/ แฟนตาซี / อาศิรวิษ / 1-เรื่องจริงหรือความฝัน 3/4

공유

1-เรื่องจริงหรือความฝัน 3/4

last update 최신 업데이트: 2025-04-25 23:06:01

“เจ้านางน้อยพูดสำเนียงกระไรรึเพคะ?” ผู้หญิงที่ชื่อกาลัดถามขึ้น

“สำเนียงไทยนี่แหละ อะไรของพวกเธอละเนี่ย” ฉันก็งงกับพวกนางทั้งที่ฉันก็พูดภาษาไทย ทำไมถึงบอกมันแปลก

“สำเนียงไทยฟังดูพิลึกชอบกลเพคะ”

“เออ ช่างเถอะน่าแค่ฟังออกไม่ใช่ไง?”

“ไม่ใช่ไง? แปลว่ากระไรรึเพคะ?”

“พอ! เลิกถามเลิกสงสัยเพราะฉันปวดหัวกับพวกเธอมาก”

ฉันต้องรีบยกมือห้ามก่อนที่จะปวดหัวไปมากกว่านี้ นี่มันคือที่ไหนกันนะ ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ทั้งที่ไม่รู้จักมาก่อน

“นี่พวกเธอ”

(“เพคะ”) ทั้งสองคนก็ตอบฉันพร้อมกัน

“นี่มันที่ไหนกันทำไมดูแปลกประหลาด สถานที่ก็แปลก คนก็ยังจะแปลกอีก” ฉันนึกได้จึงถามตามที่สงสัย

“นครมคธอย่างไรเพคะเจ้านางน้อยทรงลืมไปแล้วหรือ” กลีบบัวเป็นคนให้คำตอบแก่ฉัน

“นครมคธ?”

“เพคะ”

ฉันงงไปกันใหญ่ นี่ฉันมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงกัน แล้วนครมคธมันอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย ไม่เคยได้ยินชื่อแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน นี่ต้องเป็นความฝันซ้อนฝันแน่ ๆ ฉันว่ามันต้องใช่ เพราะฉันจะมาอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไง มันไม่ใช่ความจริงกับชีวิตของฉันสักอย่าง

เพี๊ยะ!

(“เจ้านางน้อย!!!”)

เพื่อพิสูจน์ว่าทุกอย่างนั้นเพียงแค่ฉันแค่ฝันไป จึงตบเข้าใบหน้าตัวเองเต็มแรง จนหน้าหันไปอีกด้าน ทำให้ทั้งสองสาวที่นั่งอยู่ด้านล่างร้องพร้อมกันด้วยน้ำเสียงตกใจ คือฉันไม่รู้เลยว่านี่ความจริงหรือสิ่งที่เป็นเพียงความฝันชั่วครั้งชั่วคราว แต่ความเจ็บแสบบนแก้มเริ่มทำให้ฉันมั่นใจว่ามันไม่ใช่ความฝัน แม้ก่อนหน้าจะหยิกตัวเองแล้วก็ตาม

“ฮือ ฮือ พ่อจ๋าแม่จ๋าช่วยณินด้วย”

“โธ่ ทูนหัวของบ่าว”

ฉันร้องไห้โฮออกมาทันทีเมื่อสิ่งที่กำลังเจอมันเหมือนพรากฉันจากคนที่ฉันรัก พ่อ แม่ และพี่ชายของฉันอยู่ไหน ทุกคนคงกำลังเป็นห่วงฉันแน่ ๆ

“กูตายแล้วเหรอวะ?” เมื่อพลันนึกอีกทีหรือนี่ฉันหมดลมหายใจจากโลกไปแล้ว ถึงได้มาอยู่ที่นี่สถานที่แปลกประหลาดที่ฉันไม่รู้จัก

“ยังไม่สิ้นเพคะ โธ่เจ้านางน้อย ทำไมถึงได้ตรัสเยี่ยงนี้เล่าเจ้าคะ” ผู้หญิงที่ชื่อกาลัดพูดพร้อมกับซบหน้าลงตักของฉัน

“เธอชื่อว่าอะไรนะ?” ฉันถามผู้หญิงอีกคนที่นั่งข้างกาลัด

“กลีบบัวเพคะ” เธอตอบฉันแม้สีหน้าจะดูเศร้าสร้อย ก็ฉันไม่รู้จักพวกหล่อนนี่นา

“มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันนะ?” ฉันพยักหน้ารับรู้ชื่อของคนที่ถาม จากนั้นก็พร่ำเบา ๆ ถามย้ำตัวเอง

“อยู่มาตั้งแต่กำเนิดแล้วเพคะเจ้านางน้อยผณินทร” กาลัดว่าขึ้นชื่อที่แสนจะคุ้นหูทำให้ฉันถลึงตาโต แล้วมองไปทางกาลัด

“ผณินทร?” ฉันพูดออกมาพลางขมวดคิ้วอย่างเป็นคำถาม

(“เพคะ”) ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน

“ชื่อของฉันอะเหรอ?”

“พระนามของเจ้านางน้อยคือผณินทรเพคะ” กลีบบัวบอกย้ำชื่อที่อ้างว่าเป็นฉัน แต่นั่นมันเป็นชื่อเดียวกันกับที่คุณยายคุณนั้นเรียกตอนที่นั่งคุยกับเนยหวานนี่นา

“ไม่ใช่ชื่อของฉันสักหน่อย”

“จะไม่ใช่ได้กระไรเพคะ พระนามมาตั้งแต่ประสูตินะเพคะ”

“นี่มันอะไรกันแน่นะ?”

ฉันตั้งคำถามกับตัวเองในใจ และก็ยังหาต้นเหตุของเรื่องราวไม่ได้เลยว่าฉันมาอยู่เมืองโบราณนี้ได้ยังไง และใครเป็นคนพาฉันมา

“หม่อมฉันเป็นห่วงเจ้านางน้อยแทบแย่เพคะ ไม่ได้สติมาหลายวันตั้งแต่ที่พระนางแอบไปเล่นน้ำ โชคดีท่านอาศิรวิษเป็นคนไปพบเสียก่อน” กลีบบัวบอกเล่า

“ใครอาศิรวิษ?”

“องครักษ์ประจำกายของพระนางเพคะ?”

“!”

ฉันถามเพราะสงสัยเมื่อชื่อนี้เหมือนกับหนังสือที่ฉันเคยอ่านก่อนหน้า กลีบบัวจึงบอกให้ฉันรับรู้ ทำเอาฉันตกใจทำไมมันถึงบังเอิญไปหมด

“กาลัดพวกเราลืมไปเสียได้ว่าลืมกราบทูลเจ้าหลวงและองค์รัชทายาทเมื่อเจ้านางน้อยคืนสติ” กลีบบัวให้ไปพูดกับกาลัด ส่วนฉันก็ได้แต่งงและมองหน้าสองสาวสลับกันไปมา ใครกันอีกคือเจ้าหลวง

“เจ้าหลวงคือใคร?” ฉันถามออกไปตรง ๆ เพราะหากนั่งนิ่งก็คงจะงงไม่รู้จบ

“เสด็จแม่ของพระนางอย่างไรเพคะ? กลีบบัวกูว่ารีบตามหมอเถิดดูเจ้านางน้อยไม่เหมือนแต่ก่อน ลืมเลือนหมดทุกอย่างแม้กระทั่งชื่อ”

“เออ ๆ เอ็งรีบไปกราบทูลเจ้าหลวงส่วนข้าจะไปตามหมอหลวงเอง”

“เดี๋ยว!”

ทั้งกลีบบัวและกาลัดคุยสรุปกันสองคน โดยที่ฉันก็ได้แต่มองตามหลังตาปริบ ๆ เมื่อทั้งสองคนออกไปหากห้อง จะเรียกห้ามก็ไม่ทันซะแล้ว

“เฮ้อฉันหลุดมาอีกโลกหรือยังไงกันนะ...หรือว่าเทวดากำลังทำสอบอะไรฉันกันแน่ ปวดหัวจะระเบิดงงไปหมดแล้ว ชีวิตฉันมันอะไรหนักหนาเนี่ย...เฮ้อเหนื่อย...หนูไม่สนุกด้วยหรอกนะคะกับอะไรแบบนี้”

พูดคนเดียวจบสิ้น ฉันก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียง มองเพดานห้องแล้วทบทวนเรื่องราวที่พบเจอมาเวียนวนอยู่แบบนั้น แต่ฉันก็หาที่มาที่ไปไม่ได้เลย นอนไปนอนมาฉันก็เผลอหลับไปอีกรอบ 

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหนฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังสัมผัสตามแขน จึงทำให้ฉันต้องลืมตาตื่นจากการนอนหลับ สถานที่เดิม ห้องเดิมก่อนหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนไป มองไปรอบ ๆ ก็พบกับกลีบบัว กาลัด และคนที่ฉันไม่รู้จักอีกสามคน การแต่งตัวเต็มยศเหมือนกับคนในวรรณคดี

“เห้ย! พวกเขาเป็นใครกาลัด กลีบบัว” ฉันดีดตัวลุกอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ เมื่อคนที่มาใหม่เป็นใครที่ฉันไม่รู้จัก ขยับถอยหลังจนชิดกับขอบเตียงนอนอีกฝั่ง

“เจ้านางน้อยนี่พ่อเอง พ่อของเจ้าอย่างไรเล่า” ผู้ชายที่ดูมีอายุพูดขึ้น

“พ่อ?” ฉันทวนสรรพนาม

“เจ้าพ่อของเจ้านางน้อยเพคะ” กาลัดเข้ามานั่งใกล้ ๆ แล้วจับมือฉันก่อนจะพูดย้ำอีกรอบ

“ทำไมลูกของเราถึงได้เป็นเช่นนี้หมอหลวง”

“ทูลเจ้าหลวง เป็นอาการเลอะเลือนพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วรักษาได้หรือไม่”

“กระหม่อมมิบังอาจทูลขอรับ เพียงแต่ว่าคงต้องใช้เวลา”

“นานเท่าใด?”

“กระหม่อมไม่อาจทูลชี้ชัดได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ฉันไม่ได้บ้านะ!”

ฉันที่นั่งฟังผู้ชายที่เป็นหมอหลวงกับอีกคนที่บอกว่าเป็นพ่อพูดคุยกัน การเลอะเลือนนั่นคือหมายถึงเป็นบ้า ทำให้ฉันรีบออกปากปฏิเสธทันที

“พระทัยเย็นนะเพคะเจ้านางน้อย แล้วพระนางทรงจดจำได้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ใด?” กลีบบัวชี้ไปยังผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ในมือถือธนูและดาบแนบกาย

“ท่านอาศิรวิษองครักษ์ประจำกายเจ้านางน้อยเพคะ”

“หล่อจัง”

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • อาศิรวิษ   จบ-เสียงกระซิบจากห้วงนาคา 2

    -ปัจจุบัน- ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกตัวและได้กลิ่นคละคลุ้งของยา พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น และมองโดยรอบเห็นแม่กับพี่น้ำที่นอนตรงโซฟา นี่คงเป็นห้องพักพิเศษถึงได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย“ณินฟื้นแล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นด้วยความดีใจฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นพ่อ แม่และพี่ชาย ยืนยิ้มมองมาทางฉันด้วยสีหน้าดีใจ“เป็นยังไงบ้างลูก น้ำไปตามหมอบอกณินฟื้นแล้ว”“ครับพ่อ”พ่อถามแต่ฉันยังไม่ตอบ เหมือนกับปากของฉันมันไม่มีแรงอ้าจะพูดกับใคร ได้แต่พยายามฉีกยิ้มให้ สื่อว่าฉันไม่เป็นอะไร จากนั้นพ่อกันหันไปบอกพี่น้ำให้ตามหมอ แล้วพี่ชายของฉันก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่นานพี่น้ำก็มาพร้อมหมอและพยาบาลหนึ่งคน มาถึงก็จับนั่นตรวจนี่ ฉันรู้สึกตัวทุกครั้งและมีสติดี เพียงแต่ยังรู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น มองเห็นทุกการกระทำของหมอและคนอื่น ๆ“ร่างกายปกติดีนะครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ช่วงนี้ก็นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” หมอพูดขึ้น“แต่ลูกสาวดิฉันนอนสลบไปสิบแปดวันเลยนะคะ แน่ใจใช่ไหมคะว่าไม่เป็นอะไรจริง ๆ”แม่ถามย้ำท่านคงเป็นห่วง นี่ฉันนอนหลับไปสองอาทิตย์กว่าเลยงั้นเหรอ?“คนไข้ไม่เป็นอะ

  • อาศิรวิษ   เสียงกระซิบจากเงาห้วงนาคา

    ณ มคธนคร กลางค่ำคืนแห่งจันทราแดง ท้องฟ้าสีเลือดคลุ้งด้วยกลิ่นลางร้าย ดวงจันทร์เต็มดวงถูกหมอกพิษบดบังเพียงครึ่ง… และที่ระเบียงสูงของของตำหนัก ผณินทรยืนนิ่ง ลมเย็นปะทะใบหน้าที่เปื้อนแววหม่นเศร้า เธอยังฝันถึงเสียงของรีภพ…เพื่อนร่วมรบ แม้เขาจะสลายกลายเป็นเศษพลังแห่งนาคธาตุไปแล้วเสียงฝีเท้าก้าวมาช้า ๆ...อาศิรวิษในชุดนักรบสีดำทอง สะพายหอกนาคา ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แต่สายตาเขาจับจ้องมาไม่ลดละ“ข้าฝันถึงตรีภพอีกแล้ว…” เอ่ยเบา ๆ ราวสายลม“เขาอาจยังไม่ได้จากเราไปเสียหมด...” อาศิรวิษพูดเสียงต่ำแผ่ว "...วิญญาณที่ยึดมั่นในคำสัตย์ จะไม่มีวันดับสูญง่ายดาย"และแล้วทันใดนั้น...แผ่นดินก็สั่นไหวเบา ๆ เงานาคที่หลับใหลใต้มหานทีเริ่มขยับณ เทวสถานบ่วงนาคบาศ ในห้องลับใต้เมืองซึ่งซ่อน บ่วงนาคบาศไว้ตราบชั่วกาล…รอยร้าวปรากฏบนผนึกหิน เสียงกระซิบดั่งจากห้วงเหว..."ผู้ที่ควบคุมบ่วง คือผู้ปกครองพรหมแดน...แต่หากบ่วงนี้ตกอยู่ในมือของเงามืดจะไม่มีวันคืนใดปลอดภัย"ฉันและอาศิรวิษรีบรุดไปยังเทวสถานพร้อมคณะองครักษ์ที่นั่น...พวกเขาเจอร่องรอยการบุกรุกและสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือหน้ากากของศัตรูปรากฏ“นั่นใครหรือเจ้าคะเสด็จพ่อ

  • อาศิรวิษ   13-เสียงกระซิบจากเงามืด2

    “ความลับที่อยู่ในใจของอาศิรวิษ... คือกุญแจสุดท้าย”และก่อนที่ฉันจะถามต่อ เสียงระเบิดพลังพุ่งเข้ามาจากทิศตะวันตก เสียงร้องเตือนจากทหารของมคธนครดังสนั่น“มีเงามืดบุกเข้ามา! พวกมันมีตราเหมือนกับศศินา!”ฉันเบิกตากว้าง“หมายความว่าไง?!”เสียงของอาศิรวิษตะโกนมาอย่างรีบเร่ง“เจ้านางน้อย! อยู่ข้างหลังข้า!”เขาคว้าฉันไว้ในอ้อมแขน ดึงออกจากระเบียงก่อนเปลวพลังจะระเบิดฟาดผ่านจากเงามืด...ศศินาค่อยๆ เดินออกมาอีกครั้ง“ข้า...ไม่ใช่ศศินาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว อาศิรวิษ”และเบื้องหลังนางคือเงาในคราบอดีตของอาศิรวิษ ที่เขาไม่เคยเปิดเผยกับใคร...ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าไม่ใช่เพียงศศินา หากแต่คือใครบางคนที่มีเงาทาบซ้อนอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตานางไม่ใช่ศศินาอีกต่อไปแต่คือผู้ที่ครอบครองนางอาศิรวิษหน้าถอดสี ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังสั่นเล็กน้อย“นางคือ...อาคิรนัย”เสียงของอาศิรวิษหลุดเบาออกมาราวกับวิญญาณเขาจะหลุดจากร่าง ฉันหันไปมองเขาด้วยความสงสัยปนสั่นไหว

  • อาศิรวิษ   13-เสียงกระซิบจากเงามืด

    ฉันก้าวเดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หัวใจหนักอึ้งด้วยความสูญเสีย ในมือยังคงกำผ้าผูกข้อมือสีทองของอาศิรวิษและจี้หยดครามของตรีภพไว้แน่น ความทรงจำของพวกเขายังคงชัดเจนในจิตใจ​ ฉันตัดสินใจเดินทางสู่แดนต้องห้าม สถานที่ซึ่งเล่าขานว่าเป็นที่สถิตของ ผู้เฝ้าประตูแห่งวิญญาณ เชื่อกันว่าผู้เฝ้าประตูสามารถนำวิญญาณกลับคืนสู่โลกได้ แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฉันต้องฝ่าฟันผ่านป่าทึบที่มีสัตว์ร้ายและกับดักมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพ จึงไม่ยอมแพ้​ เมื่อมาถึงประตูแห่งวิญญาณ ฉันพบกับผู้เฝ้าประตู เธอเป็นหญิงสาวลึกลับที่มีดวงตาสีเงินเปล่งประกาย เธอมองฉันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก"เจ้าปรารถนาจะนำวิญญาณกลับคืนหรือ?" เธอถามด้วยเสียงเย็นชาฉันพยักหน้าและตอบด้วยเสียงสั่นเครือ​"ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้พวกเขากลับมา"ผู้เฝ้าประตูยิ้มบางๆ และกล่าวว่า​"การแลกเปลี่ยนนี้ เจ้าต้องสละสิ่งที่เจ้ารักที่สุด เจ้าพร้อมหรือไม่?"ฉันนิ่งคิด ความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพคือสิ่งที่มีค่

  • อาศิรวิษ   12-เงารักในภพชาติ

    คืนหลังศึกใหญ่...สายลมพัดเบา ใบไม้ไหวคล้ายลมหายใจแห่งพงไพร ฉันยืนอยู่ริมระเบียงเรือนรับรองของมคธนครจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือผืนน้ำเบื้องล่าง มือยังอบอุ่นจากสัมผัสสุดท้ายของใครบางคน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา... แต่ฉันรู้ทันทีว่าเป็นเขา“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นอยู่” เสียงของเขาเบาราวกระซิบ“ข้ารอท่านอยู่ต่างหาก...”ฉันหันไปยิ้มอ่อนให้ชายตรงหน้า อาศิรวิษเดินเข้ามาใกล้ ยังสวมชุดนาคาธิคุณที่ซีดจางไปเล็กน้อย แผลบนร่างเขาเกือบหายดีแล้ว แต่ในดวงตายังมี ความอ่อนล้า...และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าเดิม“ท่านรู้ไหม… ตอนที่ท่านกางแขนป้องข้าไว้ข้างหลัง ข้าคิดว่า…ข้ากำลังจะเสียท่านไป” เสียงของฉันเบาราวเสียงสายฝนแรกของปี “แต่ท่านก็ยังอยู่ตรงนี้…ยังอยู่กับข้า”เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้“ข้าเคยคิดว่า ความรักของข้า…ต้องจางหายไปเหมือนละอองควัน แต่ท่านทำให้ข้ารู้ว่า ความรักไม่ต้องดัง ไม่ต้องร้อนแรง แค่อยู่ตรงนั้นเสมอ…ก็พอแล้ว”ฉันรู้สึกได

  • อาศิรวิษ   11-ใต้ร่มบุษบัน ในใจนั้นคือเจ้า2

    หลังจากที่เข้าพบเจ้าหลวง ในคืนเดียวกันฉันรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามา...อาศิรวิษพาฉันมายืนใต้แสงจันทร์ เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น“พี่มีเรื่องจะถาม…ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบว่ามีบางคนจากอดีตชาติ กลับมาทวงคำสัญญา…เจ้าจักเลือกอะไร?”ฉันชะงักทันที คำถามนั้นแฝงความกลัว...ไม่ใช่ต่ออดีตแต่ต่อการสูญเสีย ฉันไม่ตอบ แต่กุมมือเขาไว้แน่น แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า“อดีตอาจมีคำสัญญา แต่ปัจจุบันคือความรู้สึก และในวันนี้...ข้าเลือกท่าน”อาศิรวิษหลับตาแน่น ดวงตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อยแล้วกอดฉันไว้ เหมือนกลัวว่าฉันจะหายไปแต่ในเงาจันทร์เหนือสระบูชา เงาดำรูปหนึ่งก้าวออกจากเงาสะท้อนของน้ำ เขายืนเงียบ ใบหน้ายังปิดด้วยผ้าดำ...แต่เสียงแผ่วนั้นดังก้องในเงามืด เหมือนในฝันคืนก่อน“อ อาศิรวิษดูนั่น” ฉันเรียกให้เขาเงยมองเบื้องบน อาศิรวิษเจ้ามือฉันแน่น เหมือนสื่อว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้“ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางของเจ้า เยี่ยงนั้นข้าก็จะเลือกทางของข้าเช่นกัน...ผณินทร”

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status