LOGINปัจจุบัน
สุเมธออกไปดูข้างนอก เห็นครูชั้นเรียนเด็กเล็กและอาสาสมัครช่วยกันแจกน้ำให้กลุ่มนักเที่ยว คนที่ดื่มน้ำกลับมาได้สติอีกครั้ง หลายคนยังไม่รับรู้ว่ามีคนมาแจกน้ำด้วยซ้ำ ได้แต่เต้นอย่างไม่ลืมหูลืมตาบนฟลอร์เต้นรำ
"นั่นไง ไอ้นักเวทลวงโลกอยู่นั่น" มีคนตะโกนออกมาจากฝูงชน "พวกเราไปจับมันกัน"
คนที่ได้สติกรูกันเข้ามาหาสุเมธ หัวหน้านักเรียนคนก่อเรื่องยกสองมือขึ้นแล้วร่ายเวทมนตร์ คนที่เมามายอยู่มีดวงตาสีแดงก่ำ หันมาต่อสู้กับคนที่สร่างเมาแล้ว เกิดสงครามย่อมๆขึ้น มีคนเรียกสเลฟออกมา เสียงดังโครมครามไม่หยุด โต๊ะที่นั่งล้มระเนระนาด หลอดไฟแตก บรรดาเด็กสาวที่ได้สติแย่งกันวิ่งออกจากผับ มนสิชาหวังว่าจะไม่มีใครล้มและโดนเหยียบ
อัศวินสองคนที่เป็นคนรับใช้แสนซื่อสัตย์ของสุเมธ หันมาทางหญิงสาวทั้งสามคน พวกเขาทุบขวดเหล้าแล้วประจันหน้าต่อพวกเธอ ปุยฝ้ายผลักมนสิชาให้พ้นทาง
"ไม่ได้นะปุยฝ้าย เธอก็รู้ว่าฉันแข็งแกร่งกว่า" มนสิชาเตือน
"แต่ฉันไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว" ปุยฝ้ายบอก นึกถึงเรื่องโชคร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับเธอ เธอใช้เท้าเตะข้อมือของอัศวินหนุ่ม แต่แรงคิดเรื่องร้ายๆคงไม่มากพอ เพราะอัศวินหนุ่มหลบได้ทัน และเตะกวาดขาเธอ ปุยฝ้ายจึงล้มลงกับพื้น ชูครีมจัดการอัศวินอีกคน แต่เขาไวกว่าอัดกำปั้นเข้าที่ท้องชูครีมเข้าอย่างจัง
"ทำไมเราถึงสู้พวกเขาไม่ได้ล่ะ" มนสิชาตะโกนแข่งกับเสียงดัง
"เพราะเราได้ยาบำรุงกำลังมาจากคุณสุเมธน่ะสิ" อัศวินคนหนึ่งบอก หัวเราะเยาะ ดวงตาเหมือนคนวิปลาสเข้าไปทุกที"เราต้องร่วมมือกันแล้วล่ะ" ปุยฝ้ายดึงคอสองเพื่อนสาวเข้ามาใกล้ แล้วกระซิบอะไรบางอย่าง ก่อนจู่โจมใส่พวกเธอชูครีมแยกออกมาจัดการอัศวินคนที่แรงน้อยกว่า เธอผลักเขาไปอีกด้านหนึ่งเพื่อแยกอัศวินออกจากกัน มนสิชาล็อกตัวอัศวินอีกคนหนึ่ง ส่วนปุยฝ้ายหันมาช่วยมนสิชา ด้วยกรอกน้ำล้างคำสาปใส่ปากอัศวิน เขาดิ้นเร่าๆก่อนดวงตากลับมาเป็นสีน้ำตาลเข้ม
"นี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย" อัศวินคนนั้นมองไปรอบๆตัว เห็นความโกลาหลที่เขาไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
"ชูครีมจะไม่ไหวแล้วค่ะทุกคน" ชูครีมร้อง
มนสิชากระโดดเข้าใส่ ชกเข้าที่ท้องอัศวิน แต่เธอเป็นฝ่ายเจ็บเสียเอง เพราะท้องเขามีแต่กล้ามแข็ง ปุยฝ้ายเข้าประชิดตัว เธอถือขวดน้ำเข้าไปด้วย เอื้อมไปกรอกน้ำใส่ปากอัศวิน แต่เขาปัดออก ขวดน้ำกระเด็นไปหลายเมตร ชูครีมอยากจะเข้าไปช่วย แต่เธอยืนโงนเงนอยู่ห่างๆ เพราะโดนต่อยจนน่วม
มนสิชาคลานไปเก็บขวดน้ำ กลับมาช่วยปุยฝ้ายที่กำลังหลบหมัดอัศวิน ปุยฝ้ายหน้าแดงฉานไปด้วยเลือดและรอยช้ำ มนสิชาฟิวส์ขาดจึงคว้าเก้าอี้แล้วตีลงไปบนหลังอัศวินบ้าพลัง แรงตีทำให้เขาหยุดได้ชั่วครู่ ปุยฝ้ายคิดแผนอีกอย่างออก เธอเข้าไปบีบคออัศวิน เขาทั้งเตะทั้งต่อยเพื่อให้เด็กสาวปล่อยมือ อ้าปากกวาดเอาลมหายใจเข้าเฮือกสุดท้าย มนสิชาเข้าใจแผนจึงหยิบน้ำสาดเข้าไปในปากอัศวิน เขาสำลักและดื่มน้ำเข้าไป ปุยฝ้ายปล่อยมือ ดวงตาของอัศวินกลับมาเป็นสีดำอีกครั้ง
ทั้งสามคนเดินเข้ามากอดกัน ดีใจที่ความสามัคคีทำให้พวกเธอเอาชนะศัตรูได้
อีกด้านหนึ่ง ชายคนที่เมายกเก้าอี้ฟาดคนที่ตะโกนให้จับสุเมธ เขาร้องอย่างเจ็บปวด ล้มตัวลงนอนดิ้นบนพื้น มีคนไปเปิดไฟในผับและปิดเสียงเพลงลง อาสาสมัครรีบเอาน้ำแก้คำสาปไปกรอกปากคนที่ยังเมา จากคนสองฝ่ายที่สู้กัน กลายเป็นพวกเดียวที่ต้องการเอาเลือดหัวสุเมธออก
"จับมันมาลงโทษให้ได้" มีคนร้องตะโกนออกมา
สุเมธเห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงวิ่งหนีออกทางประตูหลัง คนจำนวนมากตามสุเมธออกมา สามสาววิ่งออกจากผับก่อน แล้วเรียกสเลฟออกมา พวกเธอให้สเลฟไปดักหน้าสุเมธแล้วพาหนีเข้าไปในซอยเล็กๆแห่งหนึ่ง ก่อนพาเข้าบ้านร้างหลังหนึ่ง
"ถ้าจะฆ่าก็ฆ่ากันเลย" สุเมธเชิดคอขึ้นอย่างถือตัว
"พวกเราสัญญาจะไม่ทำอะไรคุณ ถ้าคุณให้ข้อมูลที่เราอยากรู้" ปุยฝ้ายเอ่ยเสียงเบา มองดูคนกลุ่มใหญ่วิ่งตามหาสุเมธกันจ้าละหวั่น
"ผมจะรู้อะไร พวกคุณอย่าหวังลมๆ แล้งๆ เลย ถ้าผมรู้ว่าตื่นยังไง ป่านนี้ก็ตื่นไปนานแล้ว" สุเมธบอก
"เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกสาวคุณก่อนเธอจะตื่นก็พอค่ะ" มนสิชาเอ่ย
"ผมติดอยู่ในฝันครั้งแรกเมื่อสิบเดือนก่อน เกิดอุบัติเหตุพร้อมกันทั้งผมและลูกสาว เธออายุแค่เจ็ดขวบเท่านั้นเอง ตั้งแต่ผู้สร้างเสนอว่าจะบอกวิธีตื่นให้กับประธานนักเรียนเมื่อเดือนก่อน ผมก็เริ่มทำเหล้าที่ขังคนเอาไว้ในทิศตะวันตก เจตนาของผมคืออยากให้เราพ่อลูกได้รอดกลับไปเท่านั้นเอง ก่อนหน้าที่ผมจะติดอยู่ที่นี่ ผมเคยมีอาชีพเป็นเจ้าของผับมาก่อน และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนรู้ว่าโมโม่เป็นลูกสาวเจ้าของผับ เธอจะถูกรังแก เธอก็ไม่ค่อยมีเพื่อน ถูกหาว่าเป็นลูกอันธพาล แต่พอมาอยู่ในฝัน ผมก็ยังทำงานเหมือนที่อยู่ข้างนอก แต่คนให้การยอมรับเพราะผมเป็นหัวหน้านักเรียนทิศตะวันตก ลูกสาวผมก็เลยมีเพื่อนขึ้นมา โมโม่เลิกเก็บตัว สดใสร่าเริงขึ้นตั้งเยอะ เธอบอกผมว่าอยากอยู่ที่นี่ตลอดไป ไม่นานหลังจากนั้น เธอก็ตื่น พวกเราไม่มีญาติที่ไหนอีก ผมไม่อยากให้ลูกสาวต้องอยู่ตามลำพัง เลยต้องหาทางตื่นให้เร็วที่สุด"
"ชูครีมแนะนำให้คุณเรียกประชุมนักเรียนทั้งหมด แล้วสารภาพความผิดนะคะ จากนั้นก็ให้ผู้นำทั้งสามทิศที่เหลือเลือกวิธีลงโทษ แล้วคุณจะได้กลับไปมีชีวิตที่ปกติ" ชูครีมแนะนำ
สุเมธส่ายหน้าไม่เห็นด้วย เขายกมือขึ้นพร้อมกับร่ายเวทอีก พวกเธอขยับร่างกายไม่ได้
"ผมมาไกลเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้แล้ว" สุเมธเอ่ยเสียงเศร้า ก่อนวิ่งหนีออกจากเมือง
มีคนเห็นสุเมธวิ่งไปทางส่วนกลาง จึงตามเขาไป เขาตะโกนเรียกกลุ่มชายฉกรรจ์ให้ตามมาด้วย มีชายคนหนึ่งขว้างไม้ไปที่ขา ทำให้สุเมธสะดุดหกล้ม คนที่เหลือวิ่งเข้าไปรุมเตะ สุเมธตัวช้ำไปหมด คนมากมายถ่มน้ำลายใส่เขา เขามองท้องฟ้าที่สว่างจ้าตลอดเวลา ก่อนเกิดลูกไฟลุกท่วมร่างเขา แล้วสลายไปไม่เหลือแม้เถ้าธุลี
เมื่อสุเมธกลับไปเริ่มต้นใหม่ เวทมนตร์ของเขาก็คลายลง สามสาวเป็นอิสระอีกครั้ง พวกเธอเดินออกมาเจอกลุ่มนักเรียนท่าทางเกรี้ยวกราด พวกเขาเดินผ่านพวกเธอไปโดยไม่สนใจ
"ฉันว่าแค่ตายแค่นี้ยังไม่สาสมพอ มันน่าจะทำให้ทรมานมากกว่านี้อีก" ชายคนหนึ่งกล่าว
มนสิชามองหน้าปุยฝ้ายแล้วสลดใจ รับรู้ว่าสุเมธคงตายไปเรียบร้อยแล้ว
"น่า ก็แค่เริ่มต้นใหม่เท่านั้นเอง" ปุยฝ้ายปลอบใจ "พวกเราไปว่ายน้ำเล่นกันไหม ที่ทิศเหนือมีสระว่ายน้ำด้วยนะ"
"ไปค่ะไป" ชูครีมตอบรับอย่างสดใส ไม่ทุกข์ร้อนที่สุเมธจากไป
"พี่ไม่มีอารมณ์หรอก พวกเธอคงเห็นคนตายมาเยอะแยะ เลยไม่รู้สึกหดหู่ใจที่รู้ว่าคนใกล้ตัวตายไป" มนสิชาเอ่ย
"ไม่ใช่หรอก เพราะพวกเราก็อยากเปลี่ยนอารมณ์เหมือนกัน" ปุยฝ้ายตอบ ถอนหายใจยาว
พวกเธอขี่ฟ้าลั่นและบลูฮาร์ทมาลงที่ข้างสระว่ายน้ำของโรงเรียน น้ำเป็นประกายระยิบระยับสะท้อนแสงจากท้องฟ้าปลอม ไม่มีใครอยู่ที่สระว่ายน้ำเลยเพราะเป็นเวลากลางคืน มนสิชากับชูครีมเก็บสเลฟแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องแต่งตัว มีชุดว่ายน้ำมากมายแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้า พร้อมผ้าขนหนูกลิ่นหอมแดด
มนสิชาเลือกชุดว่ายน้ำที่ขนาดพอดีตัวของเธอ แต่พบว่าคับตรงหน้าอกไม่น้อย ส่วนโค้งเว้าเผยออกมาเดินชัดว่าเธอหุ่นดีขนาดไหน ชูครีมมองหาชุดว่ายน้ำไซส์คนจ้ำม่ำ ขนาดตัวที่สั้นทำให้ชุดว่ายน้ำตรงไหล่หลวมเล็กน้อย ปุยฝ้ายขนาดตัวมาตรฐานจึงเลือกชุดได้พอดีตัวเธอที่สุด
มนสิชาแต่งตัวเสร็จเป็นคนแรก รีบวิ่งออกมาที่สระว่าย
น้ำแล้วกระโดดพุ่งลงสระ ความสดชื่นแผ่ซ่านไปทั่วตัวเหมือนปลาได้น้ำ เหมือนคนเครียดได้กินของหวาน เหมือนคนกระหายได้ดื่มน้ำ ปุยฝ้ายเห็นดังนั้นจึงกระโดดลงน้ำ แล้วว่ายตามไปติดๆ ชูครีมกลัวว่าเธอจะทำน้ำกระจายจึงได้แต่ค่อยๆหย่อนตัวลงไปอย่างเงียบเชียบ
"โห น้ำกระเพื่อมใหญ่เลย" ปุยฝ้ายแซวเมื่อชูครีมลงน้ำ
"ไม่จริงค่ะ ชูครีมลงน้ำเบาที่สุดแล้ว" ชูครีมเถียงหน้าแดง
"แกล้งเพื่อนอีกแล้ว นี่แน่ะ" มนสิชาสาดน้ำใส่ปุยฝ้าย น้ำเข้าหูเธอพอดี เจ้าตัวจึงสาดน้ำกลับ ชูครีมจึงเข้าวงด้วยอีกคน พวกเธอสาดกันจนหนำใจ แล้วลอยตัวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
"จริงสิ เรามาแข่งกันดำน้ำบ้างไหมคะ" ชูครีมถามหลังลอยตัวมาพักหนึ่ง
"เอาสิ แต่ถ้าดำน้ำธรรมดาคงไม่สนุก ให้ทำหน้าเป็นใต้น้ำด้วย ใครหัวเราะก่อนก็ถือว่าแพ้ดีไหม" ปุยฝ้ายเสนอ
"ตกลง" มนสิชาบอก "เอาละนะ หนึ่ง สอง สาม"
พวกเธอดำลงไป แล้วมองหน้าอีกฝ่าย ชูครีมทำตาเหล่ แก้มป่อง ปุยฝ้ายทำปากจู๋ ย่นคอโชว์เหนียง ส่วนมนสิชาทำสมาธิด้วยการมองเพื่อนรุ่นน้องแล้วไม่แสดงอาการอะไร ชูครีมทนมองปุยฝ้ายไม่ไหว ส่วนปุยฝ้ายก็ขำหน้าชูครีม ทั้งสองหลุดหัวเราะออกมาแล้วลอยขึ้นเหนือน้ำ
ตอนนั้นเอง คนดูแลสระเปิดท่อระบายน้ำในสระออก เพื่อพรุ่งนี้เขาจะได้มาทำความสะอาดสระ โดยตอนแรกเขามองมาที่สระไม่เห็นใคร เพราะทั้งสามคนดำน้ำอยู่ มนสิชารู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดใต้น้ำ เธอจึงถีบตัวให้พ้นผิวน้ำ แต่กลายเป็นว่าแรงดึงดูดจากก้นสระนั้นมีพลังแรงจนต้านทานไม่ไหว มนสิชาถูกดึงไปจนสุดขอบสระ ปุยฝ้ายและชูครีมยังไม่รู้ว่ามนสิชากำลังลำบาก พวกเธอหัวเราะคิกคักในหน้าตาอีกฝ่าย
"คุณมนดำน้ำได้นานจังเลยนะคะ" ชูครีมบอกขณะเกาะริมขอบสระ
"สงสัยจะว่ายน้ำบ่อยมั้ง ปอดเลยแข็งแรง" ปุยฝ้ายบอก
"แต่ปอดเธอใหญ่จริงๆเลยนะ"
หญิงวัยรุ่นทำมือเหมือนอยากบีบปอดมนสิชาเต็มแก่
"แหม คุณปุยฝ้ายนี่ล่ะก็" ชูครีมตีแขนเธอ
"นานไปหรือเปล่านะ" ปุยฝ้ายเริ่มรู้สึกแปลกๆ มองไปเห็นน้ำวนตรงจุดที่มนสิชาอยู่ "ชูครีมดูนั่นสิ"
"ไปช่วยกันเถอะค่ะ" ชูครีมบอก
"ไม่ได้ๆ เดี๋ยวติดน้ำวนไปอีกคนหรอก ฉันจัดการเอง" ปุยฝ้ายดำลงไปในน้ำโดยยังจับขอบสระอยู่ มนสิชาว่ายน้ำสุดแรงให้ออกมาจากจุดนั้น แต่ไม่เป็นผล ปุยฝ้ายรอให้เธอหันมาสบตาแล้วชี้ไปที่หัวตัวเองแล้วส่ายไปมา เป็นสัญลักษณ์ว่าให้คิดในแง่ลบเข้าไว้ มนสิชาเข้าใจในทันที เธอคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ ลืมทุกคน ลืมทุกอย่างอีกครั้ง แรงคิดลบนั้นแรงจนกระทั่งทำเธอน้ำตาซึม
คนดูแลสระเห็นชูครีมเกาะริมขอบสระอยู่ ชูครีมจึงตะโกนโหวกเหวกขึ้น เขาจึงรีบไปปิดท่อระบายน้ำ แล้วมนสิชาก็หลุดจากแรงดึงดูด ลอยตัวขึ้นมาเหนือน้ำทันที เธอสูดอากาศเข้าเต็มปอด เสียขวัญ มือไม้สั่น
"รีบขึ้นกันเถอะค่ะ" ชูครีมตะโกนชวน
พวกเธอนั่งพักอย่างหมดแรงริมขอบสระ กอดกันแน่นอย่างโล่งใจ
หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่
ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้
มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน
สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป
ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่
วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื







