อาเหิงเอ่ยอย่างเคืองๆ เซี่ยชิงหลีมองคนต่างวัยทั้งสองที่ไม่ต่างจากเพื่อนในวัยเดียวกันแล้วอดหัวเราะไม่ได้
เมื่อถึงร้านเครื่องปั้นดินเผาต้าเหอยิ่น ร้านเก่าแก่ที่มีโรงเผาอยู่ด้านหลัง เซี่ยชิงหลีก็ยื่นกระดาษแบบร่างให้กับเถ้าแก่ผู้เป็นเจ้าของกิจการ
ชายวัยกลางคนผู้มีหนวดเคราสีดำน้ำตาล คิ้วเข้มท่าทางค่อนข้างดุร้าย แต่พอเห็นกระดาษที่หญิงสาวยื่นให้ สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันที
แบบที่นางส่งให้ไม่ใช่ไหดินเผาทั่วไป หากแต่เป็นบรรจุภัณฑ์รูปทรงกลมเตี้ย ฝาปิดแน่น ขนาดพอเหมาะสำหรับบรรจุสบู่ แชมพู หรือแป้งสมุนไพร ผิวภายนอกขอให้เผาแบบไม่เคลือบเพื่อให้มีผิวสัมผัสธรรมชาติ แต่ขอฝังตราประทับรูปดอกเหมย ที่มุมหนึ่งของฝาเพื่อเป็นเอกลักษณ์
“แบบนี้...ไม่เคยมีใครสั่งมาก่อน แต่ข้าชอบความคิดเจ้านะ ดูเรียบง่ายแต่มีจุดเด่น”
เซี่ยชิงหลีประสานมือคำนับ
“ข้าขอสั่งทำชุดแรก หนึ่งพันใบก่อนเจ้าค่ะ เพื่อดูทิศทางตลาดหากผลตอบรับออกมาดีข้าอยากร่วมมือกับร้านท่านเป็นคู่ค้าถาวร รับรองข้าจะไม่หันไปหาที่อื่นแน่นอน”
เถ้าแก่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าช้า ๆ
“หนึ่งพันใบข้าจัดให้ได้ ภายในสิบห้าวัน แต่ขอให้เจ้ามารับด้วยตนเอง ข้าไม่ส่งให้กับคนอื่น”
“ได้แน่นอนเจ้าค่ะ”
เซี่ยชิงหลีพยักหน้า ดวงตาเปล่งประกายแห่งความมั่นใจ อาเหิงยืนอยู่ข้างๆ คอยถือสมุดบันทึกน้อยๆ พลางหันไปยิ้มให้เถ้าแก่
“ข้าจะมาช่วยเผาด้วยได้หรือไม่ ข้าอยากเห็นหม้อไฟยักษ์!”
เถ้าแก่หัวเราะเสียงดังกังวานเป็นครั้งแรก
“เจ้านี่สิ น่าสนใจกว่าพี่สาวเสียอีก!”
“ไม่ใช่พี่สาวนะ! หลีเอ๋อคือภรรยาต่างหาก”
เสียงหัวเราะของเถ้าแก่ยิ่งดังกังวานมากกว่าเดิม
หลังตกลงสั่งทำบรรจุภัณฑ์เรียบร้อย ทั้งสามก็เดินออกจากร้านด้วยหัวใจเบาสบาย ข้างกายของนางคือพี่น้องที่ซื่อสัตย์ เบื้องหน้าคือเส้นทางธุรกิจที่เริ่มปรากฏรูปร่าง
“เพียงแค่หนึ่งพันใบแรกข้าจะทำให้พวกเขารู้ว่า ‘ของดี’ ไม่จำเป็นต้องมาจากเมืองหลวง”
เซี่ยชิงหลีพึมพำเบา ๆ
“แต่มาจากความตั้งใจ…และมือเปล่าที่ไม่เคยยอมแพ้ของข้าต่างหาก”
ผ่านไปสิบวัน
เซี่ยชิงหลีก็ทำตามสัญญา นางและหลี่เยว่สิงนั่งเกวียนที่ลากด้วยลาตรงไปยังร้านเครื่องปั้นดินเผา หลังจากเช่าเกวียนวัวของหัวหน้าหมู่บ้านช่วงหนึ่ง ทุกคนต่างลงความเห็นว่าพวกเขายังต้องส่งของเข้าไปในอำเภอ หากใช้เกวียนวัวอาจช้าเกินไป จึงตัดสินใจซื้อเกวียนสองเล่มและลาสองตัว
หลังจากรับของและตรวจตราเรียบร้อย ไม่พบปัญหาใด หญิงสาวจ่ายเงินและนำสินค้ากลับเรือนเพื่อทำการบรรจุทันที
หญิงสาวชาวบ้านสิบคนถูกคัดเลือกให้มาทำหน้าที่บรรจุแชมพูลงในขวด ทุกคนคือพนักงานรายวันได้รับเงินคนละสี่สิบเหวินพร้อมอาหารเที่ยง เพราะโรงงานยังไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการ จึงยังไม่ได้รับคนเข้าทำงานมากนัก
แต่ด้วยอำนาจของเงินทำให้โรงงานของนางสร้างเกือบเสร็จแล้ว
หลังจากบรรจุภัณฑ์ถูกจัดใส่กล่องไม้ไผ่พร้อมกลิ่นพิเศษเฉพาะตัวที่ไม่สามารถหาได้ในตลาดทั่วไป เมื่อวางทุกอย่างลงในหีบไม้เรียบร้อย เซี่ยชิงหลีก็มองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
ภายในใจของนางสงบนิ่ง...ราวกับมีแผนในใจชัดเจนแล้วทุกขั้นตอน ขอเพียงการค้าครั้งนี้สำเร็จลุล่วงนางจะได้กลับมาทุ่มเทให้กับสิ่งที่สำคัญอย่างการรักษาขาของพี่ชาย
วันต่อมา เมื่อลุงใหญ่ต้องเดินทางไปยังอำเภอหลิงหนานเพื่อส่งเห็ดสน เกวียนไม้ของพวกเขาค่อยๆ เคลื่อนผ่านประตูเมืองหลิงหนานเข้าสู่ตัวอำเภอ
เซี่ยชิงหลี เงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศคึกคักตรงหน้า แผงค้า ร้านรวง ผู้คนสวมเสื้อผ้าสีสดพ่อค้าแม่ขายส่งเสียงเรียกแขกอย่างขะมักเขม้นนางไม่ได้เข้าตัวเมืองมาหลายวันแล้ว เพราะมัวยุ่งอยู่กับการปรุงสบู่และแชมพูหลายชุด ถึงฤดูกาลของเห็ดสนจะใกล้สิ้นสุดแล้ว
แต่การค้าของนาง...เพิ่งจะเริ่มต้น
ในใจของเซี่ยชิงหลีคิดว่าวันนี้ตนเองต้องชักชวนมู่หรงหนานเฟิงให้เข้าร่วมให้ได้ อีกอย่าง...เพราะพี่ชายของนาง
ทว่าเมื่อเกวียนแล่นเลี้ยวผ่านย่านตะวันออกของอำเภอ ความผิดปกติก็ปรากฏขึ้นทันที เสียงโกลาหลดังขึ้นจากหอหว่านหรง
อาคารเรือนไม้สามชั้นที่เคยสงบหรูสง่า บัดนี้กำลังถูกรุมล้อมด้วยชายฉกรรจ์เสียงข้าวของแตกกระจาย เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังลั่น
“เจ้าคิดว่าหอหว่านหรงจะขายดีไปได้อีกนานแค่ไหน! วันนี้ข้าจะสั่งสอนให้เจ้ารู้ว่า อย่าริอ่านมาแข่งกับหอกุ้ยเซียง!”
เซี่ยชิงหลีเบิกตากว้าง ก่อนจะกระโดดลงจากเกวียนทันทีโดยไม่รีรอ ปลายเท้าของนางกระแทกพื้นพร้อมแรงเหวี่ยงอันคล่องแคล่ว
นางพุ่งเข้าไปกลางกลุ่มอันธพาลเหมือนพยัคฆ์เหินเวหา“หยุดเดี๋ยวนี้!!”
เสียงตะโกนของนางดังสนั่น ดวงตาวาววับด้วยแรงอารมณ์ มือเปล่าคู่เดิมที่เคยตีคนร้ายห้าคนจนล้มคว่ำ ซัดศอกเข้าเต็มใบหน้าอันธพาลคนหนึ่งจนล้มไม่เป็นท่า ตามด้วยเตะต่ำที่จุดขาอีกคนจนร่างทรุด
เสียงจานชามแตกเงียบลงทันทีเมื่อเหล่าคนร้ายเริ่มสู้ไม่ได้
ไม่นานนัก...ร่างของพวกมันก็นอนระเนระนาดอยู่กลางลาน พร้อมเสียงครางระงมเซี่ยชิงหลีปาดเหงื่อ แล้วลากคอหัวหน้ากลุ่มเข้ามา
“ใครส่งพวกเจ้ามา”
ชายฉกรรจ์คนนั้นสบตานางอย่างหวาดผวา ก่อนจะค่อยๆ พูดเสียงสั่น
“หอ...หอกุ้ยเซียงบอกให้เรามาป่วน มาทำลายชื่อเสียงของหอหว่านหรง…!”
“ใครเป็นคนสั่ง!”
หญิงสาวตะคอกอีกครั้ง
“คุณชายรองของหอกุ้ยเซียง ขะ...เขาบอกว่าตนเองคือบุตรชายของท่านเสนาบดีจากเมืองหลวง และสั่งให้เรามาจัดการกับพี่ชายต่างมารดา”
คำพูดนั้นทำให้เซี่ยชิงหลีชะงัก
“ลูกชายเสนาบดี...มู่หรงหนานเฟิงคือบุตรชายของเสนาบดีจากเมืองหลวงหรือ เขาเป็นคุณชายจากเมืองหลวงแล้วมาทำอันใดที่อำเภออันห่างไกลแห่งนี้”
เงื่อนงำค่อยๆ กระจ่างในใจ เบื้องหลังของหอหว่านหรงไม่ใช่เพียงกิจการขายเหล้าธรรมดา หากแต่เป็นเวทีของการแย่งชิงอำนาจในตระกูลใหญ่ และผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเงานั้นก็คือชายหนุ่มที่นางหวังจะร่วมมือด้วย
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง มู่หรงหนานเฟิงในชุดคลุมขาดวิ่นและใบหน้าเขียวช้ำก้าวเดินเข้าหานางช้าๆ สีหน้านิ่งสงบทว่าแววตาวูบไหวเล็กน้อยเมื่อเห็นนางยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าอันธพาลที่หมดสภาพ
“…แม่นางเซี่ยหรือ เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่”
เซี่ยชิงหลีปรายตามองเขาอย่างจริงจัง
“ข้าคิดจะมาคุยเรื่องธุรกิจ แต่ดูเหมือนเราจะต้องเริ่มจากการร่วมมือกัน ‘ต้านศัตรู’เสียก่อน”
หลังจากอันธพาลเหล่านั้นถูกส่งตัวให้กับทางการ
เสียงไม้กวาดกวาดเศษกระเบื้องและจานแตกดังก้องอยู่เบื้องล่าง ขณะที่มู่หรงหนานเฟิงตามหญิงสาวเข้าไปยังห้องทำงานส่วนตัวเพื่อทำแผล
บนชั้นสองของอาคารซึ่งเป็นห้องทำงานส่วนตัว กลิ่นชาจางๆ ยังอบอวลในอากาศ แม้จะถูกกลบด้วยกลิ่นฝุ่นและเหงื่อจากการต่อสู้
ในเช้าตรู่ของวันหนึ่ง หลังจากหอหว่านหรงสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ถึงเวลาที่หญิงสาวต้องกลับบ้านเสียที รถม้าสีเทาเรียบหรูคันหนึ่งแล่นออกจากตัวเมืองหลิงหนาน มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบใต้เงาภูเขาเขียวภายในรถม้า เซี่ยชิงหลีนั่งเงียบๆ มือถือกล่องไม้เล็กใส่ของฝากจากในเมือง ข้างกายนางคือมู่หรงหนานเฟิงผู้เงียบไม่แพ้กัน ทว่าแววตากลับอ่อนลงกว่าเมื่อเดือนก่อน“เจ้าแน่ใจหรือว่าเขายังอยากพบข้า”ชายหนุ่มถามเสียงเบา ขณะทอดสายตามองออกไปยังทิวทุ่งข้าวเขียวขจีที่ทอดยาว เซี่ยชิงหลีเหลือบมองเขาดวงตานิ่งสงบ แต่แฝงแววล้อเลียนเล็กน้อย“พี่ชายข้า...อาจไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ท่านเองก็ควรรู้ว่าเขาเฝ้ามองข่าวจากหอหว่านหรงทุกคืน”หลังจากได้ร่วมงานกัน หญิงสาวจึงได้รู้ว่ามู่หรงหนานเฟิงใส่ใจพี่ชายของนางไม่น้อย ทว่าสิ่งที่ทั้งสองรู้สึกไม่อาจเอ่ยปากได้โดยง่าย เพียงเพราะเพศเดียวกันจึงไม่สามารถครองคู่หญิงสาวยกยิ้มบางเบาเมื่อยามนึกถึงสิ่งที่พี่ชายของตนกระทำ“ข้าเคยเห็นเขาอ่านแผนการที่ข้าเขียนในกระดาษซ้ำหลายครั้งในทุกคืน เพียงเพราะบนกระดาษแผ่นนั้นมีชื่อของท่านอยู่”มู่หรงหนานเฟิงยิ้มบางๆ ลมหายใจในอกพลันอบอุ่น
เซี่ยชิงหลีนั่งลงบนม้านั่งไม้ริมหน้าต่าง แขนขวาของนางมีรอยแดงช้ำตรงปลายข้อศอกถลอกเล็กน้อยจากแรงปะทะ มู่หรงหนานเฟิงนั่งตรงข้าม มือของเขาถือผ้าผืนเล็กกับน้ำสะอาดเตรียมล้างแผลให้ตนเองแววตาของเขาในตอนนี้…ว่างเปล่าเสียจนชวนให้นางรู้สึกหนักอึ้งในอก เขากำลังคิดอะไรอยู่…ไม่ต้องเดาก็รู้ดวงตาคู่นั้นไม่มีเป้าหมาย ไม่มีไฟ ไม่มีแม้แต่ความเคียดแค้น มันคือแววตาของคนที่หมดแรงเดินต่อแม้จะยังยืนอยู่ เซี่ยชิงหลีมองเขาเงียบๆ ปล่อยให้เสียงเช็ดแผลเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ดังอยู่ในห้องนั้นภาพชายหนุ่มตรงหน้าแตกต่างจากตอนที่นางพบเขาครั้งแรกโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นเขาคือเจ้าของหอสุราที่สง่างาม สุขุม และแฝงแรงใจเข้มแข็งในแววตา ทว่าวันนี้…เขาไม่ต่างจากคนที่ถูกบีบจนไม่เหลือทางเดิน“มีบ้านก็กลับไม่ได้ มีตระกูลแต่ไร้ที่ยืน”หากเขายังจมอยู่กับความสิ้นหวังเช่นนี้...เขาอาจจะไม่ใช่คู่ค้าที่นางพึ่งพาได้ในวันหน้า“คุณชายมู่หรง”เซี่ยชิงหลีเอ่ยเสียงเบา“ข้าไม่ใช่คนดีมากพอจะให้คำปลอบใจอันเลิศหรู แต่ในโลกแห่งการค้า หากเจ้าหยุดเดินเพียงเพราะเส้นทางข้างหน้ามีคนขวาง…เจ้าจะไม่มีวันไปถึงจุดที่เขาไม่กล้าตามไปเหยียบ”มู่หรงหนานเฟิงเงยหน
อาเหิงเอ่ยอย่างเคืองๆ เซี่ยชิงหลีมองคนต่างวัยทั้งสองที่ไม่ต่างจากเพื่อนในวัยเดียวกันแล้วอดหัวเราะไม่ได้เมื่อถึงร้านเครื่องปั้นดินเผาต้าเหอยิ่น ร้านเก่าแก่ที่มีโรงเผาอยู่ด้านหลัง เซี่ยชิงหลีก็ยื่นกระดาษแบบร่างให้กับเถ้าแก่ผู้เป็นเจ้าของกิจการชายวัยกลางคนผู้มีหนวดเคราสีดำน้ำตาล คิ้วเข้มท่าทางค่อนข้างดุร้าย แต่พอเห็นกระดาษที่หญิงสาวยื่นให้ สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันทีแบบที่นางส่งให้ไม่ใช่ไหดินเผาทั่วไป หากแต่เป็นบรรจุภัณฑ์รูปทรงกลมเตี้ย ฝาปิดแน่น ขนาดพอเหมาะสำหรับบรรจุสบู่ แชมพู หรือแป้งสมุนไพร ผิวภายนอกขอให้เผาแบบไม่เคลือบเพื่อให้มีผิวสัมผัสธรรมชาติ แต่ขอฝังตราประทับรูปดอกเหมย ที่มุมหนึ่งของฝาเพื่อเป็นเอกลักษณ์“แบบนี้...ไม่เคยมีใครสั่งมาก่อน แต่ข้าชอบความคิดเจ้านะ ดูเรียบง่ายแต่มีจุดเด่น”เซี่ยชิงหลีประสานมือคำนับ“ข้าขอสั่งทำชุดแรก หนึ่งพันใบก่อนเจ้าค่ะ เพื่อดูทิศทางตลาดหากผลตอบรับออกมาดีข้าอยากร่วมมือกับร้านท่านเป็นคู่ค้าถาวร รับรองข้าจะไม่หันไปหาที่อื่นแน่นอน”เถ้าแก่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าช้า ๆ“หนึ่งพันใบข้าจัดให้ได้ ภายในสิบห้าวัน แต่ขอให้เจ้ามารับด้วยต
ณ ตอนนี้ เซี่ยชิงหลีกำลังยืนอยู่หน้าหม้อต้มสมุนไพรใบใหญ่ กลิ่นใบมะกรูดแห้งผสมกับกลิ่นหอมอ่อนของกลีบดอกบัวที่กำลังเคี่ยวเข้ากันลอยคลุ้งอบอวลไปทั่วลานด้านหลังเรือนมือเรียวของหญิงสาวคนไปอย่างต่อเนื่องด้วยไม้พาย ในขณะที่เหงื่อผุดซึมบนหน้าผากอย่างไม่อาจเลี่ยงผ่านไปแล้วหลายวัน...ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ นางทดลองผสมอัตราส่วนใหม่ ลองอุณหภูมิที่ต่างกัน ทดลองการตาก การกวน การแยกชั้นของน้ำมันกับสมุนไพรทุกครั้งที่ล้มเหลว สบู่จับตัวไม่ขึ้นหรือแชมพูกลายเป็นน้ำเหนียวข้นกลิ่นเหม็นเปรี้ยวนางก็ต้องเริ่มใหม่...ตั้งแต่ต้นยามตะวันบ่ายคล้อย สายลมเอื่อยพัดชายแขนเสื้อที่เลอะเปื้อนของนางอย่างแผ่วเบา เซี่ยชิงหลีค่อยๆ วางไม้พายลงพลางถอนหายใจเงียบๆ และทรุดตัวนั่งพิงข้างถังน้ำอย่างเหนื่อยล้าสายตาของนางทอดมองสบู่ก้อนเล็กๆ ที่พอใช้การได้ก้อนแรกในรอบหลายวัน กลิ่นหอมของมันยังอ่อนนัก รูปทรงไม่สวย เนื้อไม่เนียนแต่มัน...สามารถชำระล้างได้จริง“ทำไมกันนะ…”ร่างบางพึมพำกับตนเองเบาๆ เสียงนั้นแฝงไว้ทั้งความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย“คนอื่นพอเกิดใหม่ก็มีกระบี่เทพติดมือ มีพลังปราณฟ้าฟาด ฝึกแค่ไม่กี่วันก็กวาดล้างทั้งตระกูลศัตรู…
คำพูดนั้นทำให้หลายคนเบิกตากว้าง จินละห้าร้อยเหวิน ไม่ใช่จำนวนเล็กๆ สำหรับชาวบ้านเลย“หลีเอ๋อ...แล้วพวกเราล่ะ”“เวลาว่างของทุกคน…ข้าอยากให้มาเรียนรู้วิธีบดสมุนไพรเตรียมวัตถุดิบไว้สำหรับการทำยาสีฟันชุดใหญ่ เราจะเริ่มขายที่อำเภอหลิงหนานก่อน”ทุกคนเริ่มมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น ต่างมองเห็นแววความหวังที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันกำลังเริ่มเปล่งประกายในดวงตาของพวกเขา หญิงสาวหันไปมองฟ้ากว้างพลางวางหมากต่อในใจ“และแน่นอน...หากจะส่งขายในเมืองหลิงหนาน ข้าคงต้องขอความร่วมมือจากคนผู้นั้น มู่หรงหนานเฟิง เจ้าของหอหว่านหรงที่ตระกูลหลี่ของเราเคยร่วมมือทำการค้า”เมื่อได้ยินชื่อของมู่หรงหนานเฟิง เซี่ยจื่ออี้ก็นิ่งไปทันที“หลีเอ๋อ น้องทำการค้ากับคุณชายมู่หรงหรือ”เซี่ยชิงหลีหัวเราะน้อยๆ นางลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้มู่หรงหนานเฟิงเคยบอกว่ารู้จักกับพี่ชายของนาง ตัวนางเองหลังจากกลับมาจากอำเภอหลิงหนานก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท“พี่ใหญ่ข้ายังไม่ได้บอกท่านใช่หรือไม่ มู่หรงหนานเฟิงบอกว่าจะมาเยี่ยมท่านที่นี่ คิดว่าหลังจากกลับมาที่เรือนจะบอกท่านแต่ข้ากลับลืมไปเสียได้”เมื่อได้ยินน้องสาวบอกว่ามู่หรงหนานเฟิงเอ่ยถึงตนทั้งยัง
บัดนี้เซี่ยชิงหลีมองชายชราในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมเพียงเพราะเขาเอ่ยปากชมสามีของนาง“ท่านจะเข้ามาดื่มชาในเรือนก่อนหรือไม่”“ไม่เป็นไรข้ายังมีธุระต่อ ที่มาวันนี้เพียงต้องการมาขอบคุณเจ้าอย่างจริงใจสักครั้งเท่านั้น อีกอย่างข้าอยากให้เจ้ารับสิ่งของเหล่านี้จากข้า ถือเสียว่าเป็นของขวัญสำหรับงานแต่งของเจ้าสองคน”คำพูดนั้นราวกับมีระเบิดถูกปามาที่นาง เสียงบึ้มดังขึ้นในหัวพลันใบหน้าของหญิงสาวเห่อร้อนและแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่ ชายชรามองหลานสะใภ้ตัวน้อยด้วยสีหน้าชอบใจ นานแล้วที่ตนไม่ได้เอ่ยเล่นหัวกับลูกหลานหากวันหน้าหลานชายผู้นี้ไม่มีทางหายดี แต่เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวที่ดีเช่นนั้นตนก็วางใจ เซี่ยชิงหลีมองหีบไม้มากมายตรงหน้า นางตัดสินใจเพียงชั่วอึดใจก่อนพยักหน้ารับ“เช่นนั้นข้าจะขอรับเอาไว้ ขอบคุณท่านเจ้าค่ะ”“ท่านอันใดกัน ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าท่านปู่เมิ่งก็พอ”ชายชรากลับขึ้นรถม้าไปด้วยสีหน้าอิ่มเอม ในที่สุดภาระที่เคยหนักอึ้งในหลายเดือนนี้ก็ได้ถูกวางลงแล้วต่อไปก็จัดการตัวต้นเรื่องที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ขึ้น ชายชราตัดสินใจกลับเมืองหลวงเพื่อจัดการกับคนที่เป็นสาเหตุให้หลานชายของตนต้องกลายเป็นค