“ทำไมล่ะคะ?”
“ถึงจะเช็ดตัวไปแล้ว แต่อาบน้ำหน่อยนะคะ นอนแช่น้ำอุ่นๆ จะได้สบายตัว” สาวใช้ประคองคุณหนูคนใหม่ลงจากเตียงอย่างเชื่องช้า พลางอธิบาย “เรื่องงาน...เป็นเพราะคุณท่านค่ะ ต่อไปนี้คุณหนูไม่ต้องคอยทำอะไรๆ ให้พวกคุณๆ แล้วนะคะ ไม่ต้องตื่นแต่เช้าไปทำอะไรๆ ให้ท่านผู้หญิงกับพวกท่านหญิง งานครัวก็ไม่ต้องช่วยหยิบจับ คุณท่านกำชับมาแล้ว ว่าไม่ให้ทำ”
“เพราะเรื่องเมื่อวานเหรอคะ”
“ค่ะ เพราะเรื่องเมื่อวานนั่นหล่ะ คุณท่านเลยได้สังคายนาพวกคุณๆ อีกรอบ” มาธาเล่าเรียบๆ ราวกับเรื่องในประเด็นสนทนาไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“แล้วท่านผู้หญิงยอมเหรอคะ”
“ไม่ยอมหรอกค่ะ” มาธาตอบตามตรง “แต่จะทำยังไงได้ล่ะคะ เดี๋ยวนี้คุณท่านเอาจริง ท่าทีเองก็ดูขึงขังจนน่ากลัว จริงสิ...ต่อไปนี้ คุณหนูทานข้าวพร้อมคุณๆ ที่ตึกใหญ่เลยนะคะ คุณท่านบอกว่าถ้าสบายเนื้อสบายตัวขึ้นแล้วก็ให้เริ่มจากมื้อถัดไปนี่ล่ะ”
“ตายแน่ๆ คราวนี้ท่านผู้หญิงต้องไม่พอใจมากแน่ๆ” คราวนี้คนช่างตีสีหน้าหวาดวิตก ตกใจขึ้นมาจริงๆ
“ปล่อยให้ไม่พอใจเสียบ้างเถอะค่ะ” มาธาบอกอย่างเสียไม่ได้
“น่าเป็นห่วงคุณท่านนะคะ” อัยน์นาขมวดคิ้วคู่คมเข้าหากันอย่างลืมตัว “ใครใครก็รู้ว่าท่านผู้หญิงท่านรักศักดิ์ศรีแค่ไหน คุณท่านทำแบบนี้ ท่านผู้หญิงอาจมองว่าคุณท่านหยามน้ำใจเธอก็ได้”
“คุณหนูก็เป็นเสียอย่างนี้ ชอบห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองทุกที” สาวใช้อีกคนบ่นพลางปราดเข้าช่วยประคองคุณหนูคนใหม่เข้าไปถอดเสื้อผ้าหลังฉากกั้น
พอเห็นผิวขาวกระจ่างใสเท่านั้น สาวใช้ทั้งสามก็อดชื่นชมไม่ได้
“งดงามนัก”
“ผิวงาม ผมงาม รูปร่างก็งาม”
“แบบนี้สิ เขาเรียกงามพร้อมทั้งกายใจ”
พวกนางพูดรับส่งกันเป็นทอดๆ จนคนมีไข้ฟังไม่ทัน ว่าประโยคไหนเป็นของใคร
“ท่านผู้หญิงเจ้ากรมการเมือง ท่านหญิงพริสซิลล่า กับท่านหญิงแอนนาเบล ทั้งสามคนก็งดงามมากค่ะ”
“สู้คุณหนูไม่ได้หรอกค่ะ” ใครคนหนึ่งในกลุ่มสาวใช้ทั้งสามบอกเสียงใส
คราวนี้คนป่วยไม่ตอบอะไร สิ่งที่เธอทำมีเพียงการทอดถอนใจอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะปล่อยให้พวกหญิงรับใช้ประคองร่างเปล่าเปลือยลงแช่น้ำอุ่นโปรยกลีบดอกไม้ แล้วเอนกายลงนอนสูดกลิ่นกุหลาบที่ชวนให้นึกถึงภาพชวนฝันเมื่อครู่ ตามประสาคนอ่อนแรง
“ช่วงบ่ายจะมีช่างตัดเสื้อเอาตัวอย่างผ้ากับแบบชุดสวยๆ มาให้คุณหนูเลือกนะคะ คุณท่านอยากตัดให้ใหม่ ชดเชยชุดที่พวกคุณๆ ทำเสียหาย”
“ค่ะ” คุณหนูคนใหม่ตอบเสียงแผ่ว
คงเพราะพิษไข้เล่นงานเธอหนักเกินไป อัยน์นาเลยแยกไม่ออกอีกต่อไปแล้ว ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร
“ช่างคงมาจากร้านเดิมที่เคยมาคราวก่อน...ร้านอัญมณีและแพรพรรณที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไงคะ คุณหนูจำได้ใช่ไหม” ใครคนหนึ่งถาม น้ำเสียงตื่นเต้น
ไม่ทันที่อัยน์นาจะได้ตอบอะไร สาวใช้อีกคนก็ชิงพูดแทรกขึ้นเสียก่อน
“เขาว่ากันว่าเจ้าของกิจการรายนี้ชอบตระเวนพบลูกค้าด้วยตัวเอง บางทีวันนี้เขาอาจมาที่นี่ก็ได้”
“ท่านหญิงพริสซิลล่าตื่นเต้นน่าดู เห็นว่าตื่นเต้นจนถึงขั้นเก็บมาพร่ำเพ้อยกใหญ่”
“ก็น่าพร่ำเพ้อนะคะ ทั้งเป็นสุภาพบุรุษ ทั้งร่ำรวย ทั้งรูปงามตั้งขนาดนั้น”
สุภาพบุรุษหรือ...? พอฟังถึงตรงนี้ คุณหนูคนใหม่ก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสระน้ำกลางสวนวงกตขึ้นมา
ถึงเธอจะจำเรื่องตอนนั้นได้ไม่หมด แต่เธอก็จำเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่น้อย...ไม่น้อยเลย...
“คุณหนูรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ ขมวดคิ้วแน่นเชียว หน้าก็ดูแดงๆ แปลกๆ ” สาวใช้นางหนึ่งถามด้วยความเป็นห่วง
“ปวดหัวนิดหน่อยค่ะ ไม่เป็นอะไรมากหรอก” พอเห็นพวกสาวใช้เงียบไป อัยน์นาก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่ดูเหมือนจะทำลายบรรยากาศการพูดคุยเมื่อครู่ “เมื่อครู่ เห็นว่าใครจะมาที่นี่นะคะ” เธอถามเพื่อดึงทุกคนกลับเข้าสู่ประเด็นสนทนา
“ช่างตัดเสื้อค่ะ แต่พวกเราเดาว่าท่านไซรัส เจ้าของกิจการรูปงาม อาจจะเดินทางมาพร้อมกัน” สาวใช้นางหนึ่งตอบน้ำเสียงสดใส
ดูท่า สาวใช้รายนี้จะชื่นชม ‘ไซรัส’ น่าดู
“รูปงามแค่ไหน เทียบกันแล้ว ก็คงไม่ดีเท่าท่านเลขานุการกรมการคลัง คาร์ล วิลส์ตัน รายนั้นพรั่งพร้อมทั้งรูปกาย เงินทอง และยศศักดิ์” สาวใช้อีกนางที่ดูท่าจะปลื้มคนที่เอ่ยถึงมากกว่า แย้งด้วยน้ำเสียงเคลิบเคลิ้ม
“คนที่ท่านหญิงแอนนาเบลละเมอหาน่ะหรือ?”
“ใช่สิ...”
...
...
...
อัยน์นาได้ยินหญิงรับใช้ทั้งสามหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่นาน ถึงแม้จะแยกไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร แต่คนมีไข้ก็ยังฟังเข้าใจและจับความได้ ว่าคนในประเด็นสนทนา เป็นชายเนื้อหอมเพียงใด ที่สำคัญกว่านั้น ดูเหมือนท่านหญิงพริสซิลล่าจะพึงใจในตัวพ่อค้าหน้าใหม่ที่ชื่อไซรัส...ชายที่อาจมาที่นี่พร้อมช่างตัดเสื้อประจำร้าน ในขณะที่ท่านหญิงแอนนาเบลพึงใจ เลขานุการกรมการคลัง คาร์ล วิลส์ตัน ขุนนางหน้าใหม่อนาคตไกลที่เป็นญาติจากต่างแดนของเจ้ากรมการคลัง
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอให้ความสนใจ
คาร์ล...ไซรัส... จู่ๆ ก็ปรากฎตัวขึ้นมาทั้งคู่ แล้วก็ดูจะรุ่งเรืองขึ้นมาในระยะเวลาสั้นๆ ทั้งคู่...
แปลก...แปลกเกินไป... หญิงสาวประมวลเกี่ยวกับสองสมาชิกหน้าใหม่ในแวดวงชั้นสูงในใจ ก่อนจะปล่อยให้กลิ่นกุหลาบหอมกรุ่น และการนวดคลึงจากพวกสาวใช้ ค่อยๆ ปัดเป่าความไม่สบายเนื้อสบายตัวออกไป ทีละน้อย...ทีละน้อย...
“ขออภัย ขอผมอกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่” นี่เป็นคำพูดตัดบทขอปลีกตัวที่ไซรัสมองว่าช่างฟังดูทื่อและเสียมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำหลุดจากริมฝีปาก แต่ตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อตันเกินกว่าจะนึกอะไรไหว“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่าคะ เราติดต่อขอความช่วยเหลือมหาดเล็กขอให้เขาช่วยจัดห้องพักให้คุณดีไหม”“อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อยเท่านั้น” เขาเริ่มนึกถึงสวน นึกถึงต้นไม้รกครึ้ม ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติก็ยิ่งอยากซ่อนตัวมากขึ้นเท่านั้น“ถ้าอย่างนั้น เราออกไปที่อุทยานกลางดีไหมคะ” สิ่งที่พริสซิลล่าเสนอ ตรงใจเขาพอดี “นะคะ เดินออกไปทางประตูตะวันออก แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เดี๋ยวดิฉันจะพาไป”“เปลี่ยนเป็นบอกทางดีกว่าครับ หายไปด้วยกัน ใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี”พริสซิลล่ากัดริมฝีปากอย่างขัดใจ“แต่คุณบอกว่ามึนหัวนี่คะ” เธอจ้องหน้าเขา แววตาบ่งบอกว่าจะไม่ยอมทำตามที่บอกแน่ๆบทจะดื้อ ก็ดื้อดึงขึ้นมาแววตาท่านหญิงผมทองยามนี้ ดูรั้น ไม่ยอมคน คล้ายอัยน์นาอย
“ตาถั่วน่ะสิ” แอนนาเบลถลึงตาใส่ “เถียงคำไม่ตกฟาก แค่ถามว่าฉันทำหายที่ไหนแล้วช่วยกันหาไม่ได้หรือไง นั่นของแพงมากนะยะ”“แล้วคุณพี่ไปทำตกไว้ที่ไหนล่ะคะ”คำถามสั้นๆ จากอันย์นา ทำเอาท่านหญิงคนรองสะอึกหล่อนกลอกตา ก่อนตอบ“ในสวน”“ในสวน...? สวนไหนคะ”“ก็สวนใกล้ๆ นี่น่ะสิ!” แอนนาเบลแหวใส่ “เอาเป็นว่าหล่อนต้องมาช่วยฉันหา เดี๋ยวนี้!” บอกแล้ว คนอ้างว่าทำของหายก็เดินนำเธอมุ่งหน้าเข้าหาอุทยานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ดอก ไม้ดัด และซุ้มไม้เลื้อยนานาชนิดแสงสลัวรางจากเสาติดตะเกียง ส่องให้คุณหนูทั้งสองจากตระกูลแกรนเทรนท์เห็นว่าอุทยานแห่งนี้กว้างขวางจนน่าตกใจ“คุณพี่ไปทำหายบริเวณไหนคะ” อัยน์นาถามหลังกวาดสายตามองไปรอบๆเธอแน่ใจว่าคนอย่างแอนนาเบลไม่มีทางทิ้งงานเลี้ยงหรูหราลงมาที่อุทยานซึ่งทั้งมืดสลัว ทั้งกว้างขวาง ทั้งเงียบเชียบ แบบนี้คนเดียวแน่ แต่ครั้นจะพูดว่ารู้ทัน ประเดี๋ยวพี่สาวจอมโวยวายรายนี้ ก็คงส่งเสียงแหลมแสบแก้วหูปฏิเสธคอเป็นเอ็น กลาย
“คุณจืดชืดจนใครต่อใครอิจฉา...จืดชืดเสียจนผมละสายตาจากคุณไม่ได้”กระทั่งคำพูดเชิงลบแบบนี้ ยังใช้เกี้ยวพาราสีผู้หญิงได้...เชื่อเขาเลยอัยน์นาพยายามเตือนตัวเองว่าชายคนนี้เป็นจอมเสแสร้ง ทั้งที่เกิดขัดเขินขึ้นมาจนแก้มตึง“ข่าวว่าท่านผู้หญิงสั่งตัดชุดราตรีสีฟ้าสดใสให้คุณสวมมางานนี้...เพราะอะไรถึงกลายเป็นสีทองไปได้” จู่ๆ เขาก็ชวนเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเสียอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเรื่องเปล่า ยังมองเสไปทางอื่นชั่วครู่อีกด้วยคุณหนูเจ้ากรมการเมืองไม่ถึงกับรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ทัน เพียงแต่รู้สึกชัดเจน ว่าเขาจงใจพาเธอออกจากบทสนทนาเกี้ยวพาราสีที่ตัวเขาเองเป็นคนเริ่ม ชวนให้สงสัยว่าภายใต้ใบหน้าสวมหน้ากากยิ้มแย้ม เป็นมิตร พ่อค้ารายนี้ คิดอะไรอยู่ในใจท่ามกลางบรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรี อัยน์นาเผลอจ้องมองนัยน์ตาสีดำ นิ่ง นาน“ความลับค่ะ” เธอเลือกตอบสั้นๆ เพราะไม่อยากพูดเรื่องตัวเองให้ใครฟังเกินจำเป็น“น่าเสียดาย ที่ผมจะไม่มีโอกาสทำความรู้จักช่
คิดได้ไม่เท่าไหร่ สายตาคมกริบก็สังเกตเห็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาว รูปร่างสมส่วน สวมชุดสีดำ ขลิบขอบปกคอเสื้อไล่ยาวมาถึงชายด้วยดิ้นเงิน ดูเข้มขรึม น่าเกรงขามเธอจำเขาได้ดี...ถึงวันนี้เขาจะแต่งกายเป็นทางการผิดหูผิดตา แต่นัยน์ตาสีดำกับเส้นผมยาวเหยียดสีเดียวกันและท่าทีทรงอำนาจดุจราชาอย่างนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากพ่อค้าน่าสงสัยวันนี้ไซรัสไม่ได้รวบผมต่ำอย่างทุกที แต่ปล่อยให้มันพลิ้วสยาย ติดจะดูเป็นทรงผมที่ดูสบายๆ เกินเหตุ แต่กลับน่ามองอย่างที่สุดเธอส่งยิ้มให้แล้วเดินตรงไปหาเขาทันที‘วันนี้คุณหนูอัยน์นาก็ยังต้องเป็นมิตรที่ดีต่อไซรัส’ นั่นเป็นสิ่งที่เธอบอกตัวเอง เมื่อเกิดแปลกใจที่สองขาพาร่างกายเข้าใกล้เขาโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดไซรัสเองก็คลี่ยิ้มน้อยๆ ให้เธอเช่นกันภาพเหล่านี้ ทำให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ในวงสังคมพึงพอใจ...นัยว่าหมดคู่แข่งไปอีกราย แต่ไม่ใช่พริสซิลล่าตอนเห็นอัยน์นาเต้นรำกับเจ้าชาย เธออาจจะริษยา แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนนี้ ตอนที่น้องสาวต่างมารดาพุ่งตรงเข้าหาผู้ชายที่เธอพึงใจโดยไม่หยุดคิดเล
นานมากแล้วที่เสียงเพลงหวานซึ้งจากเครื่องสายดังกังวานใสขับกล่อมผู้คน และทำหน้าที่ต่างเสียงบอกจังหวะก้าวขาให้คู่เต้นรำที่เหลืออยู่เพียงคู่เดียวเท่านั้น“เธอเต้นเก่งมาก” คู่เต้นหนุ่มกระซิบแผ่วเบาในจังหวะที่อัยน์นาต้องหมุนตัวเข้าใกล้เขาอย่างช่วยไม่ได้“ไม่หรอกค่ะ เพราะคุณเต้นเก่งมากกว่า” เธอหมายความตามนั้นจริงๆถ้ามีใครมาถามว่าชายตรงหน้าเต้นรำเก่งแค่ไหน อัยน์นากล้าบอกทันทีว่าชายคนนี้เต้นเก่งมาก มากจนสามารถเปลี่ยนให้คนเต้นรำพอได้อย่างเธอกลายเป็นคนที่เหมือนเต้นเก่งได้ในพริบตาอยู่ในวงแขนเขา เธอก็ไม่ต่างจากขนนก ได้แต่ล่องลอยพลิ้วไหวไปตามสายลมทุกฝีเท้า ทุกการก้าวเดิน ทุกท่วงท่าการหมุนที่เขาชี้นำ ทำให้เธอได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานเป็นระยะเวลานี้ ใครต่อใครล้วนไม่กล้าก้าวขาเข้ามาเต้นเทียบเคียง พวกเขาเอาแต่เฝ้ามองเธอกับคู่เต้น...นั่นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดที่สุด“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน” นักเต้นหนุ่มบอกพลางยกแขนส่งให้เธอหมุนตัวใต้การควบคุมอีกครั้ง “
กว่าตระกูลแกรนเทรนท์จะมาถึงประตูท้องพระโรงที่ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงหนนี้ งานเลี้ยงก็เริ่มไปนานแล้วอย่างที่ท่านผู้หญิงว่า สร้างความพึงพอใจให้ท่านผู้หญิง พริสซิลล่า และแอนนาเบลไม่น้อยงานเลี้ยงหนนี้ จัดเป็นงานเลี้ยงเต้นรำอย่างที่อัยน์นาเคยได้ข่าวมันเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ภายในท้องพระโรงกว้างขวางปูพรมสีแดงจัดผู้คนมากมายในชุดหรูหราต่างจับคู่เต้นรำ บ้างก็พูดคุย ยิ้มแย้มผู้คนและการแต่งกายว่าน่าประทับใจแล้ว ต้นเสาและเพดานโค้งสีขาวสลักลายละเอียดอ่อน โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ใจกลางเพดาน สายประดับคริสตัลที่ห้อยทิ้งตัวเป็นสาย ช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน ทหารยืนยามและบริกรในชุดหรูหรา วงดนตรีเล่นสดขนาดมหึมา เครื่องดื่มสีสันแปลกตามากกว่าสิบชนิด ม้านั่งบุกำมะหยี่สีแดงเข้มขาตั้งฉลุลายแบบเดียวกับเพดานดูเรียบหรูรับกับพื้นพรมและผนัง อาหารและของว่างนับร้อยชนิดจัดไว้เป็นคำๆ ประดับประดาด้วยผงสีทองสวยเด่น แต่ละรายละเอียดในงานเลี้ยงล้วนดูสวยงามมีระดับจนไม่อาจนิยามเพียงสั้นๆ ได้ว่า ‘น่าประทับใจ’“เข้าไปตอนนี้ต้องเด่นแน่ๆ ”