หลังจากแมวน้อยอาบน้ำอุ่นและเช็ดตัวเสร็จแล้ว ที่ผิวและขนก็มีกลิ่นหอมสมุนไพรอ่อนๆ สบายตัวยิ่งนัก
“พร้อมหม่ำแล้วค่ะ” “เหมียวๆๆ” ด้วยสัญชาตญาณความตะกละเลยเดินไปถูไถขาของฮ่องเต้
“เจ้ามาอ้อนอะไรเจิ้น หิวแล้วหรือ บนโต๊ะนั่นไงไปดูสิ”
ไม่หิวได้อย่างไร วันนี้ทั้งวันเธอแทบไม่ได้มีอาหารตกถึงท้อง
‘ไหนดูซิ แมวในวังมีเมนูอะไรกินบ้างนะ’ แมวน้อยแหงนหน้ามอง ถอยหลังตั้งหลักแล้วกระโดดขึ้นเก้าอี้ก่อนกระโดดไปยังโต๊ะเสวย
‘ไก่ต้มกลิ่นหอมเรียกน้ำย่อยน่าอร่อย แต่ว่าฉันอยากกินปลาน่ะสิ’
“เหมียวๆๆ” เถียนจิ้งหลานที่อยู่ในร่างเสี่ยวหู่ กล้าเรื่องมากเอะอะโวยวาย ใช้อภิสิทธิ์แมวรักของฝ่าบาท ร้องบอกพร้อมกับเอาขาหน้าเขี่ยชามอาหารออกไปไกลตัว
ฮ่องเต้ที่ทรงอ่านหนังสืออยู่ถึงกับปิดหนังสือแล้วหันมาสนใจแมวน้อย
“อะไรของเจ้าอีก ไม่อยากกินไก่หรือไง วันนี้เลือกมากเชียว”
แมวน้อยเสี่ยวหู่กระโดดหมายจะไปคลอเคลียออดอ้อนฮ่องเต้ แต่ด้วยความเป็นแมวใหม่หัดกระโดด
‘โครม’ ตกโต๊ะ
ไม่มีการพลิกตัวกลับใดๆทั้งสิ้น เอาที่ไหนมาเหมือนแมวเวลาตกจากที่สูง เหมือนจิ้งจกตกจากเพดานมากกว่า
นัยน์ตาหงส์เห็นดังนั้นก็ตกใจรีบถลาเข้าไปอุ้มด้วยความห่วงใย ถึงอย่างไรก็แมวรัก แต่ก็ยังสามารถพูดประชดแมวได้
“เกิดเป็นแมวมาก็ไม่ใช่วันสองวัน ทำไมวันนี้ไม่เหมือนแมวแล้วล่ะ ขนาดหมูตกโต๊ะยังดูดีกว่า”
เถียนจิ้งหลานได้ยิน อารมณ์ทั้งเขินอายและขุ่นมัว
‘ท่านก็พูดเกินไป สวยแบบฉันเหมือนหมูตรงไหน’ “เหมียวๆ”
“ขันทีอันไปบอกให้ห้องครัวหลวงทำปลานึ่งสำหรับเสี่ยวหู่ด้วย ตกจากโต๊ะแบบนี้คงเคี้ยวอะไรไม่ไหว”
‘โอ้ว ช่างน่าปลาบปลื้มยิ่งนัก ฮ่องเต้ผู้เย็นชากับสตรีแต่อ่อนโยนกับแมวเป็นที่สุด’
เถียนจิ้งหลานถึงกับทำสีหน้าเอือมระอาผ่านทางใบหน้าเสี่ยวหู่ ทำให้ดูน่าขันยิ่งนัก
หลังจากอิ่มหมีพีมันกับมื้ออาหาร เสี่ยวหู่ก็เริ่มง่วงหงาว หาวนอน จึงเดินวนเวียนอยู่ในตำหนักหาที่นอน ตอนนี้ง่วงจนสามารถนอนแผ่กับพื้นได้แล้ว
‘ในตำหนักต้องมีที่นอนของเสี่ยวหู่สิน่า’
สุดท้ายก็หาเจอ เตียงไม้ขนาดเล็กกับเบาะรองหนานุ่มที่ทำจากผ้าแพรชั้นดีมีวางอยู่ในห้องทรงพระอักษรและห้องบรรทมห้องละเตียง
‘นอนในห้องทรงพระอักษรดีกว่า ปลอดภัยต่อพุงน้อยๆที่สุดแล้ว นอนเอาแรงก่อน พรุ่งนี้ค่อยคิดจะทำอย่างไรให้กลับร่างได้’ คิดดังนั้นก็ล้มตัวนอนฟังเสียงฮ่องเต้เปิดหนังสือทีละหน้าๆจนหลับไป
ผ่านไปได้ไม่นานนัก ก็รู้สึกตัวว่าถูกอุ้มขึ้นมาอยู่ในอกอุ่น ‘อืม สบายจัง’ เมื่อได้สติก็พยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนของฮ่องเต้ แต่ยิ่งดิ้นกลับยิ่งถูกกอดอยู่ในอ้อมแขนใหญ่ นัยน์ตาหงส์ส่งสายตาเป็นประกายให้กับแมวน้อย พลางเอ่ยด้วยเสียงดุ
“นอนกับเจิ้นบนเตียงนี่แหละ ดิ้นมากเดี๋ยวดีดไข่ ไม่ก็จับตอนซะ”
แมวน้อยตาเหลือกหยุดนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน
‘คนอะไรทั้งโรคจิตและบ้าอำนาจ ดีดไข่ว่าสยองแล้ว เอาไปตอนนี่สิ สยองกว่า’
หลังจากทำใจสักพัก เถียนจิ้งหลันก็พยายามทำตัวให้กลายเป็นแมวน้อยแสนดีและเชื่อฟัง
“เหมียวๆ” เสี่ยวหู่พลิกตัวเข้าหาฮ่องเต้ เอาหน้ามุดไปที่ซอกคอฮ่องเต้ แล้วก็เอาขนไปไซร้ให้ฮ่องเต้จั๊กจี้
“อ้อนแบบนี้ก็เป็นนี่ เจิ้นไม่เคยเห็นเจ้าอ้อนสักครั้ง คราวหลังทำบ่อยๆนะ” ฮ่องเต้เอ่ยพลางบรรจงลูบหัวเสี่ยวหู่อย่างอ่อนโยน
เฉิงกงกงเดินเข้ามาเห็นฉากนี้พอดี “สตรีก็อ้อนแบบนี้ได้นะพะย่ะค่ะ เผื่อจะมีโอรสมังกรกำเนิดขึ้น”
ฮ่องเต้หนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ส่งสายตาเย็นชาและกล่าวตอบ
“สตรีตัวนุ่ม เจิ้นไม่ชอบ”
เฉิงกงกงอมยิ้ม พูดเสียงร่าเริงว่า “เสี่ยวหู่ก็ตัวนุ่มเช่นกันพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซึ่งกำลังมองมือตัวเองที่ยังลูบไล้ขนเสี่ยวหู่ ก็เอื้อนเอ่ย “แต่สตรีไม่มีขนนุ่มๆทั้งตัวเหมือนเสี่ยวหู่”
เฉิงกงกงและเถียนจิ้งหลานต่างตกใจพร้อมกัน
‘หะ อะไรนะ’
เถียนจิ้งหลานเริ่มรู้สึกสงสารพระสนมอีกสามคนของฮ่องเต้ มีบุญวาสนาก็จริงแต่ไม่ได้มีเท่าแมวตัวเล็กๆ หากฮ่องเต้ใจกว้างสักหน่อยก็น่าจะอนุญาตให้พวกนางออกจากวัง เผื่อจะได้พบกับชายที่รักพวกนางจริงๆ
ส่วนเถียนจิ้งหลานนั้นคืนนี้แค่นอนนิ่งๆให้ฮ่องเต้กอดก็พอ ชีวิตสตรีของเธอ นอนกับผู้ชาย กอดกับผู้ชายครั้งแรกในชีวิตด้วยฐานะของแมวตัวผู้ !
เข้าสู่รุ่งอรุณของวันใหม่ แสงสีทองสาดส่องผ่านหน้าต่างทอดยาวลงบนที่นอน เสี่ยวหู่เริ่มรู้สึกตัวตื่น พลิกกายเพื่อลุกจากที่นอน
“โครม” เสียงแมวน้อยตกจากเตียงลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้น
ขันทีอันรีบวิ่งมาดูคนแรก เขาอุ้มเสี่ยวหู่มาลูบหาว่ามีอาการบาดเจ็บตรงไหน จับพลิกตัวไปมาจนเถียนจิ้งหลานเวียนหัว
“นอนอย่างไรถึงตกเตียงได้ ข้าต้องกราบทูลฝ่าบาท เผื่อเจ้าเป็นอะไรไปจะได้เรียกหมอหลวงมารักษา”
ขันทีหน้าตาจิ้มลิ้มพูดกับแมวน้อยอย่างเป็นจริงเป็นจัง
‘เอาอีกล่ะ ก็แค่ตกเตียงทำตกใจเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ ตอนฉันเป็นคนยังตกเตียงออกจะบ่อย’
เถียนจิ้งหลานเอ่ยปลอบขันทีอันในใจ จากนั้นก็ดิ้นจนขันทีอันปล่อยตัวเสี่ยวหู่ลงพื้นอย่างเบาๆ
“ข้าไปสำรวจรอบตำหนักก่อนนะ บาย” “เหมียวๆๆ”
เสี่ยวหู่ตอบภาษาแมวเสร็จก็เดินสะบัดก้นส่ายหางออกจากห้องพระบรรทมอย่างไม่แยแสผู้ใด
นางกำนัลหน้าแดงอย่างขวยเขินเพราะเข้าใจสิ่งที่องค์หญิงซิงหยวนต้องการ นางรีบวิ่งไปทำตามสั่งโดยไม่คิดชีวิตฤกษ์ดีๆ อย่าให้พลาดเรื่องดีๆหยางหย่วนเฟิงรู้สึกงุนงงหลังจากได้ดื่มน้ำแกงสร่างเมา เขาพอมีสติอยู่บ้างแต่ก็ยังอยากนอนมากกว่า“ข้าอยากพักผ่อนแล้ว เจ้าลิงน้อยก็นอนเถอะ” น้ำเสียงงัวเงียบอกกับหญิงสาวที่มีสีหน้าบอกบุญไม่รับ“ไม่ได้” นางตอบ มือเรียวทั้งสองค่อยๆปลดเสื้อผ้าของชายหนุ่มออก มือหนายกขึ้นมาปัดป้อง “บอกว่าง่วง” เสียงเขาราวกับเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ แต่สตรีตรงหน้าไม่สนใจ นางยังคงทำตามปณิธานของตน “อย่าดื้อสิ” นางสั่งเขาพลางถอดเสื้อผ้าของพวกเขาทั้งคู่ออกจนหมด เจ้าบ่าวป้ายแดงดิ้นขัดขืนส่งเสียงงอแง กลับถูกเจ้าสาวจับคางให้นิ่งก่อนก้มลงจุมพิตเขา เมื่อถูกริมฝีปากหวานฉ่ำรุกล้ำภายในปากของตน ก็ทำให้สติสัมปชัญญะของเขาตื่นเต็มที่ มือแกร่งยกขึ้นมารั้งที่ท้ายทอยหญิงสาว อีกมือลูบบริเวณสะโพกกลมกลึง ก่อนที่จะเปลี่ยนพลิกตัวขึ้นเป็นฝ่ายที่ควบคุมนางแทน ในตำหนักเหอเซิ่ง มีเพียงแค่ชายหญิงสองคนเกี่ยวพันกันอย่างเร้าร้อน พวกเขาสั่งให้กงกง ขันทีและองครั
ที่ประตูเมืองหลวงของรัฐต้าเซี่ย เถียนจิ้งหลานยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเศร้าหมอง“ซือฝุจะไปจริงๆหรือเจ้าคะ” เธอรู้ว่าซือฝุตัดสินใจแล้วยังไงก็ไม่เปลี่ยนใจ เพียงแค่ใจหายที่ต้องบอกลากันเร็วถึงเพียงนี้“อืม” เถียนเหว่ยฉีบอกกับหญิงสาว เขามองฮ่องเต้แล้วพยักหน้าให้ถือว่าเป็นอันรู้กัน“ตอนที่ข้าเดินทางไปแอบดูท่านพี่หม่า ซือฝุจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ”เถียนเหว่ยฉีนิ่งไปพักหนึ่งก่อนตอบว่า “ถ้าข้าสำเร็จวิชาและมีเวลาว่างข้าจะไป” เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าสำนักที่ปรมาจารย์ไป๋แนะนำเพื่อฝึกตนเป็นเทพเซียนปฐพี การจากไปครั้งนี้ก็เพื่อแสวงหาความก้าวหน้าให้แก่ตนเอง“โชคดีนะเจ้าคะ ถ้ามีโอกาสข้าจะให้ฝ่าบาทพาไปพบซือฝุ” เธอกล่าวเช่นนั้นเพราะจำได้ว่าสามีของตนเคยอวดอ้างว่าขนาดเทพเซียนปฐพียังต้องเกรงใจเขา นั่นหมายความว่าเขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับเทพเซียนปฐพีและน่าจะสามารถเดินทางไปได้ฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธหรือตอบรับ เขาเอื้อมมือโอบไหล่ เถียนจิ้งหลาน ก่อนจะกล่าวกับบุรุษตรงหน้า “เดินทางปลอดภัย”เถียนเหว่ยฉีหันหลังให้พวกเขาก่อนหยิบของบางอย่างและทำตามคำแนะนำของปรมาจารย์ไป๋ก่อนที่เขาจะหายตัวไปท่ามกลางฝูงชนเถียนจิ้งห
ด้วยความที่เสียเวลาเดินทางมานาน เมื่อพวกเขานั่งเรือกลับมาถึงฝั่งก็เปลี่ยนเป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่และรับทุกคนเดินทางกลับต้าเซี่ยเลยทีเดียว เว่ยฟางหลิงยังต้องกลับไปเก็บของที่วัง เยี่ยนไป๋อวิ๋นและองค์หญิงซิงหยวนขอลงที่ท่าเรือของรัฐเฉียนเยี่ยนและอวิ๋นโจวเพื่อจัดการธุระของตน ที่ดูหงอยเหงามากที่สุดคงหนีไม่พ้นหยางเหว่ยเสียง ปกติเขาจะชอบพูดคุยกับราชครูหม่า ตอนนี้ราชครูหม่าก็ย้ายไปอยู่ในที่แสนไกลแล้ว เขาคงไม่มีคนให้ซักถามเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ที่เก่งขนาดนั้นอีกแล้ว ส่วนเยี่ยนไป๋อวิ๋นนั้นถือเป็นสหายที่รู้ใจเขามากที่สุด อยู่ด้วยกันมานานพูดคุยเข้าใจกันทุกเรื่อง พอคิดว่าเยี่ยนไป๋อวิ๋นจะต้องกลับสำนักหลานถาเป็นผู้สืบทอด นานทีปีหนจะลงจากเขา ความเศร้าหดหู่ก็เข้ามาเกาะกุมหัวใจของเขาจนยากที่จะขจัดออก “เจ้าเป็นอะไรไป” เยี่ยนไป๋อวิ๋นเดินมานั่งลงข้างกายเขาหลังจากที่พูดคุยกับเถียนเหว่ยฉีเสร็จ “เดี๋ยวไม่กี่วันเจ้าก็ต้องกลับสำนักแล้ว ข้าคงเหงาน่าดู” เยี่ยนไป๋อวิ๋นเขยิบกายเอาไหล่ตนชนกับไหล่ของหยางเหว่ยเสียง “ถ้าข้ามีเวลาไปหาเจ้า เจ้าจะแต่งกายเป็น
เถียนจิ้งหลานนอนซุกอกกำยำของฮ่องเต้ นิ้วเรียวเขี่ยหน้าอกเขาเล่นด้วยความเพลิดเพลิน“เป่าเป้ยเล่าเรื่องท่านพี่หม่าให้หม่อมฉันฟังเลยเพคะ”“อืม เรื่องมันยาว” เขาไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าอย่างไรดี“เจิ้นต้องเล่านิทานเรื่องหนึ่งก่อน จึงจะเล่าเรื่องของ หมิงเจ๋อต่อได้” น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขากระตุ้นให้สตรีน้อยยิ่งอยากฟังมากขึ้น“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสตรีโฉมงามปานเทพธิดานางหนึ่งครองรักอยู่กับบุรุษรูปงามดั่งเทพเซียน พวกเขาทั้งสองวางแผนไว้ว่าหากสตรีนางนั้นทำภารกิจที่อาจารย์มอบหมายไว้ให้เรียบร้อยคนทั้งคู่ก็จะแต่งงานกัน” เขาก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของหญิงสาวที่นอนฟังราวกับกระต่ายตัวน้อยก่อนจะเล่าต่อ“สตรีนางนั้นต้องต่อสู้กับศิษย์ร่วมสำนักอีกคน ตามกฎของการประลองคือห้ามผู้ใดเข้าช่วยเหลือได้ เมื่อสตรีนางนั้นเพลี่ยงพล้ำถูกกระบี่ของอีกฝ่าย เขาก็ไม่ได้นิ่งเฉยรีบเข้าไปหวังจะช่วยเหลือนาง เพียงแต่ว่าเขาไปช้าเพียงเสี้ยวเวลาเดียวเท่านั้นจึงทำให้ช่วยนางไว้ไม่ทัน นางสิ้นใจในอ้อมอกของเขา”ร่างแกร่งของชายหนุ่มที่เล่าเรื่องเริ่มสั่นไหว ความรู้สึกเศร้าจนหายใจไม่ออกทำให้หน้าอกกระเพื่อมมากขึ้น น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่น
ฮ่องเต้อุ้มเถียนจิ้งหลานเดินนำคนอื่นๆไปยังทางออกอีกฝั่งของถ้ำ ภายในถ้ำยังคงสว่างไสวจากประกายแสงของคริสตัลสีฟ้าน้ำทะเล พวกเขาใช้เวลาเดินประมาณสามก้านธูปก็ได้พบกับประตูหินบานใหญ่ซึ่งเป็นทางออกอีกด้านของถ้ำ เนื่องจากตอนที่พวกเขาเปิดประตูถ้ำนั้นต้องใช้แก้วมณีมังกรทำให้กลไกของประตูเปิดและตอนนี้มันก็ยังคงอยู่ในลิ้นของหินรูปร่างมังกร เมื่อสำรวจกับประตูบานตรงหน้าก็คล้ายกับว่าต้องใช้แก้วมณีมังกรเช่นกัน “เดี๋ยวกระหม่อมจะย้อนไปหยิบให้พะย่ะค่ะ” เจียงจิ้นเผิงเสนอตัวอาสา “ช้าก่อน” เถียนเหว่ยฉีรั้งเขาไว้ “ปรมาจารย์ไป๋ไม่น่าจะขยันหยิบแก้วมังกรไปมา เขาต้องมีวิธีเรียกมันมาได้แน่ๆ” “ข้าคุมน้ำให้มากับน้ำดีหรือไม่เจ้าคะ” เถียนจิ้งหลานที่กำลังอ่อนล้าก็อยากช่วยเช่นกัน “ไม่ต้องๆ ไม่รบกวนเถียนเฟยพะย่ะค่ะ” ทั้งเจียงจิ้นเผิงและเมิ่งจื่อหานกล่าวห้ามพร้อมกัน พวกเขาไม่ได้ประจบเอาใจ เพียงแต่ว่าถ้านางควบคุมน้ำได้ไม่ดี พวกเขาอาจจะต้องไหลไปตามน้ำหรือไม่ก็ตัวเปียกอีกรอบ ฮ่องเต้เพ่งมองไปรอบๆบริเวณอย่างช้าๆ ก่อนที่จะฝากให้เถียนเหว่ยฉีอุ้มเถียนจิ้งหลา
เมื่อเดินใกล้ถึงด้านหัวของหินก้อนนั้นจึงมองออกว่าหินก้อนนั้นคือหินรูปมังกร ศีรษะมังกรขนาดใหญ่อ้าปากคำรามน่าเกรงขาม ข้างหลังของศีรษะมังกรเป็นถ้ำถูกปิดด้วยประตูหินที่แกะสลักลวดลายมังกรอย่างวิจิตรบรรจงเจียงจิ้นเผิงเดินเข้าไปใกล้ประตูหินนั้น เขาลองผลักประตูแต่ไม่ว่าจะใช้แรงมากเท่าไหร่ประตูก็ไม่มีทีท่าจะขยับเลยแม้แต่น้อยฮ่องเต้พินิจพิเคราะห์ในปากมังกร เขาล้วงมือเข้าไปหยิบห่อผ้าออกมาจากหน้าอกตนเอง ก่อนหยิบแก้วมณีมังกรใส่ลงไปตรงกลางลิ้นของมังกร เมื่อแก้วมณีมังกรลงช่องที่พอดีกับขนาดของมันก็ทำให้หินรูปมังกรนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงบริเวณลำตัวจากสีน้ำตาลเข้มแกมดำเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตสดใส ดวงตาของมังกรก็เปล่งประกายสีแดงก่ำราวกับโกเมน จากนั้นประตูหินค่อยๆแง้มออกต้อนรับแขกผู้มาเยือนภายในถ้ำของเกาะแห่งนี้แตกต่างจากเกาะแรกราวฟ้ากับเหว ขนาดพื้นที่กว้างขวาง โอ่โถง พื้นและผนังถ้ำเป็นหินอ่อน ส่วนเพดานเต็มไปด้วยหินคริสตัลสีฟ้าน้ำทะเลส่องแสงระยิบระยับสะท้อนไปทั่วทั้งถ้ำ ทำให้ไม่จำเป็นต้องจุดคบไฟเพื่อให้ความสว่างก่อนที่จะเดินเข้าไปในถ้ำ ฮ่องเต้คว้าตัวเถียนจิ้งหลานไว้ มือใหญ่ทั้งสองจับที่คางของนางก่อนที่