ログイン#####บทที่ 2 (ต่อ)
สิ้นเสียง ทิศทางประตูก็ปรากฎหญิงสาวร่างเพรียวระหงก้าวเข้ามา ร่างบอบบางในชุดสีดอกกุ้ยฮวา สีชุดส่งเสริมให้ใบหน้าออกกลมดูเปล่งปลั่งสดใส ยามยิ้มมีลักยิ้มเล็กขึ้นกลางแก้ม นางย่อคารวะผู้อาวุโสทั้งสอง
…โดยรวมถือว่าเป็นหญิงสาวน่ารักนางหนึ่ง ประกอบกับน้ำเสียงใสดุจระฆังทำให้คนได้ยินพากันนึกเอ็นดู
“ลุกเถอะหลานรัก"
ฮูหยินใหญ่ก้าวเข้ามาจับมือพยุงลุกขึ้น แววตาอบอุ่นขึ้นหลายส่วนตั้งเเต่คนตรงหน้าปรากฎ
“ไยมาเรือนยายได้ล่ะ แม่นางกุ้ยอิน”
ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้าระอาไปทางสะใภ้ใหญ่ของตนที่ออกอาการโปรดปรานหลานสาวนอกสายเลือดจนออกนอกหน้า
กุ้ยอินยิ้มหวานก่อนเอ่ย “ข้าตามท่านพ่อมาเจ้าค่ะ ท่านพ่อมีงานที่จำเป็นต้องหารือกับท่านลุงใหญ่เย่”
หญิงวัยกลางคนพยักหน้าเข้าใจ พ่อของกุ้ยอินเป็นสหายกับลูกชายตน มักจะมาที่จวนเย่เพื่อร่ำสุรากันหรือไม่ก็เล่นหมากรุกตามประสาบุรุษ นอกจากนี้เเม่ของกุ้ยอินก็เป็นน้องของสะใภ้ใหญ่นางเช่นกัน ทำให้นางมักจะเห็นหญิงสาวมาที่จวนสกุลเย่บ่อยครั้ง
“นั่งก่อนเถิด”
หนิงหลินพูดจบก็พยักหน้าให้บ่าวตนรินน้ำชาให้หลานสาวสุดที่รัก
“เจ้าคงไปเรือนป้าแล้วไม่เจอสินะ เลยมาเรือนนี้”
กุ้ยอินรับชาขึ้นจิบ “ใช่เจ้าค่ะ หลานถามบ่าวในจวนได้ความว่าท่านป้าอยู่ที่นี่ เอ้อ คุยเรื่องอะไรกันอยู่หรือเจ้าคะ ดูสนุกเชียว”
“สนุกอะไรกัน ป้ากลุ้มแทบอาเจียนแล้ว”
พอนึกถึงเรื่องที่คุยก่อนหน้าก็อดตัดพ้อกับหลานรักไม่ได้
“ท่านป้ากลุ้มเรื่องใดเจ้าคะ พอให้หลานช่วยได้ไหม?”
กุ้ยอินพูดพลางจับมือท่านป้าตนอย่างประจบประแจง
“เอ้อ ข้าว่าก็ดีเหมือนกันนะ เจ้ามันคนซื่อ ก็ให้เเม่นางกุ้ยอินช่วยเสียเลย” ฮูหยินผู้เฒ่าพูดอย่างไม่ใส่ใจมากนัก
“หากหลานช่วยได้ ยินดียิ่งเจ้าค่ะ ว่าแต่เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ?”
หนิงหลินยิ้มเจื่อนกับคำพูดแม่สะใภ้ตน ก่อนหันมาตอบเสียงหวานกับสตรีที่นั่งมองมาที่ตนสายตาแฝงความสงสัย
“ข้ากำลังเลือกบ่าวข้างกายให้เจ้าเหวินเอ๋อน่ะ”
พอกุ้ยอินได้ยินชื่อคนในใจตนก็หน้าเเดงระเรื่อแทบจะทันที ก็เขาคือบุรุษที่นางชื่นชอบนี่นา
“ถ้าหากท่านพี่เหวินไม่ว่าอะไร ข้าช่วยได้นะเจ้าคะ หลานมักช่วยท่านเเม่ดูเเลเรือนบ่อยครั้ง จึงพอดูคนเป็นบ้าง”
เอ่ยอย่างถ่อมตนแต่ในใจหยักยิ้มเย็น
นางชอบเย่หยางเหวินมาตั้งเเต่เด็ก เหตุที่นางติดตามท่านพ่อมาที่จวนสกุลเย่บ่อยครั้งก็เพราะอยากพบหน้าเขาผู้นั้น ปีนี้พี่เหวินของนางก็อายุสมควรออกเรือนได้แล้วและนางเช่นกัน ทำให้ประตูจวนจวนสกุลเย่ไม่ร้างเเม่สื่อ นางเลยหวังประจบทางเเม่ของเขาเพื่อให้ได้ตำแหน่งสะใภ้ใหญ่มาครอง แต่ออกตัวเกินก็ไม่ได้ต้องคงกริยากุลสตรีในห้องหอไว้มัดใจผู้ใหญ่ในเรือน
“ดีเสีย งั้นท่านเเม่ ยามเว่ยข้ายืมตัวบ่าวในเรือนท่านให้มาทำการคัดเลือกด้วยนะเจ้าคะ”
หนิงหลินยิ้มคลายกังวลลง พลางเอื้อมมือไปลูบผมกุ้ยอินอย่างเอ็นดู เพราะนางคือคนที่มาช่วยไขปัญหาที่กวนใจของนาง
“ป้ากับเหวินเอ๋อต้องขอบใจเจ้าล่วงหน้าที่ออกตัวช่วยด้วย”
“ข้าเต็มใจเจ้าค่ะ”
ไป๋ซูเมิ่งเช็ดล้างเรือนฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จตั้งเเต่ก่อนยามอู่ตอนนี้กำลังกินข้าวรวมกับบ่าวคนอื่นที่ห้องครัวส่วนนอก เสียงพูดคุยดังขึ้นรอบข้างบ่าวพากันจับกลุ่มล้อมวงกินข้าวไปคุยไป ยกเว้นเพียงตรงที่นางนั่งอยู่ยังเหลือว่าง
“เจ้าเขยิบไปสิ นี่มันที่พี่มูลี่นะ”
สาวใช้คนหนึ่งใบหน้าแน่งน้อยอายุน่าจะไม่เกินสิบห้าเดินเข้ามาสะกิดซูเมิ่งด้วยเท้า ไม่นานหญิงสาวเจ้าของชื่อมู่ลี่ย่างเดินผ่านธรณีประตูห้องครัวเข้ามา กริยาการเดินราวกับเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ คอระหงยืดสุด แววตาแฝงความหยิ่งยโส
“ได้สิ”
ไป๋ซูเมิ่งหลุบม่านตาลงละสายตาจากเท้าที่ก่อนหน้าเตะสะกิดนางที่น่อง มุมปากหยักขึ้นบางเบา
หลังจากบริเวณเดิมอันเป็นที่ของซูเมิ่งว่างเเม่นางน้อยที่ก่อนหน้าวิ่งมาจัดการที่ทางก็วิ่งไปพยุงมู่ลี่เข้ามา ข้างกายมู่ลี่มีเเม่นางอีกคนถือชามข้าวเข้ามาก่อนวางตรงหน้ามู่ลี่
“พี่มูลี่กินได้เลยจ้ะ กินเยอะ ๆ เดี๋ยวพอไปรับใช้คุณชายใหญ่แล้วไม่มีเวลากิน ฮิฮฺิ”
เเม่นางน้อยสองคนหันไปหัวร่อใส่กัน สายตาก็ยิ้มกระหย่องใส่บ่าวรับใช้รอบข้าง
“ยังไม่รู้ว่าคุณชายจะรับข้าหรือไม่เลย เจ้าก็พูดไป”
มูลี่หันไปเอ็ดเสียงเบา เเต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เเค่คุณชายเห็นพี่มู่ลี่รับรองรับแน่นอนอยู่แล้วจ้ะ”
สองสาวน้อยยังไม่วายประจบสอพลอต่อ มูลี่เป็นบ่าวรับใช้ขั้นสองคนโปรดที่รับใช้ฮูหยินใหญ่มานานแล้ว พอได้ข่าวว่าเจ้านายจะส่งเเม่นางไปเป็นบ่าวรับใช้คุณชายใหญ่สองสาวก็รีบเข้ามาประจบทันที
หลังสองสาวประจบพอเป็นพิธีจบก็เเยกย้ายกันนั่งเตรียมกินข้าวตามเคย
“ว้าย! น้ำอะไรเนี่ย”
เเม่นางคนก่อนหน้าที่วิ่งเข้ามาจัดที่ให้มู่ลี่ตะโกนขึ้น พลางยืนขึ้นอีกครั้ง กระโปรงสีซีดมีรอยน้ำดวงใหญ่กลางก้นสร้างเสียงหัวเราะขึ้นรอบข้างแทนเสียงพูดคุยก่อนหน้าทันใด
“ฮ่า ๆ เจ้าใช้ก้นกินข้าวรึ มีผักติดก้นด้วย”
สาวใช้คนหนึ่งที่นั่งห่างไม่มากพูดพลางชี้ไปที่ก้นเป้าหมาย
“บ้ารึ! ใครกล้าแกล้งข้า”
ใบหน้าเดี๋ยวเเดงเดี๋ยวซีดของนางตะโกนเสียงเเหลม สองสายตาสอดส่องมองคนรอบข้าง
“เป็นเจ้ารึ!”
ทุกคนมองตามนิ้วไปตกที่ร่างหญิงสาวใบหน้าแดงอีกคน แต่เป็นเเดงที่ไม่ใช่จากความโกรธหรือเขินอาย เป็นเเดงพร้อมผื่นดูน่ากลัว นางคนนั้นคือ ไป๋ซูเมิ่งนั่นเอง
ไป๋ซูเมิ่งพยายามกลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น “ข้า อุ๊บ ข้าเปล่า”
“ข้าไม่เชื่อ ก็ก่อนหน้าเจ้านั่งตรงนี้ เจ้ากล้าแกล้งข้าเชียวรึ!”
เเม่นางคนถูกแกล้งกระทืบเท้าทำเสียงปึงปัง ก่อนรีบเดินมาทางไป๋ซูเมิ่งหวังแก้แค้นให้หายเคียง
“ว้าย โครมมมม!!!”
เเต่ก่อนมาถึงตัวสตรีใบหน้าน่ากลัวเท้าพลันลื่นของบางอย่างล้มลงเท้าชี้ฟ้า ก้นที่ก่อนหน้ามีผักติดตอนนี้กระแทกพื้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“ไยเจ้าต้องรีบขนาดนั้น ข้าไม่หนีไปไหนเสียหน่อย”
ปากบางหยักยิ้มสะใจพร้อมน้ำเสียงแฝงความหยอกเย้าไม่ปิดบัง ส่วนคนรอบข้างก็หัวเราะเสียงดังไม่เกรงใจใคร ต่างชอบใจกับละครตรงหน้าไม่มีใครนึกถึงเรื่องที่ว่า คู่กรณีของแม่นางน้อยนั้นคือคนที่พวกนางไม่ชอบหน้าอย่างซูเมิ่ง
“เจ้า ๆ ขัดขาข้ารึ”
“หือ ใครจะขายาวอย่างนั้น ข้าอยู่ห่างเจ้าตั้งไกล”
ใครบอกว่านางขัดขา นางเเค่ปล่อยผักทิ้งไว้บนพื้นรอเหยื่อมาติดกับเท่านั้นเอง ส่วนรอยเปียกน้ำดวงใหญ่บนก้น นางก็เป็นคนเทน้ำกับข้าวที่นางกินอยู่ไว้บนเก้าอี้ เนื่องจากเป็นน้ำสีใสหากนั่งโดยไม่ระวัง นั่งโดยไม่ดูก่อนก็ง่ายที่จะนั่งทับน้ำนั่นได้
หากว่าดูก่อนนั่งก็ไม่ต้องเปื้อน และหากเดินดูทางก็ไม่ลื่นเช่นนี้หรอก นางแกล้งใครเสียที่ไหน...
นี่คือผลกรรมจากที่เอาเท้ามาสะกิดนางไง
“งั้นใครขัดขาข้า!?”
พูดพลางมองตาขวางไล่ดูคนรอบข้างทีละคน ซึ่งจากที่หัวเราะกันสนุกก็เปลี่ยนเป็นก้มหน้ากินข้าวตามเดิมไม่มีใครสนใจเเม่นางน้อยตรงกลางห้องอีก
“เจ้ามานั่งนี่เถอะ ไยเจ้าต้องสนใจคนหน้าตาน่าเกลียดด้วย” มู่ลี่เอ่ยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ
เเม่นางน้อยก่อนหน้าจึงทำได้เพียงหายใจกระฟัดกระเฟียดแต่ก็ยอมไปนั่งเเต่โดยดี
“รอพี่มู่ลี่ได้เป็นบ่าวข้างกายคุณชายแล้วอย่าลืมแก้แค้นนางพวกนี้ให้ข้านะ”
พอมู่ลี่ได้ยินดังนั้นก็ทำเป็นเสแสร้งขวยเขินเเต่ในใจยิ้มกริ่ม
พอละครสดจบลงเสียงพูดคุยก็ดังขึ้นอีกครั้งเวลาผ่านไปไม่นาน เสียงทุ้มหนาของคนที่เข้ามาใหม่ก็ดังขึ้น
“เหล่าบ่าวไพร่ฟังข้าให้ดียามเว่ยขอให้บ่าวสตรีทุกนางที่มีอายุต่ำกว่ายี่สิบไปรวมกันที่ลานของเรือนฮูหยินผู้เฒ่า หากพบว่าใครไม่ไปมีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้านาย โทษโบยหนึ่งร้อยไม้พร้อมไล่ออกจากจวน อย่าสายกันล่ะ”
บ่าวหัวหน้าคนเดิมกล่าวจบก็กระแอมเล็กน้อยก่อนตั้งท่าจะหันกลับไป
“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ เอ่อ เหตุใดให้ไปรวมที่ลานเจ้าคะ”
เเม่นางน้อยคนเดิมเอ่ยถามหลังจากได้รับสายตาเชิงคำสั่งของมู่ลี่
“โอย เเค่ก ๆ หิวน้ำ” หัวหน้าบ่าวแสร้งไอสายตาแฝงแววเจ้าเล่ห์
“นี่เจ้าค่ะน้ำ”
บ่าวที่ใกล้สุดหยิบน้ำของตนขึ้นมาส่งให้
...ตอนนี้ไม่ว่าใครก็อยากรู้สาเหตุกันทั้งนั้น
“ขอบใจ อึก ๆ ฮูหยินใหญ่จะเลือกบ่าวรับใช้ให้คุณชายใหญ่น่ะ”
เคร้ง!
เสียงช้อนตกดังฉับพลัน ทุกคนพุ่งสายตาไปที่เจ้าของช้อนเละว่าที่บ่าวรับใช้คุณชายใหญ่ที่ตอนนี้อ้าปากค้างดวงตาฉายแววแค้นเคืองล้นออกมาจากตา
นั่นก็หมายความว่าตำแหน่งบ่าวรับใช้ข้างกายคุณชายใหญ่มิใช่มู่ลี่น่ะสิ ฉะนั้นที่ตนยกตนข่มบ่าวคนอื่นก็ทำเสียเปล่า และยังมิวายหน้าแตกเข้าเต็มเปา
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







