แชร์

บทที่55

ผู้เขียน: ต้นไม้แห้ง
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-09 02:05:58

ขบวนรถม้าของโจวจางเหว่ย และเมิ่งฮวาออกจากตัวเมืองเสียนหยางตั้งแต่เช้าตรู่ โดยมีองครักษ์ประมาณสิบกว่านายคอยคุ้มกันอย่างเข้มงวด การเดินทางสู่ภูเขาอวิ๋นหลงใช้เวลาสองวันเต็มผ่านเส้นทางทุรกันดาร ซึ่งแทบไม่มีผู้คนสัญจรยกเว้นพวกเดินป่าและล่าสัตว์

ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆยามสายของวันแรก ขบวนได้เดินลึกเข้ามาในเขตภูเขาแล้ว บรรยากาศเริ่มร่มรื่นจากเงาไม้ใหญ่ แต่ยิ่งลึกเข้าไปก็ยิ่งเปลี่ยวร้าง เสียงนกร้องบางเบาดูแผ่วไกล จนผู้คนในขบวนต้องประคองสติระวังภัยขึ้นอีกระดับ

“หยุดพักกันที่นี่สักครู่!” โจวจางเหว่ยออกคำสั่งเมื่อเห็นลานโล่งเล็กๆริมธารน้ำใสที่ไหลมาจากยอดเขา องครักษ์หลายคนลงจากหลังม้า เพื่อตรวจพื้นที่โดยรอบว่าปลอดภัยหรือไม่

เมิ่งฮวาก้าวลงจากรถม้ามาอย่างระมัดระวัง นางรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้อึดอัดใจและเต็มไปด้วยแรงกดดัน ไม่ใช่เพียงเพราะภูมิประเทศที่แปลกตา แต่ยังมีสายตาของอันตรายที่อาจคอยจับจ้องพวกเขาอยู่ทุกฝีก้าว

“เจ้าพักสักหน่อยเถอะ” โจวจางเหว่ยเดินเข้ามาใกล้ “ยังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลยใช่ไหม?” เขาถือห่ออาหารเล็กๆติดมือมาด้วย

เมิ่งฮวามองเขาอย่างซาบซึ้งปนระแวดระวัง “ข้าทานรองท้องมานิดหน่อยแล้ว… ขอบคุณเจ้ามาก”

ชายหนุ่มพยักหน้านิ่ง นางเห็นว่าใต้ดวงตาของเขาก็มีร่องรอยอ่อนเพลียไม่แพ้กัน เนื่องจากเขาต้องคอยวางแผนและสั่งการองครักษ์มาตลอดทาง

“มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่?” เมิ่งฮวาถามเสียงเบา พลางกวาดตามองโดยรอบ

“องครักษ์กำลังตรวจตรา” โจวจางเหว่ยตอบ “จนถึงตอนนี้ยังไม่พบความเคลื่อนไหวแปลกๆแต่ก็ประมาทไม่ได้ พวกเสี้ยวจันทรามักซ่อนตัวเก่ง ไม่ออกมาจู่โจมโดยเปิดเผยง่ายๆหากไม่มั่นใจว่าจะชนะ”

เมิ่งฮวารู้สึกเสียววาบที่ได้ยินคำว่า “เสี้ยวจันทรา” สัญชาตญาณบางอย่างเตือนว่านางเคยเกี่ยวพันกับองค์กรนักฆ่าในอดีตชาติ จนทำให้พอคุ้นชื่อนี้ แม้จะยังนึกไม่ออกว่ามีความเชื่อมโยงถึงขั้นไหน

หลังพักกันได้ไม่นาน ขบวนก็เคลื่อนตัวต่ออย่างไม่รอช้า พวกเขาต้องไปถึงช่องเขาก่อนตะวันตกดิน ไม่เช่นนั้นการเดินฝ่าความมืดยามค่ำคืนอาจเป็นจุดอ่อนให้ศัตรูเล่นงานได้ง่าย

ภูเขาอวิ๋นหลงค่อยๆเผยโฉมเป็นแนวผาสูงชัน โอบล้อมด้วยป่าไม้หนาทึบ ทางเดินเริ่มคดเคี้ยวสูงชันขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมองลงไปเห็นหุบเหวเบื้องล่างที่ลึกน่าหวาดเสียว

องครักษ์หลายนายลงจากหลังม้าเพื่อช่วยประคองล้อรถไม่ให้พลัดตก หลายจุดต้องใช้เชือกผูกไว้กับต้นไม้ริมทางเพื่อพยุงขบวน

“หากมองในแง่ดีนะเมิ่งฮวา” โจวจางเหว่ยพูดขณะกำลังช่วยดึงเชือก “เส้นทางลำบากแบบนี้ก็ทำให้ศัตรูติดตามยากด้วยเช่นกัน”

“ก็จริง” เมิ่งฮวาตอบ ดวงตายังคงจับจ้องไปทางด้านหลังอย่างระแวดระวัง “แต่ถ้ามันวางกำลังดักหน้าไว้ ข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะเจ็บหนักแค่ไหน”

โจวจางเหว่ยไม่พูดต่อ เพียงแต่ขบกรามแน่นอย่างครุ่นคิด พยายามทำเวลาให้ดีที่สุด

เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองส้มบ่งบอกว่าดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า ขบวนก็หาพื้นที่ราบข้างห้วยน้ำเพื่อตั้งค่ายพักแรม ชายภูเขาเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ระเกะระกะ แต่ยังพอมีลานโล่งเล็กๆที่ใช้ก่อกองไฟและกางกระโจมได้

“คืนนี้คงต้องผลัดเวรยามกันเข้มหน่อย” โจวจางเหว่ยบอกผู้ใต้บังคับบัญชา “ถ้าพบใครเข้าใกล้โดยมิได้รับอนุญาต ให้จับทันที!”

องครักษ์กระจายตัวไปคนละทิศคนละทาง ติดอาวุธครบมือ บางคนเดินออกลาดตระเวนริมสายน้ำ บางส่วนแบ่งกันเฝ้าตามจุดสกัดแต่ละทิศ

เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยนั่งพักใกล้กองไฟ อากาศยามค่ำคืนในป่าทึบเริ่มเย็นยะเยือก แสงไฟวูบไหวสะท้อนแววตาของทั้งสอง ด้านบนดวงดาวบนฟ้าปรากฏสลัวๆแทรกผ่านร่มไม้

“พรุ่งนี้เราต้องเดินผ่านช่องเขาอีกประมาณครึ่งค่อนวัน” โจวจางเหว่ยบอก “พ้นจากช่องเขาเข้าไปลึกอีกนิด ก็ถึงบริเวณที่คาดว่า ‘อู่หวัง’ ซ่อนอยู่”

เมิ่งฮวาลูบแขนตัวเองเล็กน้อย พอจะนึกภาพได้ว่าหลังจากนี้ต้องเจออะไรที่ยากลำบากยิ่งกว่าเดิม

“อู่หวัง… ปราสาทโบราณที่ไม่มีใครพูดถึงมานาน ข้าหวังว่ามันจะให้คำตอบที่ข้าตามหา” นางพึมพำ ดวงตาเป็นประกาย

โจวจางเหว่ยมองดูเสี้ยวหน้าของเมิ่งฮวาภายใต้เงาไฟ สายตาเขาอ่อนโยนอย่างยากจะปิดบัง

“ไม่ว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่… ข้าจะช่วยเจ้าเผชิญมัน” เขาพูดเรียบๆ แม้เสียงจะไม่ดัง แต่กลับดังกึกก้องในใจนาง

หัวใจของเมิ่งฮวาเต้นระรัวอีกครั้ง นางไม่ได้ตอบกลับเป็นคำพูด เพียงแต่สบตาเขาเบาๆในความเงียบเป็นการขอบคุณในแบบของนาง

ท่ามกลางเปลวไฟแห่งความอบอุ่น กลับมีเงามืดลึกลับซ่อนอยู่ไม่ไกลนัก กลุ่มชายชุดดำที่แฝงตัวมาตั้งแต่เช้ากำลังใช้โอกาสยามค่ำคืนนี้เตรียมการลงมือ

“มันหยุดพักที่นี่” ชายชุดดำผู้หนึ่งกระซิบเสียงเบา “ตามคำสั่ง นายให้เราจัดการคืนนี้เลยหรือรอจนมันเข้าช่องเขา?”

ชายชุดดำอีกคนที่ดูเป็นหัวหน้าหรี่ตามอง ขณะมองเปลวไฟของค่ายพักแรมอยู่ไกลๆ

“ถ้าฆ่าพวกมันเสียตอนกลางคืน คงได้เปรียบ… แต่เสี่ยงที่อัครมหาเสนาบดีอาจหนีรอดไปได้” เขาถอนหายใจสั้นๆ อย่างครุ่นคิด

“แผนของพวกเบื้องบนคืออยากได้ตัวสตรีนั่นเป็นๆ เพื่อเปิดทางเข้า ‘อู่หวัง’ จึงไม่ต้องการให้ตาย… เราต้องรอจังหวะเหมาะกว่านี้ หรือไม่ก็ใช้อาวุธพิษสร้างความปั่นป่วน”

“อาวุธพิษ… หรือจะเล่นงานเสบียงน้ำดื่มของพวกมันดี?” มือสังหารหนุ่มรายงานเสียงแผ่ว

“ได้… จัดการคืนนี้เถอะ พวกมันคงไม่ทันระวังในป่าแบบนี้” หัวหน้าทีมชุดดำกล่าวเสียงเย็น “แต่หากสถานการณ์พลิกผัน ฆ่ามันให้หมด ก็ไม่เป็นไร ใครตายก็ช่าง ขอแค่ได้เมิ่งฮวาไปให้พวกนายพอ!”

ยามดึกใกล้ยามสามองครักษ์สองนายผลัดเวรเดินตรวจตรา บริเวณกองไฟค่อยๆมอดลงจนเหลือเพียงแสงสลัวในถ่านแดง คนส่วนใหญ่ล้วนผล็อยหลับเพราะความเหนื่อยล้า

เมิ่งฮวากึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ในกระโจมเล็กๆ ที่มีผ้ากั้นลมบางๆนางไม่ไว้ใจสถานที่นี้นัก แต่ร่างกายก็อ่อนเพลียเกินกว่าจะฝืนข่มไม่ให้หลับ

“ฮวาเออร์… ฮวาเออร์…” เสียงหนึ่งสะกิดขึ้นในจิตใจ ทำให้นางสะดุ้งตื่น เงี่ยหูฟังเสียงรอบข้าง

[เมิ่งฮวา ระวังตัว มีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่!] เสียงของเสี่ยวเปาตะโกนเตือนดังลั่นในความคิด

เมิ่งฮวารีบขยับตัวอย่างเงียบเชียบคว้าดาบสั้นที่วางไว้ข้างเตียง มือเรียวค่อยๆเขี่ยผ้าเต็นท์ออก

“อะไรน่ะ…”

ทันใดนั้น นางสังเกตเห็นเงาดำสองสามเงาลัดเลาะอยู่ตามพุ่มไม้ด้านข้างค่าย ราวกับกำลังซุ่มดูหาจังหวะ

ฉับพลัน!

เสียงลมพัดวูบ ตามด้วยเสียงวัตถุแหวกอากาศพุ่งเข้ามาทางค่าย!

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

บางอย่างถูกขว้างเข้ามาจากทิศต่างๆ แล้วกระทบพื้นใกล้กองไฟ เกิดควันสีเขียวอมเทาลอยตลบทั่วค่าย

“ควันพิษ! ระวัง!”

เสียงองครักษ์คนหนึ่งร้องเตือนขึ้นสุดเสียง ก่อนจะไอสำลักนอนร่วงอยู่กับพื้น

เมิ่งฮวาเบิกตากว้าง รีบปิดจมูกและปากด้วยผ้าบางที่คว้าได้จากข้างเตียง ในใจตื่นตัวทันที “พวกมันมากันแล้ว…!”

นางโผล่จากกระโจมออกมา พบว่าองครักษ์หลายคนกำลังพยายามฝ่าหมอกควันอย่างทุลักทุเล บางคนล้มลงไปเพราะสูดพิษเข้าเต็มๆ มือสังหารชุดดำกลุ่มหนึ่งถือดาบกระโจนเข้ามาจู่โจมอย่างรวดเร็ว

ฉัวะ!

เสียงดาบปะทะกับอาวุธองครักษ์ เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นเป็นระยะ เห็นได้ชัดว่ากลุ่มชุดดำได้เปรียบจากการเตรียมแผนลอบโจมตีในยามดึก

ทันใดนั้นเมิ่งฮวาหันไปเห็นชายชุดดำคนหนึ่งกำลังพุ่งตรงมาทางกระโจมของนางโดยเฉพาะ! ดวงตาของมันเป็นประกายคุกรุ่น ราวกับมีเป้าหมายชัดเจนว่าจะจับตัวนางเป็นๆ

“หยุดนะ!” นางตวาดแผดอย่างไม่เกรงกลัว ใช้ดาบสั้นที่ฝึกมาโจมตีสวนด้วยความเร็ว ชายชุดดำเบี่ยงตัวหลบได้ แต่ยังโดนเฉือนบางๆที่แขนจนเสื้อขาดเผยให้เห็นสักลาย “เสี้ยวจันทรา”

“ฮึ่ม!” มือสังหารคำราม ก่อนจะสวนดาบกลับอย่างดุร้าย

เมิ่งฮวาบิดหลบ อาศัยกระบวนท่าที่เคยฝึกในชาติเดิมเพื่อป้องกันตัวได้อย่างฉิวเฉียด

โจวจางเหว่ยซึ่งอยู่ไม่ไกลก็เห็นเหตุการณ์ รีบกระโจนเข้าช่วยนาง แต่ถูกมือสังหารอีกกลุ่มหนึ่งดักไว้

“อย่าคิดที่จะแตะต้องนาง!” โจวจางเหว่ยคำรามก้อง ก่อนจะฟาดกระบี่สกัดศัตรูรอบตัว เห็นชัดว่าพวกนักฆ่ามุ่งเน้นกีดกันไม่ให้เขาไปถึงเมิ่งฮวา

ควันสีเขียวเริ่มเบาบางลงเมื่อโดนลมพัด กระนั้นยาก็เข้าสู่ร่างขององครักษ์บางคนจนล้มไปหลายราย ส่วนเมิ่งฮวารู้ตัวทันและปิดจมูกไว้ตั้งแต่แรก จึงยังพอต้านทานได้บ้าง

“ยอมให้จับดีๆซะ!” ชายชุดดำตวาดเสียงต่ำ พุ่งเข้าประชิดตัวนางอีกครั้ง ทว่าคราวนี้นางตั้งสติพร้อมเลือกเข้าปะทะ

เคร้ง!

ดาบสั้นสองเล่มปัดป้องได้อย่างชำนาญ นางใช้ความว่องไว ก้าวเท้าข้างหลบแล้วสะบัดดาบสวนเข้าจุดตาย

เฉาะ!

เลือดสีแดงพุ่งกระเซ็น ชายชุดดำชะงักก้าวไปข้างหลัง ยกมือกุมรอยแผลที่ชายโครง สีหน้าเจ็บปวดอย่างรุนแรง

“บัดซบ… ไม่คิดว่านางจะฝีมือดีขนาดนี้!” เขาสบถผ่านไรฟัน ก่อนจะกัดริมฝีปากแล้วคว้าง “ลูกระเบิดควัน” ลูกเล็กๆ ออกมาอีกลูก ทว่าครั้งนี้เมิ่งฮวาตั้งใจอยู่แล้ว รีบถอยฉากไปด้านข้างทันที

ฟุ่บ!

ควันลูกที่สองโหมกระจายกลบพื้นที่อีกครั้ง ชายชุดดำอาศัยจังหวะนั้นวิ่งหลบหนีไป

เมิ่งฮวาพยายามตามแต่ก็เห็นร่างสูงโปร่งของมันหายลับเข้าไปในแนวป่าอันมืดสนิท ด้านหลังเองก็ยังมีการต่อสู้ชุลมุนรอบๆค่าย เธอหันกลับมาช่วยองครักษ์สองนายที่กำลังสู้กับมือสังหารอีกคนแทน

ไม่นานนัก กลุ่มมือสังหารชุดดำก็ล่าถอยเมื่อรู้ว่าไม่อาจจู่โจมจับตัวนางได้ง่ายๆ แถมทหารบางส่วนในค่ายก็ยังแข็งแกร่งเกินกว่าพวกมันคาด บางคนวิ่งตามไปแต่ถูกกับดักที่พวกศัตรูวางไว้จนบาดเจ็บ

“บัดซบ! คนเจ็บเยอะเหลือเกิน!” องครักษ์ผู้เป็นหัวหน้าหน่วยร้องขึ้นหลังการต่อสู้สงบ เห็นได้ว่ามีคนบาดเจ็บนอนร้องครวญอยู่หลายจุด

โจวจางเหว่ยกวาดตามองไปรอบๆ ปากเม้มแน่น ดวงตาแข็งกร้าว เขารีบเดินมาหาเมิ่งฮวา

“เจ้าปลอดภัยดีใช่ไหม?” เขามองสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

เมิ่งฮวาหายใจหอบน้อยๆ แต่ยังยืนได้ “ข้าไม่เป็นไร มีแผลถลอกเล็กน้อยเท่านั้น แต่องครักษ์คนอื่น…” นางเหลียวไปเห็นชายสองคนที่นางช่วยไว้เมื่อครู่ ล้มฟุบอยู่ตรงนั้น เธอรีบย่อตัวลงไปดูอาการ

“ดูเหมือนมันจะเล่นงานด้วยอาวุธมีพิษ”

นางบีบปากแผลที่ต้นแขนขององครักษ์คนหนึ่ง เห็นเลือดสีเข้มเกาะขอบแผล ส่งกลิ่นแปลกๆ “เราต้องถอนพิษออกให้เร็วที่สุด ก่อนที่มันจะแล่นเข้าเส้น”

โจวจางเหว่ยเรียกให้หมอสนามซึ่งร่วมทางมาด้วยรีบเข้ามา พวกเขาตระเตรียมยาถอนพิษบางส่วน แต่ก็ต้องใช้เวลาในการรักษา

ท่ามกลางความโกลาหล เมิ่งฮวาแอบสังเกตเห็นเศษผ้าเล็กๆตกอยู่ไม่ไกลจากกองเพลิง นางหยิบขึ้นมาดู มันมีลวดลายรูปจันทร์เสี้ยวสีเงินปักด้ายอย่างหยาบ เห็นชัดว่าสังกัด “เสี้ยวจันทรา” จริงๆ

“พวกมันคงหาทางเล่นงานข้าจนถึงที่สุด” เมิ่งฮวาพึมพำกับตัวเอง นึกถึงท่าทีของศัตรูเมื่อครู่ที่มุ่งตรงมาทางนางราวกับมีเป้าหมายชัดเจน

แม้จะเสียคนบาดเจ็บไปหลายรายจนขบวนอ่อนแรงลงไม่น้อย แต่โจวจางเหว่ยก็ไม่อาจหยุดหรือหันหลังกลับได้ เขาเรียกประชุมย่อมๆกับหัวหน้าองครักษ์

“เราต้องเดินหน้าต่อ ไม่เช่นนั้นจะตกเป็นเป้านิ่งให้พวกมันบุกซ้ำได้อีก” เขาประกาศเสียงมั่นคง “คนที่เจ็บหนักให้หมอและองครักษ์บางส่วนอยู่ดูแลที่นี่ พวกเราส่วนใหญ่จะฝืนลุยต่อไปในช่วงเช้ามืด ถ้าผ่านช่องเขาได้ เราค่อยหาที่ปลอดภัยกว่านี้ตั้งหลักใหม่”

เมิ่งฮวาอยากเสนอว่าจะช่วยปฐมพยาบาล แต่เมื่อเห็นสีหน้าดุดันของโจวจางเหว่ย นางก็รู้ว่าไม่อาจเสียเวลาได้อีก

“พรุ่งนี้เราจะถึง ‘อู่หวัง’ ใช่ไหม?” นางถามเบาๆ ขณะโจวจางเหว่ยตรวจสอบสภาพแวดล้อม

“ใช่ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อีกไม่เกินหนึ่งวันเต็ม เราก็น่าจะเห็นประตูหรือซากปราสาทนั่น” เขาตอบ

เมิ่งฮวาสูดหายใจเข้าลึก รู้ว่าการเดินทางส่วนที่เหลือคงเต็มไปด้วยภยันตรายยิ่งกว่าเดิม ยิ่งใกล้เป้าหมาย พวกศัตรูก็ยิ่งเอาเป็นเอาตาย

ในเงามืดของป่าที่เต็มไปด้วยเสียงแมลงยามราตรี องครักษ์ที่รอดตายก็กำลังดูแลรักษาตนเอง บาดแผลมากมายสะท้อนความโหดร้ายของกลุ่ม “เสี้ยวจันทรา” ที่เปิดฉากโจมตีครั้งนี้อย่างเลือดเย็น

และในใจของเมิ่งฮวาเต็มไปด้วยคำถามว่าทำไม “กุญแจ” หรือ “สายเลือด” ของเธอจึงมีความสำคัญถึงขนาดต้องมีการลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า…

ฟ้าสางพอจะเห็นแนวไม้เป็นสีเขียวเข้ม ขบวนที่เหลือจึงเริ่มออกเดินทางต่อ ทิ้งคนเจ็บหนักหลายคนไว้ข้างหลังมีหมอคอยดูแล คนที่ยังสู้ไหวก็ต้องกัดฟันก้าวไป ลัดเลาะทางเล็กๆบางช่วงถึงขั้นต้องโหนเถาวัลย์ผ่านน้ำตกเล็กๆ กันเลยทีเดียว

“ระวังทางนี้ลื่นนะ!” องครักษ์คนหนึ่งตะโกนบอก

เมิ่งฮวาพยายามมองหาภัยรอบด้าน มือกำดาบสั้นแน่นยามก้าวข้ามโขดหินที่ลื่นด้วยตะไคร่น้ำ ขณะที่โจวจางเหว่ยเองก็กำกระบี่ไว้ตลอด ไม่มีใครอยากให้ประวัติซ้ำรอยเหมือนเมื่อคืน

ยิ่งเข้าใกล้ ‘อู่หวัง’ กลับยิ่งรู้สึกราวกับมีม่านหมอกบางอย่างกดทับจิตใจ ทุกสิ่งดูเงียบงันอย่างผิดปกติ ราวกับป่าแห่งนี้ไม่ต้อนรับผู้บุกรุก

“ข้ารู้สึกแปลกๆ” เมิ่งฮวากลืนน้ำลาย ลงจากหลังม้าเพื่อเดินจูงผ่านทางแคบๆ ด้านข้าง

โจวจางเหว่ยหยุดม้าข้างเธอ “ข้าก็เช่นกัน… คล้ายกับว่ามีบางอย่างกำลัง ‘เฝ้าดู’ พวกเราอยู่”

ราวกับตอบรับคำพูดนั้น สายลมเย็นหนึ่งระลอกพัดหวีดผ่านใบไม้ ส่งเสียงซ่าแผ่วเหมือนคนกระซิบ พาให้ทุกคนขนลุกอย่างไม่ทราบสาเหตุ

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เมิ่งฮวาชาตินี้ข้าจะมีความสุขที่สุด   บทที่63

    หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล

  • เมิ่งฮวาชาตินี้ข้าจะมีความสุขที่สุด   บทที่62

    เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที

  • เมิ่งฮวาชาตินี้ข้าจะมีความสุขที่สุด   บทที่61

    แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา

  • เมิ่งฮวาชาตินี้ข้าจะมีความสุขที่สุด   บทที่60

    การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห

  • เมิ่งฮวาชาตินี้ข้าจะมีความสุขที่สุด   บทที่59

    ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ

  • เมิ่งฮวาชาตินี้ข้าจะมีความสุขที่สุด   บทที่58

    ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status