บทที่ 19
นอนด้วยกัน
เย็นวันนั้น ฉินเจี๋ยฆ่าไก่ตัวหนึ่ง ถอนขนแล้วเอาไปหมักกับเกลือ ทำเป็นไก่ย่าง
ฉินหรูรับหน้าที่เป็นแม่ครัว ทำกับข้าวอย่างอื่นขึ้นโต๊ะ ท่าทางของนางคล่องแคล่ว จนเสิ่นหยางมองตาไม่กะพริบ
“ได้ยินว่านางเป็นแม่ครัวที่บ้านเซวีย?” เสิ่นหยางถามเซียงซือ
เซียงซือพยักหน้าตอบ “เดิมก็เป็นความบังเอิญ นางประลองทำอาหารจนชนะ บ้านเซวียเลยจ้างนางให้ไปเป็นแม่ครัวชั่วคราว ไม่เลยว่านางจะถูกจ้างจนถึงตอนนี้”
เสิ่นหยางฟังจบ ดวงตาคมเข้มเลื่อนไปทางฉินหรูอีกครั้ง
“ช่วงที่ข้าไม่อยู่ นางคงลำบากไม่น้อย ทั้งหมดเป็นเพราะข้าแล้ว”
เซียงซือฟังแล้วก็อดเผยสีหน้าหดหู่ออกมาไม่ได้
“ตอนนี้ข้ากลับมาแล้ว ต่อไปจะไม่มีใครทำให้นางต้องลำบากอีก” เสิ่นหยางยืนยันหนักแน่น
เซียงซือยิ้มแล้วบอกว่า เช่นนั้นก็ดี ฝากนางด้วย
ระหว่างรอกับข้าวขึ้นโต๊ะ ทั้งสองเปลี่ยนมาคุยเรื่องของอาเหยา
คุยกันพลางมองเจ้าตัวเล็กที่กำลังเล่นคนเดียว เด็กน้อยยังไม่คุ้นเคยกับเสิ่นหยางสักเท่าไรเลยยังไม่กล้าเข้าใกล้
เด็กน้อยเหลือบมองเสิ่นหยางด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มหันมายิ้มให้เขา
อาเหยาทั้งตกใจทั้งเขิน เดินไปหลบหลังท่านยาย หากกระนั้น ศีรษะเล็กเทียวยื่นออกมามองเสิ่นหยาง
ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็อยากรู้อยากเห็นของเด็กน้อย ทำให้เขาน่ารักน่าเอ็นดูเป็นพิเศษ
พอทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ทุกคนก็มานั่งล้อมวงกินข้าวเย็นด้วยกัน
กับข้าวเย็นวันนี้มีของกินเต็มโต๊ะ ดวงตาใสแป๋วของเจ้าตัวเล็กเป็นประกายขณะมองกับข้าวเยอะแยะ
“อาเหยากินได้ไหม” เจ้าตัวเล็กถาม
ฉินหรูหัวเราะเบาๆ “กินได้สิ”
“หมดเลยหรือ”
“กินได้ทั้งหมดเลย”
เจ้าตัวน้อยยิ้มกว้างจนแก้มบาน ท่านแม่ทำกับข้าวอร่อย อาเหยาชอบที่สุด
อาเหยาไม่รอช้า ตักไข่นึ่งใส่ชาม จากนั้นก็หยิบหมั่นโถมากิน จานไหนที่เอื้อมมือไปไม่ถึง เขาจะชี้บอกมารดา
เด็กน้อยเคี้ยวตุ้ยๆ แก้มป่องเหมือนกระรอก
เห็นเจ้าตัวเล็กกินอย่างเอร็ดอร่อย ทุกคนเองก็มีความสุข
หลังจากกินข้าวเสร็จ เสิ่นหยางก็เปิดประเด็นขึ้นมา
“จริงๆ ข้าเปลี่ยนแซ่แล้ว”
หลังจากได้ฟัง ทุกคนแสดงสีหน้าประหลาดใจ แต่เพียงครู่พวกเขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเข้าอกเข้าใจ
เสิ่นหยางถูกเตะออกจากตระกูลเสิ่นหลังจากที่เดินไปเป็นทหารรับใช้ชาติได้ไม่นาน ทางบ้านเสิ่นอ้างว่าเสิ่นหยางนั้นหนีทหาร ด้วยกลัวว่าตระกูลเสิ่นจะเดือดร้อน จึงได้เอาชื่อของเขาออกจากวงศ์ตระกูล เขาเปลี่ยนแซ่ก็เป็นเรื่องสมควร
“แล้วตอนนี้ท่านใช้แซ่อะไร” ฉินหรูถาม
“แซ่เฟิง เป็นแซ่ของท่านแม่ข้าเอง”
“ต่อไปพวกเราก็ต้องเรียกลูกเขยว่า ‘เฟิงหยาง’ ใช่หรือไม่” ฉินเจี๋ยถามเพื่อความแน่ใจ
“ขอรับ”
“เฟิงหยาง ชื่อนี้เพราะกว่าเสิ่นหยางเป็นไหนๆ” ฉินหรูพูดพลางยิ้ม
สร้างผลงานในสนามรบในฐานะคนสกุลเฟิง ดีกว่าสร้างชื่อเสียงให้กับสกุลเสิ่นเป็นไหนๆ
ดีแล้วละ ดีแล้ว!
ฉินเจี๋ยกับเซียงซือพยักหน้าเห็นด้วย
‘เฟิงหยาง’ ยังเล่าว่าเพราะช่วยเหลือคุณชายใหญ่บ้านเซวียโดยบังเอิญ ทั้งทางนั้นส่งจดหมายให้กับทางบ้านบ่อยๆ เขาจึงได้รู้ความเคลื่อนไหวของบ้านเสิ่นและเรื่องของฉินหรูไปด้วย
ฟังมาถึงตรงนี้ ฉินหรูเข้าใจทันที คนที่ส่งข่าวของนางกับลูกให้เขารู้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นคุณชายรองเซวียอวี้เจินอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
นั่งคุยจนดึกดื่น ในที่สุดศีรษะเล็กๆ ของอาเหยาก็สัปหงก สักครู่ เจ้าตัวเล็กก็เอนตัวหนุนตักมารดา
“เลยเวลานอนของอาเหยาแล้ว ข้าต้องพา...”
ฉินหรูพูดไม่ทันจบ เฟิงหยางก็ยื่นสองมือมาอุ้มเจ้าตัวเล็ก
“ข้าอุ้มเขาเอง”
ว่าจบ เฟิงหยางก็อุ้มลูกน้อยขึ้น
เพราะง่วงมาก อาเหยาจึงไม่ระแวง ศีรษะเล็กซบกับบ่าของชายหนุ่ม
“ห้องเจ้าอยู่ทางไหน” ชายหนุ่มหันมาถาม
ฉินหรูชี้ประตูที่อยู่ฝั่งขวามือ ก่อนจะถาม “ท่านจะนอนที่นี่จริงหรือ”
“ทำไมหรือ”
“บ้านข้าคับแคบ ห้องข้าก็เล็กมาก เกรงว่าท่านจะอึดอัด”
“ข้าไม่ลำบาก”
หา!
คำตอบนั้นเห็นชัดว่าเขาตั้งใจจะนอนที่นี่จริงๆ
ฉินหรูจนใจต้องเปิดประตูให้เขาเข้ามาในห้อง
เฟิงหยางกวาดตามองห้องเล็ก
ห้องนี้ฉินหรูอยู่กับอาเหยา ถึงจะเล็ก แต่สะอาดสะอ้าน ข้าวของถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ
เฟิงหยางวางลูกลงบนเตียง ดึงผ้าขึ้นมาห่มให้เจ้าก้อนแป้ง จากนั้นค่อยถอดเสื้อคลุมตัวนอกไปพาดไว้บนราวไม้
“ไม่นอนหรือ” เขาหันมาถามฉินหรูท่ีเอาแต่ยืนนิ่ง
เอ่อ...
ฉินหรูกะพริบตาปริบ
เฟิงหยางพยักเพยิดคางไปทางเตียงฝั่งใน
เห็นแบบนั้น ฉินหรูรู้สึกขุ่นใจนิดๆ ที่นี่เป็นบ้านของนาง ห้องนี้ก็ห้องของนาง แต่เขากลับเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติราวกับเป็นห้องของตัวเอง
ตอนนั้นเอง อาเหยาปรือตาร้องเรียกมารดาด้วยเสียงสะลึมสะลือ
“...แม่”
“แม่อยู่นี่”
“นอน”
เจ้าตัวน้อยร้องเรียกให้มารดามานอนข้างๆ
ฉินหรูไม่มีทางเลือก ปีนขึ้นเตียงเข้าไปนอนฝั่งในสุดด้วยความจำใจ
อย่างน้อยก็มีอาเหยานอนคั่นกลาง
“ลูบหลัง”
อาเหยาเรียกร้องด้วยเสียงอ้อนๆ อีกครั้ง
นางวางมือลูบแผ่นหลังเล็ก ค่อยๆ ลูบหลังนุ่มนิ่มของลูกน้อย กล่อมให้เขาหลับ
เฟิงหยางหันไปดับตะเกียงแล้วทิ้งตัวลงนอนลง ท่าทางที่เป็นธรรมชาติของเขาทำเอาฉินหรูรู้สึกแปลกๆ
ท่ามกลางความมืด นางสัมผัสได้ถึงสายตาเร่าร้อนของชายหนุ่ม
บทพิเศษมิตรภาพ หลังจากเฟิงหยางออกบ้านไปได้สักพัก เสี่ยวจินกับไป๋เหิงก็มาเยือน หญิงสาวทั้งสามยังคงสนิทสนมกันดี แม้ภายหลังต่างแยกย้ายไปมีเส้นทางของตนเอง แต่พวกนางมักมารวมตัวกันบ้านเฟิงบ่อยๆ ไป๋เหิงกับคุณชายใหญ่เซวียเยี่ยนจื่อ คุยกำหนดการและวันแต่งงานเรียบร้อยแล้ว เห็นว่าพธีแต่งงานจะจัดขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า เสี่ยวจินลงเอยกับเฉินต้านเมื่อไม่นานมานี้ แม้ไม่ได้จัดงานแต่งงานใหญ่โตเหมือนกับไป๋เหิง แต่อย่างน้อย นางได้กราบไหว้ฟ้าดินและทำพิธีคารวะญาติผู้ใหญ่ “เสี่ยวหรู สามีเจ้าเพิ่งออกไปค่ายทหารหรือ ระหว่างทางพวกข้าเห็นเขาควบม้าออกไปพอดี นี่ๆ เจ้ากับสามีหักโหมเกินไปหรือไม่ ทำเขาไปสายแล้ว” เสี่ยวจินเปิดประเด็น ท้ายประโยคยังแซวสหายพลางหัวเราะคิก “ใช่ๆ ไปค่ายเวลานี้ ไม่นับว่าสายไปหรือ” ไป๋เหิงยิ้มแย้ม เอ่อออกับเสี่ยวจิน ฉินหรูแกล้งทำหน้ามุ่ย โบกมือแล้วกล่าวตัดบทพวกนางทั้งสอง “ช่างเรื่องของสามีเถอะ ข้าสนใจเรื่องของพวกพี่สาวมากกว่า พี่เสี่ยวจิน วันนี้ปักปิ่นมาสวยเชียว ไม่คิดเลยว่าเฉินต้านจะเป็นสามีที่เอาอกเอ
บทพิเศษเป็นวันที่ดี รุ่งอรุณมาเยือน แสงอาทิตย์สีทองทอประกายเข้ามาทางหน้าต่าง ทันทีที่เฟิงหยางลืมตาตื่นขึ้น พลันพลิกตัวนอนตะแคง มุมปากยกยิ้มขณะมองภรรยาที่ยังหลับใหลบนที่นอน เมื่อคืนเขาคงรังแกนางมากไปหน่อย ทำให้นางอ่อนเพลียต้องตื่นสายแล้ว คิดจบ เฟิงหยางก็ยื่นมือออกไปลูบไล้แก้มเนียนของภรรยาแผ่วเบา ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืด เขารู้สึกถึงความสุขและอุ่นหัวใจเมื่อเห็นว่านางยังอยู่เคียงข้าง ครู่ต่อมา ขนตาหนาเป็นแพรของหญิงสาวขยับไหวราวกับปีกผีเสื้อ ก่อนดวงตาคู่สวยจะเปิดปรือขึ้น ฉินหรูค่อยๆ ลืมตาตื่น ทันใดนั้นก็เห็นว่าสามีกำลังยิ้มมองนางอยู่ ริมฝีปากของนางพลันคลี่ยิ้มให้เขาด้วยความอ่อนเพลีย ขณะเดียวกัน ดวงตาคู่สวยก็เต็มไปด้วยความรักที่ไม่มีวันหมด “ท่านพี่...” ริมฝีปากของฉินหรูขยับเรียกสามีแผ่วเบา “ข้าทำเจ้าตื่นหรือ” แม้เฟิงหยางจะถามเช่นนั้น หากนิ้วมือกลับเลื่อนลงมาลูบไล้กลีบปากอิ่มสวย ราวกับไม่อาจหักห้ามใจให้ปล่อยมือจากนาง “ปกติข้าตื่นเช้ากว่
บทพิเศษอุ่นรัก(อีกครั้ง) กลิ่นอาหารที่กำลังปรุงใหม่ๆ ลอยมาจากโต๊ะกลางห้อง กลิ่นนั้นหอมมาก ทั้งยังทำให้กระเพาะของเฟิงหยางถึงกับร้องระงม ตั้งแต่รับนางกับลูกกลับมาอยู่ด้วยกัน ผ่านมาหลายเดือนแล้ว แม้นานๆ ครั้งนางจะเข้าครัวสักที แต่เฟิงหยางย่อมรู้ถึงความอร่อยในรสมือของฉินหรู นอกจากนี้ยังทำให้เขาคลั่งไคล้อย่างที่สุด เช้านี้เฟิงหยางครึ้มอกครึ้มใจเป็นพิเศษ เพราะไม่มีเรื่องใดให้เขาต้องปวดหัวหรือเป็นกังวลอีกแล้ว เหนืออื่นใด คนงามของเขาเป็นยอดภรรยาหาผู้ใดเทียบไม่ได้ หัวใจเขามอบให้นางไปจนหมดสิ้น สิ่งที่ทั้งคู่ยังขาดคือการเติมความหวานละมุนละไมให้แก่กัน อีกอย่างหนึ่ง ช่วงนี้อาเหยาอ้อนไปอยู่บ้านท่านตาเพราะกำลังเห่อน้องสาว นับว่าทางสะดวก! หลังจากจบคดีความของเสิ่นเทา ผ่านมาแล้วสองเดือน เขากับนางไม่ได้ร่วมเตียงกันอีกเลย เขาเองก็เป็นบุรุษ ย่อมมีความใคร่ อยากกอดภรรยาใจจะขาดอยู่รอมร่อ ตั้งแต่กลับมาอยู่ด้วยกัน เขาเพิ่งจะกอดนางไปแค่คืนเดียวก็ตอนที่อาเหยาไปอยู่กับท่านตาท่านยาย! เวลานี้ เฟิงหยางกำลังแช่ตัวอยู่ใน
บทที่ 45บทสรุป ย้อนกลับมา ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองฉาง หลังจากหัวหน้ามือปราบยกหีบเก็บเงิน เอกสารรายรับรายจ่ายและสมุดรายชื่อเข้ามาในที่ว่าการ เสิ่นเทาก็ทรุดลงกับพื้นทันที คร่ำครวญว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ หีบเงินและสมุดรายชื่อเหล่านี้เป็นของผู้อื่น ตนถูกคนใส่ความ แน่นอนว่า คำพูดของเสิ่นเทาโกหกอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่หัวหน้ามือปราบไปยังห้องลับนั้น หนิงลี่กำลังสั่งให้พวกบ่าวขนย้ายข้าวของออกไปพอดี เรียกได้ว่าจับได้แบบคาหนังคาเขา ในเมื่อหลักฐานแน่นหนาถึงเพียงนี้ เหล่าขุนนางกังฉินยังประทับลายนิ้วมือ สารภาพผิดกันหมดแล้ว เสิ่นเทาก็ไร้หนทางรอดเช่นกัน วันต่อมา เสิ่นเทายอมรับสารภาพ ทั้งยังขอร้องให้ละเว้นชีวิตของเสิ่นเซียวอวี้และหลานที่กำลังจะคลอด นายอำเภอเซวียไม่ได้ตอบทันที แต่ใช้เวลาพิจารณคดีสองวันสองคืน ในที่สุด การตัดสินคดีก็ถูกติดบนป้ายประกาศ ขุนนางกังฉินและเสิ่นเทาเกี่ยวข้องกับคดีมากมาย ทั้งคดีฆาตกรรมทั้งหาเงินมาอย่างมิชอบ ได้รับโทษประหารในอีกเจ็ดวันให้หลัง เสิ่นเซียวอวี้ผู้เป็น
บทที่ 44ชะตากรรมของบ้านเสิ่น ตั้งแต่เสิ่นเทาถูกทางการเรียกตัว หนิงลี่ร้อนรนเหมือนไฟลนก้น เรียกทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องโถง หารือว่าจะช่วยเสิ่นเทาอย่างไร เพียงไม่นาน เสิ่นเซียวอวี้กับจางเหมยเหมยก็มาถึง พ่อบ้านเสิ่นกับไฉ่ไฉ่มารอก่อนแล้ว จึงไม่ต้องเสียเวลานาน หนิงลี่นั่งไม่ติดเก้าอี้ เดินกลับไปกลับมาพลางว่า “สามีข้าถูกทางการเรียกตัว ไต่สวนคดีปล่อยกู้และติดสินบน พวกเจ้าช่วยคิดหาวิธีช่วยเขาออกมาหน่อย” พ่อบ้านเสิ่นครุ่นคิด ก่อนจะเสนอให้ยัดเงินนายอำเภอเซวีย ไฉ่ไฉ่นั้นจนปัญญา ไม่มีความคิดดีๆ เนื่องจากยังตรอมใจที่คนรักทอดทิ้งนางไป ด้านจางเหมยเหมยกลุ้มใจยิ่งกว่า เป็นแค่สะใภ้ที่แต่งเข้า ไม่คิดว่าจะต้องมาติดร่างแหไปด้วย ทั้งยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ในขณะที่ทุกคนร้อนใจจะเป็นจะตายเรื่องที่เสิ่นเทาถูกจับ กลับมีเพียงคนคนเดียวที่ไม่ทุกข์ร้อน นั่งหัวเราะคิกคักราวกับเห็นเป็นเรื่องตลก คนคนนั้นก็คือเสิ่นเซียวอวี้! เสิ่นเซียวอวี้กวาดสายตามองสีหน้าเป็นทุกข์ของทุกคนในห้องโถง ชี้หน้าเรียงตัวพร้อ
บทที่ 43ไต่สวน คดีขุนนางทุจริตเกี่ยวโยงกับคดีปล่อยกู้ของเสิ่นเทา นอกจากนี้ พบว่าวิธีการทวงหนี้ของเสิ่นเทานั้นยังโหดร้ายทารุณ ถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตไม่น้อย ในเมื่อมีผู้เสียชีวิตย่อมเป็นคดีฆาตกรรม แต่เสิ่นเทารอดพ้นความผิดมาได้เพราะความช่วยเหลือจากขุนนางกังฉิน อย่างไรก็ตาม การฆาตกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ย่อมมีหลักฐาน บัดนี้ หลักฐานและพยานบุคคลครบเรียบร้อย นายอำเภอเซวียจึงเรียกขุนนางกังฉินเหล่านั้นสอบสวนทีละคน สุดท้ายถึงค่อยเป็นเสิ่นเทา หลายวันต่อมา เสิ่นเทาถูกเรียกตัวมายังที่ว่าการอำเภอ จากนั้นผู้ช่วยนายอำเภออ่านสรุปสำนวนคดี เสิ่นเทาเบื้องหน้าทำธุรกิจค้าขาย แต่เบื้องหลังปล่อยกู้ มอบเงินสินบนแก่ขุนนาง และยังชุบเลี้ยงโจรกลุ่มหนึ่ง หากลูกหนี้ใช้หนี้คืนไม่ตรงตามกำหนด เสิ่นเทาจะใช้วิธีทวงเงินอย่างโหดเหี้ยมทารุณ กังขังหน่วงเหนี่ยว ทรมานจนถึงแก่ชีวิตก็มี ญาติของลูกหนี้ที่เป็นผู้หญิง จะถูกจับไปขายให้กับหอคณิกา อ้างว่าเพื่อขัดดอก... ทั้งที่เสิ่นเทาทำการอุกอาจ แต่ยังลอยนวลม