หน้าหลัก / วาย / บัญชารักคุณหลวง / อดีตอันขมขื่นที่ถูกดามใจ

แชร์

อดีตอันขมขื่นที่ถูกดามใจ

ผู้เขียน: jalix-ren
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-17 22:30:39

ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน

เด็กน้อยในวัยสิบสองปี เติบโตมาในเรือนหลวงที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์และมารยาทที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ผู้เป็นพ่อของเขา ท่านเจ้าพระยาผู้สูงศักดิ์ คาดหวังให้ลูกชายเดินตามรอยตนเอง สู่เส้นทางราชการโดยไร้ทางเลือก ทุกย่างก้าวของเขาถูกกำหนดไว้หมดสิ้น

วันหนึ่ง ขณะที่เด็กน้อยเดินทางไปต่างเมืองพร้อมบิดา ขบวนเรือของพวกเขาถูกลอบโจมตีโดยศัตรูของบิดา เสียงดาบปะทะ เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกดังขึ้นไม่ขาดสาย เด็กน้อยจำได้ว่าตัวเองถูกจับแยกจากพ่อ ก่อนที่เรือจะคว่ำลงกลางแม่น้ำใหญ่

เขาว่ายน้ำขึ้นฝั่งมาได้ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย แต่ยังไม่ทันได้พักหายใจเต็มปอด พวกโจรที่ตามล่าอยู่ก็ปรากฏตัวขึ้น เปรมหันหลังพิงต้นไม้ใหญ่ หมดหนทางจะหนี ความหวาดกลัวกัดกินหัวใจของเขา เสียงมีดที่ถูกชักออกจากฝักดังขึ้น เขาหลับตาเตรียมรับชะตากรรม

ทว่า...

ร่างของใครบางคนพุ่งเข้ามา เด็กชายตัวเล็กกว่าหลายปี ผลักโจรผู้นั้นจนเสียหลักล้มลง จากนั้นรีบคว้าข้อมือของเขาแล้ววิ่งสุดแรงเกิด เสียงฝีเท้าของโจรยังคงไล่หลังมาไม่ไกล แต่เด็กคนนั้นหาทางพาเปรมมุดเข้าไปหลบในโพรงไม้ใหญ่ ท่ามกลางความมืดที่มีเพียงเสียงหายใจแรงของทั้งคู่ เด็กน้อยได้แต่จ้องมองเด็กชายตัวเล็กตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง

“เจ้า...เป็นใคร?” เขาถามเสียงสั่น

เด็กคนนั้นยิ้มออกมาอย่างทะเล้น แม้จะหอบหนักจากการวิ่ง “ข้าชื่ออิน! เจ้าเล่า เจ้าชื่ออะไร?”

เปรมมองใบหน้าที่เปื้อนดินเล็กน้อยของอีกฝ่าย ก่อนจะค้อมหัวให้อย่างถ่อมตน "เปรม.. ขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้าไว้”

อินหัวเราะเสียงใส “ไม่เป็นไรดอก! เจ้าดูเป็นคนดี ข้าก็แค่อยากช่วย”

วันนั้นเป็นวันที่เปรมไม่เคยลืม ไม่ใช่เพียงเพราะเขาได้รับชีวิตใหม่ แต่เป็นเพราะครั้งแรกในชีวิต เขาได้พบคนที่มองเขาอย่างเท่าเทียม อินไม่สนใจว่าเขาเป็นลูกใคร ฐานะอะไร สนใจเพียงแค่ ‘ตัวเขา’ เท่านั้น และนั่นทำให้หัวใจของเปรมเด็กน้อยวัยสิบสองปี เต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เปรมมักจะแอบหนีออกจากเรือนใหญ่ เพื่อไปหาอินที่หมู่บ้านเสมอ อินเป็นเด็กที่ร่าเริง พูดเก่ง แตกต่างจากเขาที่เงียบขรึมและพูดน้อย ทว่าทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน เปรมกลับรู้สึกมีชีวิตชีวา เป็นครั้งแรกที่เขาได้หัวเราะอย่างอิสระ ได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป

แต่แล้ววันหนึ่ง วันที่เปรมตั้งใจจะไปหาอินเช่นเคย เขากลับไม่พบร่างของอีกฝ่าย เขาถามหาจากพ่อแม่ของอิน สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำตอบที่ทำให้หัวใจเขาเย็นเยียบลงทันที

“เราขายมันให้พวกวิลาศไปแล้ว”

เปรมกำมือแน่น ความโกรธพุ่งขึ้นจนแทบระงับไม่อยู่ ภายในไม่กี่ชั่วยาม พ่อแม่ของอินก็ถูกส่งไปอยู่ในตะแลงแกง ความเกรี้ยวกราดของเปรมในวันนั้นเป็นสัญญาณที่ทำให้ผู้คนในเรือนหลวงตระหนักว่า เขาไม่ใช่เด็กที่อ่อนโยนอีกต่อไป

สิบปีต่อมา เปรมได้พบอินอีกครั้ง...ที่ตลาดทาสของพวกวิลาศ

อินในวัยหนุ่มถูกนำตัวออกมาประมูลขายในฐานะแรงงาน เปรมที่เข้ามาเห็นการขายประมูลครั้งนี้ ได้ใช้เงินจำนวนสิบชั่งเพื่อซื้อตัวอินกลับมา

เขาคิดว่าเมื่ออินกลับมาอยู่ด้วยกัน ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ทว่าความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น อินเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่รวมถึงนิสัยใจคอที่แตกต่างจากวัยเด็กสุดขั้ว อินที่เคยร่าเริงและพูดเก่ง บัดนี้เงียบขรึมและเย็นชา

เปรมพยายามเข้าหา พยายามพูดคุย ทว่าอินกลับเว้นระยะห่างจากเขา ไม่แม้แต่จะมองสบตากันตรง ๆ เปรมเริ่มรู้สึกอึดอัด สับสน และเจ็บปวด

จนกระทั่งวันหนึ่ง...

ในขนาดที่เปรมกำลังสุขสำราญกับการเล้าโลมตัวเองด้วยชื่อของรักแรก อย่างไม่มีอย่างอาย กลับถูกกับได้จากเจ้าของชื่อนั้น แต่ก่อนจะได้อธิบายอะไรให้อินฟัง อีกคนก็วิ่งหนีลงจากเรือน ทิ้งไว้แต่ความรู้สึกเจ็บราวกับมีดกรีดหัวใจ..

ปัจจุบัน

เปรมถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาเหลือบตามองอินที่นั่งฟังเขาอย่างตั้งใจ แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยคำถาม เป็นดวงตาที่สะท้อนถึงความสับสนปนความกังวล อินขยับตัวเข้าไปใกล้เล็กน้อย เอียงหน้ามองเขา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทอแสงวูบไหวราวกับกำลังลังเลอะไรบางอย่างก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา

“แล้วทำไมท่านหยุดเล่าล่ะครับ?”

เปรมมองใบหน้าของอีกฝ่าย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปาก ก่อนที่เขาจะฉวยโอกาสโน้มตัวเข้ามาใกล้ จุมพิตเบา ๆ ลงบนแก้มของอินอย่างฉับพลัน ไรหนวดอ่อน ๆ ของเขาเฉียดผ่านผิวเนียนละเอียด ทิ้งความร้อนวูบวาบเอาไว้ตามทางที่ริมฝีปากสัมผัส

อินสะดุ้งตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่คาดคิดว่าคนตรงหน้าจะทำอะไรเช่นนี้กับเขา

“ค-คุณเปรม! ทำอะไรครับ!?”

เปรมหัวเราะเบา ๆ อย่างพอใจ “ก็เจ้าชะโงกหน้าเข้ามาให้ข้าจุ๊บเอง จะโทษใครได้”

อินหน้าแดงก่ำจนลามไปถึงใบหู เขาขยับริมฝีปากเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ได้เพียงแค่พึมพำเสียงเบา “ท่านนี่มัน...”

เปรมเอนกายลงกับพนักพิงอีกครั้ง มองใบหน้าที่เขินจนทำอะไรไม่ถูกของอินแล้วแอบหัวเราะในลำคอ บรรยากาศรอบตัวอบอุ่นขึ้นทันที ลมเย็น ๆ พัดผ่านเหมือนจะช่วยพัดพาความเศร้าหมองจากเรื่องราวในอดีตไปด้วย

แต่แล้วจู่ ๆ เปรมก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเคร่งขรึมกว่าก่อนหน้า

“ที่ข้ายอมเล่าเรื่องอันน่าอับอายนี่ให้เจ้าฟัง...ก็เพราะข้าคิดว่าเจ้าที่อยู่ตรงหน้าข้าตอนนี้...” เขาหยุดเว้นจังหวะ ดวงตาฉายแววซับซ้อนเหมือนมีอะไรในใจ

“...ไม่ใช่อินคนนั้นของข้าอีกแล้ว”

ถึงเขาจะยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูเศร้าหมอง อินได้แต่มองอย่างสงสัย ก่อนจะถามต่อด้วยเสียงที่แผ่วเบา

“แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช่อิน?”

เปรมมองตรงไปยังอีกฝ่าย ดวงตาคมกริบสะท้อนภาพของอินไว้ในนั้น ก่อนจะตอบเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกมากมาย

“ก็สายตาที่เจ้าจ้องมองข้ามันต่างออกไปน่ะสิ”

อินเอียงคออย่างสงสัย เขาไม่เข้าใจคำพูดของเปรมนัก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยอะไรต่อ เปรมก็โบกมือปัดราวกับไม่อยากขยายความเรื่องนี้ให้มากความอีก

“ช่างเถอะ เรื่องนี้พูดไปก็เหนื่อยเปล่า เอาเป็นว่าระหว่างข้ากับเจ้า คงไม่มีอะไรที่ต้องเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”

เขาค่อย ๆ พยุงตัวเองเดินเข้าบ้าน ทว่าก่อนที่เขาจะก้าวพ้นไป เสียงของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“เราสืบกันดีกว่าว่าใครเป็นคนส่งคนมาทำร้ายข้า จะได้กลับไป—”

คำพูดของเขาขาดหายฉับพลัน เมื่อจู่ ๆ อินก็พุ่งพรวดเข้ามาสวมกอดเขาจากด้านหลัง แรงกอดนั้นแน่นราวกับกลัวว่าเปรมจะหายไป ร่างของเปรมเซเล็กน้อยเพราะไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่เขาจะรับรู้ถึงความรู้สึกชื้นแฉะบริเวณแผ่นหลัง

เปรมตกใจ พยายามดันตัวออกแต่มันไม่เป็นผล อินกอดแน่นจนเขาไม่สามารถหลุดออกไปได้

“เจ้าเป็นอะไร อิน!? ปล่อยข้า!”

เสียงของเขาดูตกใจ แต่ก็แฝงไปด้วยความห่วงใย อินสะอื้นฮักอยู่ด้านหลัง ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านราวกับกำลังกลัวบางสิ่งบางอย่าง ดวงตาที่เคยสดใสกลับหม่นหมอง น้ำตาร่วงเผาะลงบนแผ่นหลังของเปรมอย่างห้ามไม่อยู่

“อย่าหันหลังหนีเลยนะครับ...” เสียงของอินสั่นเครือเต็มไปด้วยความวิงวอน

“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ผมแค่รู้สึกว่าห้ามทิ้งคุณไป ห้ามปล่อยให้คุณโดดเดี่ยว...”

เปรมชะงักไปกับคำพูดของอีกฝ่าย เขารู้ว่าอินคงสับสนไม่น้อย แต่ที่ทำให้เขาต้องเงียบไปจริง ๆ คือคำพูดถัดมาของอิน

“ผมเชื่อว่าอินไม่ได้รังเกียจคุณ อินเขาแค่ไม่มีโอกาสมาบอกเท่านั้นเองครับ!!”

เปรมเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงที่อ่อนลง “เจ้าไม่ใช่อินที่ข้ารู้จักเลยจริง ๆ สินะ...”

เขาค่อย ๆ หันกลับไป แล้วกอดปลอบโยนร่างของอินที่ร้องไห้ฟูมฟายราวกับเด็กน้อยที่ถูกทอดทิ้ง อินซุกหน้าลงบนอกของเขา ร่างสั่นไหวไม่หยุด เสียงสะอื้นยังคงดังอยู่ข้างหู

อินพูดต่อด้วยเสียงที่เบาจนแทบจะเป็นเพียงกระซิบ “ถึงผมจะไม่ใช่อิน...แต่ผมก็เชื่อว่าอินรักท่านครับ”

เปรมนิ่งไป ดวงตาฉายแววสับสนปนเจ็บปวด ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ มือเรียวค่อย ๆ ยกขึ้นลูบหลังของอินอย่างปลอบโยน ความอ่อนโยนที่เขามอบให้ในตอนนี้...ช่างแตกต่างจากสิ่งที่เขาตั้งใจไว้ในตอนแรกโดยสิ้นเชิง

อินที่กอดเขาแน่น จมูกแทบฝังลงไปกับซอกคอขาว เลยได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ทำให้เขาใจเย็นลงอย่างน่าประหลาด

เปรมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แม้จะเต็มไปด้วยความขมขื่น “โอ๋ ใจเย็นก่อนสิ...ไม่ร้องนะ ไอ้เด็กบ้า”

เขาพูดไปก็ขำไปกับภาพตรงหน้า ภาพของลูกหมาตัวโตที่กำลังอ้อนวอนให้เขาอยู่เคียงข้าง...ภาพของใครบางคนที่อาจเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในใจของเขา...แม้จะไม่ใช่อินที่เขารู้จักก็ตาม

เปรมทอดสายตามองธีรัชที่ในที่สุดก็สงบลงจากอาการร้องไห้ฟูมฟาย ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงมีร่องรอยความเศร้าเจือจาง ทว่าแววตาของเขากลับแน่วแน่ขึ้น

“ผมมีอะไรจะบอก” ธีรัชเอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่ว แต่น้ำเสียงนั้นจริงจัง

เปรมเลิกคิ้ว รอฟังอย่างสงบ “ว่ามาสิ”

ธีรัชสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่ลังเล “ผมไม่ใช่อินก็จริง ผมมีชื่อนะครับธีรัชน่ะชื่อผม ผมมาจากอนาคต อีกร้อยกว่าปีข้างหน้า”

" เอ่อ..กาลข้างหน้าน่ะ "

เปรมกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะระเบิดหัวเราะ “ว่าไงนะ? เจ้าหมายถึงว่าเจ้าหลุดมาจากกาลข้างหน้า? นี่ข้าควรไปหาหมอผีมาช่วยไล่เจ้าออกจากร่างอินหรืออย่างไร?”

ธีรัชกลอกตา “ไม่ใช่แบบนั้น! ผมไม่ได้เป็นผีหรืออะไรทั้งนั้น ผมเป็นคนจริง ๆ แค่...บังเอิญมาอยู่ที่นี่”

เปรมยังคงจ้องเขาเหมือนไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือแค่เล่นสนุก แต่สีหน้าของธีรัชไม่มีแววล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

“งั้นเจ้ามาจากอนาคตจริง ๆ เหรอ? โลกในอนาคตเป็นยังไง เล่าให้ข้าฟังที” เปรมเริ่มสนใจขึ้นมา

ธีรัชมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “คุณรู้ไหมว่าในอนาคต ไม่มีใครต้องมานั่งจุดตะเกียงให้ยุ่งยากอีกแล้ว”

เปรมขมวดคิ้ว “ไม่มีตะเกียง? แล้วพวกเจ้าทำอย่างไรในยามค่ำคืน?”

“เราใช้ไฟฟ้า” ธีรัชอธิบาย “กดแค่ปุ่มเดียว ไฟก็สว่างทั้งบ้าน”

เปรมอ้าปากค้าง “ตลกแล้ว! จะมีแสงได้โดยไม่ต้องจุดไฟได้อย่างไร? แบบนี้ผีมันก็ออกอาละวาดกันทั้งวันสิ!”

ธีรัชหัวเราะลั่น “ไม่เกี่ยวกับผีเลยครับ มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์”

เปรมยังคงทำหน้าสงสัย แต่ก็ตั้งใจฟังอย่างจริงจัง “เอาเถอะ ๆ แล้วในโลกอนาคตของเจ้ามีอะไรอีก?”

ธีรัชยิ้ม ก่อนจะเริ่มเล่าต่อ “เราไม่ต้องใช้ม้าหรือเรือเดินทางไกล ๆ แล้วนะ เรามีรถยนต์ที่วิ่งได้เองโดยไม่ต้องมีสัตว์ลาก”

เปรมเบิกตากว้าง “โกหก! ม้ากับเรือเป็นสิ่งเดียวที่พามนุษย์เดินทางได้เร็วที่สุด ถ้าไม่มีม้า แล้วพวกเจ้าจะเดินทางยังไง?”

“เรามีเครื่องจักรครับ” ธีรัชพยายามอธิบาย “มันวิ่งเองได้ด้วยน้ำมันหรือพลังงานไฟฟ้า แถมเร็วกว่าม้าหลายเท่า”

เปรมยิ่งทำหน้าตกใจหนักขึ้น “แล้วอย่างนี้พวกเจ้าจะดูแลม้าไปทำไม? ม้าคงตกงานหมดสิ!”

ธีรัชหัวเราะลั่นอีกครั้ง “ใช่ครับ ม้าเลยกลายเป็นสัตว์เลี้ยงแทน”

เปรมส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อ “นี่ข้ารู้สึกเหมือนเจ้ากำลังเล่านิทานหลอกเด็กอยู่เลย”

ธีรัชยักไหล่ “งั้นลองคิดดูนะ ถ้าในยุคของคุณมีคนบอกว่าคุณจะสามารถคุยกับใครก็ได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องส่งจดหมาย คุณจะเชื่อไหม?”

เปรมทำหน้าเอือม “เจ้าหมายถึงอะไร?”

“เรามีโทรศัพท์มือถือครับ แค่กดเบอร์ ก็คุยกันได้เลย ไม่ต้องรอเป็นเดือนเหมือนส่งจดหมาย”

เปรมอ้าปากพะงาบ ๆ “นี่เจ้าหลอกข้าแน่ ๆ แล้ว!”

ธีรัชหัวเราะจนตัวงอ “ไม่หลอกครับ จริง ๆ”

เปรมจับคางตัวเอง คิดหนัก “แล้วโลกของเจ้ามีอะไรแปลก ๆ อีกไหม?”

ธีรัชยิ้มเจ้าเล่ห์ “เรามีเครื่องบินด้วย บินบนฟ้าได้เร็วกว่าเหยี่ยวเสียอีก”

เปรมหมดคำจะพูดไปแล้ว “ข้าเริ่มจะเวียนหัวกับเรื่องที่เจ้าพูดแล้วนะ”

ธีรัชขำพลางตบบ่าเปรมเบา ๆ “เอาน่า คุณเองก็เล่าเรื่องยุคนี้ให้ผมฟังบ้างสิ”

เปรมมองธีรัช ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “ก็ดี ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังว่าในยุคของข้า เราใช้ชีวิตกันอย่างไร”

ทั้งสองคนหัวเราะและพูดคุยกันต่อไป แม้จะมาจากโลกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่กลับสามารถเข้าใจกันได้อย่างประหลาด คืนนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และการแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อของทั้งสองยุคสมัย

ค่ำคืนเงียบสงบ แสงจันทร์ทอดผ่านหน้าต่าง ส่องกระทบใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสองที่นั่งสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน เสียงหัวเราะของธีรัชดังขึ้นเป็นระยะ เมื่อเปรมเอ่ยถามถึงโลกอนาคตด้วยความตื่นเต้น และบางครั้งก็ดูจะไม่เชื่อจนต้องหรี่ตามองด้วยความสงสัย

“เจ้าบอกว่า...ในกาลข้างหน้า เราสามารถคุยกันผ่านวัตถุแบน ๆ เล็ก ๆ โดยไม่ต้องส่งนกพิราบหรือต้องเดินทางข้ามเมืองเลยอย่างนั้นรึ?” เปรมเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

ธีรัชพยักหน้าแรง “ใช่ครับ! มันเรียกว่า ‘โทรศัพท์มือถือ’ เอาไว้โทรหากันได้ทั่วโลกเลย”

เปรมทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มบาง “เจ้าหมายความว่า โลกอนาคตไม่มีใครต้องส่งจดหมายยืดยาวให้กันอีกแล้ว?”

“ก็ใช่...” ธีรัชกำลังจะอธิบายต่อ แต่เปรมก็แสร้งถอนหายใจอย่างผิดหวัง

“ช่างน่าเสียดาย” เขาว่า “ข้าว่า...มันคงขาดเสน่ห์ไปไม่น้อยเลยนะ มิใช่หรือ?”

ธีรัชหัวเราะขำ “แล้วท่านคิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของจดหมายล่ะครับ?”

เปรมยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้จนจมูกแทบชนกัน ธีรัชตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ใบหน้าร้อนวูบโดยไม่ทันตั้งตัว เปรมจับจ้องเขาอย่างพิจารณา ดวงตาคู่นั้นสื่อความหมายบางอย่างที่ทำให้ธีรัชใจเต้นแรง

“ก็ตรงที่ต้องรอคำตอบยังไงล่ะ” เปรมกระซิบเสียงนุ่ม “ต้องเฝ้ารอวันแล้ววันเล่า ว่าคนที่อยู่ห่างไกลจะเขียนอะไรตอบกลับมา เหมือนกับความรู้สึกที่ข้ารอคอยจากเจ้าในตอนนี้”

ธีรัชหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก “ค คุณเปรม! ทำไมพูดแบบนี้กันเล่า!?”

เปรมหัวเราะเบา ๆ อย่างพอใจ ทว่าก่อนที่เขาจะทันตั้งตัว ธีรัชก็ใช้มือคว้าจับใบหน้าของเปรม ก่อนจะโน้มเข้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายแรง ๆ พร้อมกอดคอแน่นราวกับกลัวว่าเปรมจะหนีไปเสียก่อน

เปรมสะดุ้ง รู้สึกเหมือนถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว เขาพยายามดันตัวออก แต่ธีรัชกลับใช้แขนล็อกแน่นขึ้นกว่าเดิม

“เจ้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าเด็กบ้า!” เปรมดิ้นพล่าน หน้าแดงจัดขณะที่ธีรัชหัวเราะชอบใจ

“ไม่ปล่อย! ก็ท่านแกล้งข้าก่อน!”

“ข้าแค่พูดดี ๆ! เจ้ามันขี้โกง!”

ธีรัชยิ้มกว้างกว่าเดิม ก่อนจะกระซิบข้างหูเปรมเสียงหวานอย่างล้อเลียน “ทีท่านทำได้ แล้วข้าทำบ้างไม่ได้รึ?”

เปรมชะงัก หัวใจเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเสียแล้ว

ลมยามค่ำคืนพัดผ่านเบา ๆ ทว่าอุณหภูมิรอบกายกลับร้อนขึ้นอย่างน่าประหลาด คนหนึ่งโวยวายปากแข็ง อีกคนหนึ่งเอาแต่หัวเราะชอบใจ และดูเหมือนว่านี่จะเป็นเพียงการเริ่มต้นของการหยอกล้อที่แสนน่ารักระหว่างพวกเขาเท่านั้น

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บัญชารักคุณหลวง   ข้ามาหาแล้วหนา

    หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต

  • บัญชารักคุณหลวง   หวงกลับคืน

    ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน

  • บัญชารักคุณหลวง   ลางสังหรณ์

    แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ

  • บัญชารักคุณหลวง   น้ำเดือดที่ดับไฟกองเล็ก

    แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ

  • บัญชารักคุณหลวง   ภาระที่ต้องแบกรับ

    เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา

  • บัญชารักคุณหลวง   ฝากดูแลแทนข้าที

    หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status