ログイン#####บทที่ 2
“เจ้ามัวยืนบื้ออันใด ยกถังน้ำตามข้ามาได้แล้ว!"
เสียงตะคอกดังขึ้นข้างใบหูของสาวน้อยร่างบอบบาง ผิวขาวดุจหิมะ แขนเรียวยาว ใบหน้ารูปไข่ สีตาดำสนิทแต่ดูราวมีม่านหมอกบดบังชั้นหนึ่ง ทำให้ยากจะรู้ว่าเจ้าของดวงตาเรียวนั้นคิดอะไรอยู่ องค์ประกอบบนใบหน้าดีไปหมดทุกอย่างติดก็ตรงรอยผื่นแดงบนใบหน้าและตามตัว ทำให้ใครเห็นก็ต่างเบือนหน้าหนีแทบจะทันที
…และเจ้าของผื่นเเดงที่ว่านี้ก็คือนางเอง คุณหนูไป๋ผู้สูงศักดิ์!!!
ใช่แล้ว ตอนนี้นางกำลังยกถังน้ำใบโตและเดินตามหญิงอวบอ้วนวัยกลางคนผู้ที่เป็นหัวหน้าบ่าวรับใช้จอมสั่งการคนหนึ่งไปทำความสะอาดห้องของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเย่
หลังจากที่นางอ้อนวอนขอติดตามเย่หยางเหวินเพื่อมาทำงานชดใช้ที่โทษฐานนางทำชุดที่เขาให้ยืมเสียหาย นางติดตามชายทั้งสองออกจากป่ามุ่งหน้าสู่เมืองซีเปียน ซึ่งเป็นเมืองที่จวนสกุลเย่ตั้งอยู่ พอถึงจวนสกุลเย่ ชิงซาก็พานางไปฝากกับพ่อบ้านหลิวให้หางานให้ทำ พร้อมส่งหมอประจำตระกูลคนหนึ่งมารักษาอาการผื่นเเดงของนางเพื่อยืนยันว่านางไม่ได้เป็นโรคติดต่อ มิเช่นนั้นนางคงต้องถูกระเห็ดออกจากจวน แม้เเต่บ่าวชั้นต่ำสุดก็ไม่ได้เป็น แผนการที่นางคิดไว้ทั้งที่อยู่ฟรี อาหารฟรีก็จบกัน
…ยังดีที่อาการคันและผื่นแดงตามตัวของนางมาจากอาการแพ้จริง ซึ่งนางคิดว่าคงแพ้ดอกไม้ใบหญ้าสักอย่างตอนอยู่ในป่า
หลังจากนั้นนางก็ได้รับยาเเก้คันเเก้ผื่นเเดงมาทา ท่ามกลางสายตาอิจฉาริษยาของบ่าวด้วยกันเองรอบข้าง เพราะปรกติหากบ่าวชั้นต่ำป่วย ไม่ปล่อยให้หายเอง ก็ต้องเป็นบ่าวที่เจ้านายเมตตาจึงได้รับยารักษาเยี่ยงนี้ แต่นางเป็นเพียงหญิงอัปลักษณ์บ่าวหน้าใหม่ ระดับชั้นต่ำเสียยิ่งกว่าบ่าวชั้นล่างสุดในเรือน เพราะฉะนั้นการที่นางได้รับเมตตาจากคุณชายเย่ซึ่งเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูล แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดี
ความหวังดีของคุณชายเย่นั้นทำให้นางถูกจัดให้เป็นบ่าวผู้ใช้แรงงาน คอยเช็ดถูเรือน วัน ๆแบกถังน้ำ ก้ม ๆ เงย ๆ ถูพื้น เช็ดเครื่องเรือน พอค่ำกินข้าว หัวถึงหมอนก็หลับทันทีเพราะความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวัน
ตั้งเเต่เย่หยางเหวินฝากนางให้พ่อบ้านหลิวดูเเลนางก็ไม่เห็นเขาอีกเลย วันนี้ครบสิบวันที่นางมาอาศัยในจวนเเห่งนี้ งานที่ว่าหนักก็กลายเป็นชินไปเสียแล้ว และจากการสังเกตของนางร่างนี้เดิมทีอ่อนแอยิ่งนัก เคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว แต่พอนางได้ยกถังน้ำทุกวัน เดินไปเดินมาตลอดวัน อาศัยโอกาสนี้ฝึกฝนร่างกายทำให้ทนเหนื่อยได้มากขึ้น
ไป๋ซูเมิ่งเดินตามบ่าวผู้เป็นหัวหน้านางเข้าไปเตรียมทำความสะอาดห้องตามเดิม แต่วันนี้ไม่มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าคนเดียวอย่างเช่นทุกวัน ข้างกายเป็นสตรีใบหน้าเกลี้ยงเกลา รวบผมขึ้นตามแบบหญิงที่ออกเรือนแล้ว อายุน่าจะราว ๆสามสิบปีกว่านั่งคุยอยู่
หากนางเดาไม่ผิดต้องเป็นฮูหยินใหญ่ แม่ของเย่หยางเหวินเป็นแน่
“ท่านเเม่ บ่าวรับใช้ข้างกายของเหวินเอ๋อขาดหนึ่งคนเจ้าค่ะ ข้ากำลังกลุ้มใจอยู่เพราะข้าเลือกบ่าวส่งไปให้แล้ว เจ้าหยางเอ๋อบอกปัดกลับมาว่าบ่าวของเขาเพียงพอแล้ว แต่ข้ารู้เจ้าค่ะว่าเขาไม่ถูกใจบ่าวที่ข้าเลือกให้”
ฮูหยินใหญ่เย่นัยน์ตาหม่นหมองอย่างคนคิดหนัก
“เหตุใดเป็นเช่นนั้น เจ้าส่งใครไปรึ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าพูดพลางยกน้ำชาขึ้นจิบ
“ข้าส่งมู่ลี่ไปเจ้าค่ะ นางเป็นคนใส่ใจ ปรนนิบัติดีมากคนหนึ่ง”
ฮูหยินผู้เฒ่านั่งนิ่งนึกภาพมูลี่ในความทรงจำสักพัก ก่อนปิดปากหัวเราะร่วน
“นี่เจ้าตาบอดรึแกล้งโง่ นางบ่าวมู่ลี่เเค่ข้ามองก็รู้ว่านางใฝ่สูงเพียงใด จากสายตาข้า กริยาชมดชม้อยชายตานั้นของนางคงประจบเจ้าหวังจะไปเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของเหวินเอ๋อมากกว่า หึ”
เหล่าสาวใช้ที่กำลังปรนนิบัติรินชาและพัดวีให้เจ้านายพร้อมใจกันปิดปากหัวเราะเห็นด้วยกับฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกลับส่ายหน้าให้กับความซื่อของสะใภ้ใหญ่ของนางคนนี้นามว่าหนิงหลิน แม้ที่ผ่านมาสะใภ้นางนี้จะตั้งใจดูเเลจวนอย่างดี จัดการปัญหาได้หมดจดไม่ต้องถึงมือคนแก่อย่างนาง แต่หากเป็นเรื่องเล่ห์เหลี่ยมกลโกงไว้ใจสะใภ้คนนี้ไม่ได้เชียวล่ะ
“ท่านเเม่ไยพูดเช่นนั้น” หนิงหลินตัดพ้อเสียงอ่อน
“เอาเถอะ ๆ ไยเจ้าไม่ให้เหวินเอ๋อเลือกเองเสียเล่า มาเลือกบ่าวในการปกครองของข้าด้วยย่อมได้”
“ข้าบอกเขาแล้ว แต่หากให้เลือกเอง เหวินเอ๋อคงบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับเลยสักคนเป็นแน่”
ที่นางอยากให้เจ้าลูกชายตัวดีรับบ่าวเพิ่มเป็นเพราะนางอยากให้ลูกนางอยู่อย่างสะดวกสบาย และอีกอย่างคราที่นางไปเยี่ยมที่จวนสกุลหลี คุณชายใหญ่บ้านนั้นบ่าวรับใช้เยอะกว่าเหวินเอ๋อของนางหลายคนเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่หากเทียบแล้วตระกูลเย่ระดับสูงกว่ามาก
“เจี้ยนเอ๋อยังมีบ่าวรับใช้มากกว่าเหวินเอ๋อเสียอีก” บ่นพึมพำกับตนเอง
หนิงหลินพูดถึงคุณชายรองลูกของนางที่ตอนนี้อายุสิบหกปีน้อยกว่าผู้เป็นพี่เพียงสี่ปี แต่ความรับผิดชอบต่างกันลิบลับ
“เจ้าก็ช่างนำไปเปรียบเทียบกับเจ้ารองจอมเสเพลนะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหยักยิ้มหลังจากนึกถึงเจ้าหลานขี้อ้อนขึ้นมา ทั้งที่เป็นพี่น้องกันท้องเดียวกัน ทว่าหยางเหวินขอช่วยงานของตะกูลตั้งเเต่รู้ความ แต่กับหยางเจี้ยน บัดนี้อายุใกล้ทำพิธีสวมหมวกได้แล้ว[3]ยังเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่ทุกวี่ทุกวัน
ในช่วงเวลาที่ทั้งสองกำลังถกปัญหาอย่างออกรสออกชาติ เสียงหวานใสกังวาลก็ดังขั้น
“คารวะท่านย่ากับท่านป้าเจ้าค่ะ”
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







