทบหยุดเต้น ปากแนบปาก นมแนบนม ท้องแนบท้อง ในอาณาเขตถ้ำทอง เสียงผิวเนื้อเปียกแฉะด้วยน้ำหล่อลื่นกระทบกันดั่งคนปรบมือถี่กระชั้น สองมือหนานุ่มเกาะยึดสะโพกอรชรไว้แน่น โถมร่างเข้าไปในกายนางครั้งแล้วครั้งเล่า ปทุมถันขาวปลั่งสว่างไสวเคลื่อนไหวกระเพื่อมเป็นจังหวะยิ่งเร้ากำหนัดให้พุ่งสูง เหงื่อกาฬไหลพลั่งดั่งจะขาดใจ หยาดเหงื่อร้อนฉ่าไหลหยดลงบนท้องน้อยของนางแน่งน้อยกากีที่กำลังผวาเฮือกฮุบความสุข วินาทีถัดจากนั้น หมอหนุ่มกาฬปักษีก็พาตนไปถึงที่สุดแห่งกาม คำรามครางในลำคอเสียงแหบพร่า ปล่อยน้ำรักขุ่นข้นเหนียวลื่นพุ่งเท้าเต็มท้องน้อยแม่โฉมงามร่างอรชรที่นอนระทวยอยู่เบื้องล่างตน ด้วยสัญชาตญาณประหลาดของสตรี กากีรู้สึกว่า การร่วมเสพสังวาสกับหมอกาฬปักษี หนุ่มน่ารักใจดีคนนี้ เป็นมากกว่า
นหนึ่งขณะฝนตกหนัก แม่งามกากีวิ่งออกไปเก็บกระจาดสมุนไพรที่ตากแห้งไว้ หมอหนุ่มกาฬปักษีก็แสร้งรีบตามออกไปบ้าง แสร้งลื่นล้มจนเสื้อผ้าเลอะเทอะดินโคลนและเปียกปอนน่าสงสาร กากีเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปประคองขึ้น “จะวิ่งออกมาทำไมกัน สมุนไพรพวกนี้จะมีค่าเทียบเท่าเจ้าหรือก็หาไม่ มารีบเข้าอาศรมเถิด ข้าจะช่วยผลัดผ้าและเช็ดตัวให้” เป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาในหนังสือเล่มนี้ และเป็นครั้งแรกในชีวิตของสีฝุ่นเองด้วย ที่เป็นฝ่ายเปลื้องผ้าบุรุษ การที่ชายหนุ่มท่วงทีผึ่งผายสมส่วนยืนตระหง่านนิ่งอยู่ โดยที่เขาไม่อาจมองเห็นนางได้ กลับกลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น กากีค่อยๆเปลื้องผ้าโพกหัวและเสื้อสีดำสนิทดั่งขนนกกาออก ในแสงสว่างยามฝนตกพร่างพราวด้านนอก แสงตกกระทบนุ่มนวลมองเห็นรายละเอียดของผิวเนียนเรียบสวยสีน้ำผึ้ง ใต้เสื้อผ้าเหล่านี้ซ่อนปิดกล้ามเนื้อหน้าอกและต้นแขนเป็นลอนกล้ามกำยำชวนสัมผัส กลิ่นผิวเนื้อบุรุษโชยหอมคล้ายกลิ่นผ้าห่มตากแดดผสมกลิ่นไอน้ำ นางกายหอมพินิจดูอย่างพินิจพิจารณาโดยไม่ต้องกังวลสายตาของเขา ความรู้สึกอ่อนไหวทางกามารมณ์เริ่มบ่มขึ้น นางได้แต่กัดปากตนเองไว้ด้วยค
ทุกเย็นหลังกากีเช็ดหน้าตาเนื้อตัวแล้ว กาฬปักษีหมอหนุ่มใจดีจะนำเสื้อผ้าใหม่แห้งสะอาดมาให้ แล้วช่วยล้างแผลที่ต้นขาอย่างทะนุถนอม บางครั้งหากเผลอแตะต้องเนื้อต้นขาเธอแรงจนกากีสะดุ้ง เขาก็จะสะดุ้งไปด้วย หญิงสาวก็จะร้อนผ่าวแก้มแดงเรื่อ ดวงตามองเธอด้วยความห่วงใยอย่างที่เริ่มเห็นได้ชัดว่าต่างจากคนไข้อื่น แต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากใดๆให้อึดอัด เธอเริ่มอุ่นวาบๆในใจเวลาเขาอยู่ใกล้ๆ ผู้ชายน่ารักเป็นอย่างนี้เอง เธอคิด โชคดีที่ความเป็นกึ่งเทพของกากีทำให้แผลของนางหายเร็ว และฟื้นคืนกำลังได้โดยง่าย กลิ่นกายและเรือนร่างกลับมาหอมรัญจวนใจอีกครั้ง รวมทั้งฤทธิ์ยวนกามาที่เหมือนฟีโรโมนแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ยากนักที่กาฬปักษีจะหักห้ามใจไม่ให้นึกคิด แต่เขาก็เก็บอาการตนไว้อย่างอดทน ความจริงแล้ว ชายหนุ่มชื่นชมกากีที่เป็นผู้รอบรู้น่าทึ่ง ไม่เกี่ยงความยากลำบาก ไม่รังเกียจบาดแผลหรือผู้ป่วยที่เป็นโรคน่ารังเกียจ ทั้งที่ตัวเองยังบาดเจ็บแต่ก็นึกถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ นิสัยใจคอเมื่ออยู่ใกล้ยิ่งรู้สึกสบายใจ เรื่องรูปโฉมโนมพรรณอันงามของนางนั้นแน่นอนว่างามเลิศพิภพ ในบางอิริยาบทที่เผลอตาไปมองก็ทำเอาอกใจเต้นไห
จนถึงสุดถนนที่เป็นชายป่า เมื่อก้าวพ้นหมู่บ้านออกไปแล้ว ดูเหมือนทุกอย่างที่ปั่นป่วนอยู่ก่อนหน้าก็สงบลง หญิงสาวรู้สึกโล่งใจที่กลับมาได้ยินเสียงนกร้อง และภาพต้นไม้ใบหญ้ารอบตัวชัดเจนไม่พร่าเลือนเหมือนเมื่อครู่ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นดูก็ยังเห็นชัดปกติ ลูบไล้ดูรูปร่างหน้าตาตนก็ยังเป็นนางกากีวิไลโฉม กลิ่นกายลึกล้ำหอมรื่น แปลกจัง ทำไมมันไม่เลือนไปเหมือนตอนแรกล่ะ หรือว่าสถานที่นี้อยู่นอกเหนือขอบเขตของเรื่องราวในหนังสือไปแล้ว เธอเลยปลอดภัยงั้นเหรอ หญิงสาวใช้เวลาเดินครุ่นคิดตามลำพังอยู่พักใหญ่ แต่คิดไม่ตกว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง จนในที่สุดเธอก็คิดว่า ในเมื่อเนื้อเรื่องในหนังสือมาถึงตอนจบแล้ว ไม่มีตอนให้ไปต่อ หากจบชีวิตในโลกนี้ได้ อาจหลุดออกไปก็ได้ นึกแล้วก็มองหาคบไม้เหมาะๆ เจอกิ่งไม้ที่ทอดตัวขนานพื้นอยู่สูงไปราวสี่เมตรแล้วปีนขึ้นไปด้านบนปลดผ้าคลุมหน้าออกมัดเข้ากับคบไม้แล้วผูกคอตัวเอง เอามันง่ายๆแบบนี้แหละ หญิงสาวรูปโฉมงามสะคราญหายใจเข้าลึก รวบรวมพลังใจ เอาเถอะ ไม่เห็นมีใครเคยบอกเลยว่าถ้าตายในหนังสือนี่จะทำให้ตัวตนข้างนอกตายไปด้วย บางทีนี่อาจจะเป็น
หญิงสาวทั้งสอง นันทากับกากี ถูกพาวิ่งลงบันไดไปสู่ห้องใต้ดินก่อนพบประตูลูกกรงขนาดเล็กเชื่อมต่อเข้าไปในทางลับ ทหารองครักษ์สี่นายรีบวิ่งเข้าไปไขประตูบุรุษหนุ่มเจ้าเมืองไพศาลีสีหน้าเป็นทุกข์ ประคอง ใบหน้ากากีอย่างถนอม “กากีคนดีของพี่ ตอนนี้ข้าศึกตีเมืองไพศาลีแตกแล้ว พวกมันกำลังบุกยึดวัง พี่ทิ้งข้าราชบริพารและชาวเมืองไม่ได้ พี่นี้ไร้คุณสมบัติจะครองเจ้าแท้ แต่แม้ในช่วงเวลาอันน้อยนิดที่ได้รักและเป็นสวามีของเจ้า เป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษ ชาตินี้คุ้มแล้วที่ได้เกิดมา นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่พี่จะได้ตอบแทนและดูแลเจ้าให้พ้นจากอันตราย หากเจ้าจะจดจำพี่ มิต้องจดจำท้าวทศวงศ์เจ้าเมืองไพศาลี ให้จดจำบุรุษหนึ่งที่รักและภักดีต่อเจ้ายิ่งกว่าบุรุษคนใดในหล้า หากดวงวิญญาณพี่ยังรับรู้ได้ พี่ก็จะตามไปปกป้อง” แล้วก็หันไปหาเจ้าหญิงนันทาเทวีที่ตอนนี้ร้องไห้สะอึกสะอื้นหน้าแดงก่ำ “นันทาน้องรัก เจ้าจงหนีออกไปเสียกับกากี ตลอดชีวิตที่พี่มีเจ้าเป็นน้องรักมานี้ ดวงใจพี่มีแต่ความสุขสดใสแช่มชื่นเสมอสมดังชื่อของเจ้า จงไปอยู่ให้รอดแลใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแทนพี่ด้วยเถิด” นันทาเทวีส่ายหน้าสะอื้
Comments