LOGINโธ่เอ๋ย เด็กหนอเด็ก แล้วข้าต้องโอ๋อย่างไรดีเล่า
“อย่าร้องๆ เดี๋ยววันนี้ข้าจะเอาขนมถั่วกวนในส่วนของข้าเพิ่มให้เจ้าดีหรือไม่”
“ฮึก…อาลู่ไม่ร้องแล้วเจ้าค่ะ”
เด็กทั้งสองเดินกลับเข้าเรือนปล่อยให้ซืออิ่งมองตามตาละห้อย เมื่อไม่มีเพื่อนเล่นแล้วนางก็ไม่ได้สนใจว่าวกระดาษอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถือกลับเรือนของตนเอง
หลังจากกลับมาที่เรือนแล้วถิงถิงได้นำพู่กันกับกระดาษมาจดอะไรบางอย่าง นางนั่งจรดปลายพู่กันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมารดาเดินตามเข้ามา หยู่ถิงเห็นว่าลูกสาวมีสีหน้าเคร่งเครียดจึงเข้ามาดูใกล้ๆ ฝ่ายถิงถิงก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมหยิบกระดาษแผ่นนั้นยื่นให้
“ท่านแม่ ข้าเพิ่งเรียนรู้ตัวหนังสือได้ไม่นานยังเขียนหนังสือไม่เก่ง ท่านแม่ลองอ่านให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากรู้ว่าตัวเองเขียนหนังสือได้ถูกต้องหรือไม่”
หยู่ถิงรับกระดาษมาแล้วก็แย้มยิ้มให้นางอย่างเอ็นดู จากนั้นไล่อ่านตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้าย
“ถิงถิงมีรองเท้าสีชมพูห้าคู่ ถิงถิงมีกลองป๋องแป๋งสองอัน ถิงถิงมีโคมไฟรูปกระต่ายหนึ่งอัน ถิงถิงมีกำไลหยกหนึ่งขอน ถิงถิงมีสร้อยคอทองคำหนึ่งเส้น ถิงถิงมีตุ๊กตามังกรทองหนึ่งตัว ถิงถิงมีถุงเงินสามใบ ถิงถิงมีผ้าเช็ดหน้าห้าผืน”
หยู่ถิงอ่านจบก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามลูกกลับ
“เหตุใดถึงได้จดรายการข้าวของเหล่านี้เอาไว้เล่า”
เพราะชาติที่แล้วท่านแม่ชะล่าใจไม่จดรายการสินเดิมเอาไว้ คนพวกนั้นก็เลยจ้องจะตะครุบเอาไปเป็นของตนเอง ที่ถิงถิงทำเช่นนี้เพราะอยากให้หยู่ถิงเฉลียวใจและเริ่มทำบันทึกสินเดิมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ต่อไปก็จะได้มีหลักฐานยืนยันได้ว่าชิ้นไหนเป็นสินเดิมของมารดา ชิ้นไหนเป็นของที่เพิ่งซื้อเข้าใหม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถิงถิงยังเป็นเพียงเด็กน้อยตัวเล็กจ้อย จึงไม่อาจเอ่ยปากพูดเรื่องสินเดิมของผู้ใหญ่อย่างตรงไปตรงมา เพราะถ้าหากแสดงตนว่ารู้มากเกินไปหยู่ถิงก็จะสงสัยว่าฉลาดเกินวัย
“เมื่อตอนหัวค่ำ เด็กผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่แย่งว่าวกระดาษที่ลู่ชิงตั้งใจเอามาให้ข้าไปเจ้าค่ะ นางทึกทักเอาไปเป็นของตัวเอง ข้าแค่กลัวว่าของชิ้นต่อไปนางจะขี้ตู่เอาไปเป็นของตัวเองอีก ท่านแม่ก็มีของมากมายจะไม่มีใครทึกทักเอาไปเป็นของตัวเองใช่ไหมเจ้าคะ”
“เรื่องนั้น…” หยู่ถิงฉุกคิด
“ข้าก็เลยต้องจดของที่ตนเองมีไว้เป็นหลักฐานยืนยัน คราวหน้าใครก็แย่งเอาของข้าไปไม่ได้อีกแล้ว”
“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นแม่ก็จะจดบันทึกของที่แม่มีไว้บ้างดีไหม”
“ดีเจ้าค่ะ”
หยู่ถิงเริ่มตระหนักได้ว่าหากนางเป็นอะไรไปก่อนของต้องตกไปอยู่ในมือของคนอื่นแน่ มิเช่นนั้นสามีที่มีนิสัยโลภมากก็อาจนำสินเดิมของนางไปแปรสภาพไปทำอย่างอื่น ของที่มีอยู่ตอนนี้ถูกขายไปลงทุนทำการค้าแล้วครึ่งหนึ่ง ตอนแรกที่นางให้ไปเพราะเจียเฉิงสัญญาว่าจะซื้อกลับคืนมาให้ ทว่ารอจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้กลับคืนมาเลยสักชิ้น ทั้งๆ ที่เจียเฉิงก็ทำการค้าประสบผลสำเร็จจนร่ำรวยแล้วแท้ๆ
มาถึงตอนนี้หยู่ถิงเข้าใจชัดแจ้งแล้วว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงคำโป้ปดมดเท็จ สามีหวังเพียงสมบัติของนางและไม่มีความคิดที่จะซื้อสินเดิมกลับคืนมา เจียเฉิงเป็นเหมือนภาชนะไร้ก้นที่บรรจุไม่เคยเต็ม ส่วนหยู่ถิงก็เคยโง่เขลาบ้าหอบทรายไปถมทะเล
“แม่เขียนเสร็จแล้ว”
รายการบันทึกสิ่งของที่หยู่ถิงมีอยู่เขียนออกมาได้สองหน้ากระดาษ พอเขียนเสร็จก็นำไปเก็บไว้ในลิ้นชักลงกลอนกุญแจเอาไว้อย่างดี จากนั้นชูลูกกุญแจให้ถิงถิงดูแล้วเอาไปเก็บไว้ใต้กระถางบอนไซจิ๋ว
“แม่เก็บกุญแจเอาไว้ตรงนี้นะ”
“เจ้าค่ะ ข้าจะช่วยท่านแม่จดจำที่ซ่อนกุญแจ นี่จะเป็นความลับระหว่างเรา”
เพียงเท่านี้ถิงถิงก็รู้สึกวางใจได้แล้วครึ่งหนึ่ง ตอนนี้เหมยหลินเพิ่งเข้าจวนมาใหม่คงยังไม่ทันได้ฉกฉวยสินเดิมของมารดาไปสักชิ้น เพราะชาติที่แล้วนางเริ่มมือยาวก็หลังจากที่หยู่ถิงตาย พอคนตายไปแล้วก็เลยไม่มีความยำเกรงกันอีก ที่สำคัญคือจะทำอย่างไรถึงจะเปิดเอาสินเดิมออกมาจากห้องเก็บสมบัติได้ หากเอาออกมาให้หยู่ถิงเก็บไว้เองก็น่าจะอุ่นใจกว่า
“พรุ่งนี้จะมีแขกที่เป็นพ่อค้าต่างถิ่นมาพักที่จวน แม่จะต้องเตรียมของไว้รอต้อนรับ เจ้าจะไปตลาดกับแม่หรือไม่”
“ไปเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ต้องตื่นแต่เช้าหน่อย”
“ได้เจ้าค่ะ ข้าจะชวนลู่ชิงไปด้วย”
ณ ตรอกฉงกุ่ยสถานที่ดวงตะวันไม่เคยส่องถึง ต่างทราบกันดีว่าที่แห่งนี้มีขอทานและคนจรจัดอาศัยอยู่มากที่สุด ท่ามกลางความสลัวรางมองเห็นเงาร่างผอมโซหลายชีวิต ผู้คนทรมานจากความหนาวเหน็บไร้ผ้าห่ม บ้างเจ็บไข้ บ้างนอนขดตัวอยู่ข้างพื้นถนนเย็นเฉียบ ส่งเสียงไอกระเสาะกระแสะให้ได้ยินเป็นระยะเป็นเวลาห้าเดือนเต็มที่เจียเฉิงเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ไม่มีผู้ใดรู้จักเขา เขาก็ไม่ปริปากพูดคุยกับใครสักคำ เอาแต่เก็บตัวอยู่ในมุมมืดมีชีวิตอยู่อย่างสิ้นหวัง รอให้แต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า เพราะความไม่สุงสิงกับใครจนบางคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นใบ้หูหนวก ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้นรอเพียงแค่คนใจดีเอามาบริจาคกินไปพอประทังชีวิต อิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง สำหรับเจียเฉิงไม่ได้สนใจเรื่องปากท้องแล้ว อยู่ก็ได้ตายไปก็ไม่เป็นไร“มีคนเอาอาหารมาแจกแล้ว มีคนเอาอาหารมาแจก รีบไปรับเร็วเข้า!”ขอทานน้อยตะโกนดังไปทั่วตรอก โดยปกติเจียเฉิงไม่ได้ออกไปรับอาหารเอง เพราะได้เจ้าขอทานน้อยผู้นั้นที่เป็นคนเอามาโยนให้ถึงที่ เนื่องด้วยทุกคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นใบหูหนวก จึงแสดงน้ำใจรับอาหารมาเผื่อแผ่จากตรงที่เจียเฉิงนั่งอยู่สามารถม
ห้าเดือนต่อมาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าในระยะเวลาเพียงแค่ห้าเดือนเจี้ยนกั๋วก็เบื่อซืออิ่งเสียแล้ว พอสิ้นวาสนาแม้แต่เสือก็ยังถูกสุนัขรังแก แรกๆ ในตอนที่ซืออิ่งแต่งเข้าจวนได้รับการปกป้องอยู่บ้าง แต่บัดนี้เจี้ยนกั๋วพาสตรีใหม่เข้าจวนเพิ่มอีกหนึ่งคน ความโปรดปรานที่มีต่อซืออิ่งจึงลดน้อยถอยลง จากที่เคยดีด้วยอย่างถึงที่สุดก็แปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือยามนี้เจี้ยนกั๋วปล่อยปละละเลยไม่ปกป้อง เนื่องด้วยความหัวแข็งไม่ยอมคนจึงทำให้นางใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก บางวันถูกอนุของเจี้ยนกั๋วกลั่นแกล้งให้เจ็บตัว บางวันก็ถูกหาเรื่องใส่ความยัดเยียดความผิดให้ มิหนำซ้ำยังถูกกรอกยาทำให้แท้งลูกไปแล้วครั้งหนึ่ง หมอบอกว่าภายในเสียหายจนไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก เพียงแค่คิดว่าจะต้องอยู่ในจวนที่มีสภาพไม่ต่างจากคุกไปตลอดชีวิต ซืออิ่งก็ร่ำร้องอยากตายวันละหลายร้อยรอบหดหู่ สิ้นหวัง ทุกข์ระทมทรมาน นั่นคือทุกความรู้สึกที่ซืออิ่งกำลังเผชิญอยู่ฝ่ายเจียเฉิงที่ได้สัมปทานรังนกมาครอบครองแต่กลับมารู้ภายหลังว่าตนได้ครอบครองแค่ในนาม เพราะเจี้ยนกั๋วตลบหลังโกงทุกอย่างไปหมด อย่างที่ถิงถิงเคยบอกไว้ เจี้ยนกั๋วเป็นพวกเจ้าเล่ห์มากแผนการ
คุยกลับลู่ชิงเสร็จแล้วก็เดินกลับเข้ามาในห้อง หานอี้ควนนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ถิงถิงนึกว่าเขานอนต่ออย่างเช่นนางบอก จึงเดินเข้าไปกระชับผ้าห่มให้แนบแน่นขึ้น แล้วหมุนตัวคว้าเสื้อคลุมมาสวม จากนั้นเดินไปหยุดอยู่หน้าคันฉ่องมองเงาสะท้อนของตนเองแย้มยิ้มบางๆวันนี้เป็นวันแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในสถานที่ใหม่ นอกหน้าต่างท้องฟ้าสว่างสดใสไร้เมฆบดบัง เพียงครู่เดียวแสงแดดอ่อนๆ ก็ชโลมไล้พื้นดิน ถิงถิงยังคงทอดมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างนิ่งงัน เสียงขยับตัวเบาๆ ของผู้ที่นอนอยู่บนเตียงทำให้ต้องละสายตาจากทิวทัศน์งดงาม มองกลับมาเห็นหานอี้ควนนั่งหน้าตึงอยู่“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”เขาลุกเดินไปแต่งกายให้เรียบร้อย นางจึงรีบเข้ามาช่วยปรนนิบัติตามหน้าที่ภรรยาพึงกระทำ เช้านี้ไม่รู้ว่าหานอี้ควนจะออกไปที่ใดหรือไม่ แต่ดูจากลักษณะอาภรณ์ที่เขาหยิบมาสวมใส่อย่างไม่เป็นทางการก็น่าจะอยู่ติดจวนไม่ออกไปไหน“ตกลงเลือกเรือนให้ข้าได้หรือยังเจ้าคะ”“ถ้าข้าไม่ทำอย่างที่เจ้าเสนอมาล่ะ”“ข้าคิดว่าความต้องการของท่านพี่คือต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือเจ้าคะ”“ความต้องการของเจ้าก็ต่างคนต่างอยู่อย่างนั้นหรือ”“ได้ทั้งนั้น”ค
“ถิงถิง”“เจ้าคะ”“แต่งงานกันแล้วก็ทำหน้าที่ภรรยา เจ้าจะทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างไร” น้ำเสียงของเขาคล้ายว่ากำลังขุ่นเคืองอยู่ นางเอียงคอมองใบหน้าครึ่งเสี้ยวนั้น นิ่งและเยือกเย็นจนต้องหันกลับมาดังเดิม มองนานเกินไปคงไม่ดี เพราะเดี๋ยวจะถูกความหล่อเหลาล่อลวงเอาได้ หากคืนนี้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นก็อย่ามาโทษที่ถิงถิงไม่ยับยั้งชั่งใจเป็นอันขาด“หน้าที่ภรรยาหรือเจ้าค่ะ ใช่ๆ ประมุขน้อยพูดถูก อย่าตำหนิที่ข้าไม่รู้ความเอาไว้วันหน้าข้าจะค่อยๆ ปรับปรุงตัว”“ท่านพี่”“อะ…อะไรนะ”“เรียกท่านพี่”ตัวนางออกจะแข็งกระด้างเช่นนี้ จะให้พูดจาอ่อนหวานเรียกขานเขาท่านพี่ก็ยังรู้สึกอายๆ จึงพูดย้ำประโยคเดิมให้ฟังอีกรอบ“เอาไว้วันหน้าข้าจะค่อยๆ ปรับปรุง เรื่องหน้าที่ภรรยาข้ารู้ตัวดีว่าต้องทำเช่นไร”พูดจบก็รีบเปลี่ยนท่านอนพลิกตัวหันหลังให้ ปิดเปลือกตาลงฝืนข่มใจให้หลับ“ไม่ เจ้าไม่รู้ตัว นี่แหละเรียกว่าไม่รู้ตัว"“แล้วเหตุใดประมุขน้อยต้องมาหาเรื่องตำหนิ ทั้งที่ข้าก็ทำตามที่ท่านเคยพูดไว้ทุกอย่าง ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่”หานอี้ควนแทบอยากทุบกำปั้นระบายอารมณ์กับกำแพง นางพูดถูกหมด เพราะทำตามคำพูดของเขาทุกอย่างก็เลยเว้นระ
เพราะตั้งใจหลีกเลี่ยงชุดเจ้าสาวสีแดงซึ่งเป็นการตีตัวเสมอภรรยาเอก ข้อนี้ซืออิ่งรับรู้และเข้าใจดีว่านั่นอาจแสดงถึงการไม่ให้เกียรติผู้ที่อยู่ก่อน ด้วยเหตุนี้เหมยหลินจึงให้นางสวมชุดเจ้าสาวสีชมพูอ่อน หากวันนี้สวมอาภรณ์สีแดงเข้าไปอนาคตจะต้องอยู่ในจวนเจี้ยนกั๋วอย่างยากลำบาก บรรดาอนุทั้งหลายต้องเขม่นไม่ชอบขี้หน้านางตั้งแต่วันแรกที่แต่งเข้า“จับนางเปลี่ยนชุด”“อย่านะ! ไม่! ข้าไม่ต้องการ อย่า! พวกเจ้าเป็นใครเหตุใดทำกับข้าเช่นนี้ คอยดูข้าจะฟ้องท่านพ่อ ท่านพ่อของข้าจะเอาชีวิตพวกเจ้าทุกคน”กรี้ดดดดดดดปลายยามซวีจบจากพิธีการที่ยุ่งยากมาทั้งวัน ถิงถิงนั่งอย่างสงบเสงี่ยมในห้องหอ นางกำลังรอให้เจ้าบ่าวมาเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวให้ตามธรรมเนียม สักพักเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกันนั้นเบื้องหน้าก็สว่างวาบเพราะผ้าคลุมถูกเปิดออก“เจ้าคงหิวเพราะไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน” เขาถามพลางอมยิ้มน้อยๆ“ข้าซ่อนขนมโก๋ไว้ในแขนเสื้อแอบกินไปบ้างแล้ว ประมุขน้อยไม่ต้องห่วง”“เป็นเช่นนั้นหรือ”“เจ้าค่ะ ห่วงแต่ประมุขน้อยคงดื่มมามาก เอ่อ…หน้าท่านแดง”เขาดื่มมามากจริง พวกที่ยกจอกสุราให้ก็ยุให้ดื่มไม่หยุด แล้วตอนนี้หานอ
ท่านตาชอบเล่นใหญ่อยู่เสมอ ถิงถิงถอนหายใจเหนื่อยๆ เห็นว่าเจ้านายไม่ถามอะไรต่อลู่ชิงจึงพูดอีก“คนที่เร่งรัดหาใช่ใต้เท้าหานไม่ เป็นประมุขน้อยต่างหาก”ถิงถิงชะงักค้างครู่หนึ่ง หัวคิ้วจดกันแทบเป็นเส้นตรง“ประมุขน้อยคงต้องการเป็นผู้สืบทอดหอคุณธรรมไวๆ”“ไม่คิดว่าประมุขน้อยอาจจะชอบคุณหนูก็เลยเร่งรัดงานแต่งบ้างหรือเจ้าคะ”เขาเคยบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าจำเป็นต้องแต่งเพื่อเข้ารับเป็นผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ ถิงถิงก็เลยเตือนใจตนเองอยู่เสมอไม่กล้าคิดไกลไปถึงขั้นนั้น ส่วนตัวเขาเองก็ไม่เคยบอกความในใจให้ได้ยิน แล้วอย่างนี้จะให้นางคิดทึกทักเอาเองคนเดียวได้อย่างไรว่ามีใจให้ ดีไม่ดีอาจถูกมองเป็นตัวตลกและถูกหัวเราะเอา“ไม่คิด”“วันนั้นที่คุณหนูถูกนายท่านเจียเฉิงลักพาตัวไปประมุขน้อยเป็นห่วงคุณหนูมากเลยนะเจ้าคะ ดูก็รู้ว่าประมุขน้อยชอบคุณหนู ใครๆ ก็รู้มีแต่คุณหนูที่ไม่รู้”“พอแล้วเจ้าเลิกเหลวไหล”ลู่ชิงหุบปากลงฉับแล้วอมลมไว้จนแก้มป่อง นึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากเช่นกันต้องรายงาน“ข้ายังมีอีกเรื่องเป็นเรื่องของตระกูลว่าน มีข่าวแว่วมาว่าคุณหนูซืออิ่งจะถูกส่งตัวไปจวนเกี้ยนกั๋วในอีกสามวัน ดังนั้นคุณหน







