4.ไม่ปรารถนาสะใภ้ที่เป็นลูกอนุ
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าคิดว่าซูหนี่ของเราเหมาะสมกับตำแหน่งว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่ของซีฮันอ๋องมากที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” เจียวเหมยเมื่อเห็นผู้เป็นสามีคล้อยตาม นางจึงเอ่ยคำพูดที่น่าเชื่อถือลงไปอีก อย่างน้อยหากบุตรสาวได้แต่งเข้าจวนอ๋องนางก็จะพลอยมีหน้ามีตาตามไปด้วย
“ไม่ได้นะเจ้าคะท่านพี่!”
ซินหยางแย้งขึ้น หากเปลี่ยนตัวว่าที่ลูกสะใภ้ก็เท่ากับว่าเสวียนหนี่ต้องถูกส่งตัวไปหุบเขาอูยาเป็นแน่นอน นางรู้ดีว่าผู้เป็นสามีหลงใหลในลาภยศ ไม่ได้รู้สึกรักหรือหวงแหนบุตรสาวเลยแม้แต่น้อย มีเพียงระยะหลังมานี้ที่เขามาทำดีกับพวกนางสองแม่ลูกเพราะรู้ว่าซีฮันอ๋องโปรดปรานเสวียนหนี่ถึงขั้นอยากได้มาเป็นสะใภ้
“ท่านพี่ ท่านจะเปลี่ยนตัวไม่ได้เป็นอันขาด อย่าให้ลูกของเราต้องไปหุบเขาอูยาเลยนะเจ้าคะ ข้าขอร้อง... ท่านพี่ได้โปรด!”
ซินหยางคลานเข่าเข้าไปกอดขาของสามีเอาไว้แน่น นางร้องไห้อ้อนวอนขอร้องเขาอย่างน่าสงสาร ในใจของนางรู้สึกเป็นห่วงลูกสาวยิ่งนัก ทว่ามู่เฉินกลับไม่ได้รู้สึกเห็นใจหรือเกิดความสงสารแม้แต่น้อย สีหน้าของเขาบึ้งตึงก่อนจะสะบัดนางออกด้วยความรำคาญ สตรีอ่อนแอและโง่เขลาอย่างซินหยางไม่คู่ควรให้เขาต้องใส่ใจเลยสักนิด
“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ก่อนหน้านี้ข้าได้พูดคุยกับท่านอ๋องไปบ้างแล้ว” มู่เฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำเอาสองแม่ลูกต่างหันมองหน้ากันอย่างฉงน
“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ หนี่เอ๋อร์ของเราขาดคุณสมบัติอันใดไปอย่างนั้นหรือ?” เจียวเหมยถามด้วยความเป็นกังวล
“ท่านอ๋องไม่ปรารถนาลูกสะใภ้ที่เกิดจากลูกอนุ” มู่เฉินมีสีหน้าลำบากใจ เดิมทีเขาเองก็อยากให้ซูหนี่ได้แต่งเข้าจวนอ๋องมากกว่า เพราะบุตรสาวคนรองเป็นเด็กฉลาด อีกทั้งยังมีนิสัยทะเยอทะยานไม่ต่างจากเขาเลยสักนิด ดังนั้นหากนางได้กลายเป็นสะใภ้แผนการของเขาก็คงราบรื่นกว่านี้
“อะไรนะเจ้าคะ ท่านอ๋องไม่ต้องการว่าที่ลูกสะใภ้ที่เกิดจากอนุ?” นางทวนคำเสียงแผ่ว มันจะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร ซูหนี่ของนางเพียบพร้อมหมดทุกอย่าง ไฉนเรื่องมันถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
เจียวเหมยกัดริมฝีปากตัวเองจนเจ็บแปลบ พลางเงยหน้ามองบุตรสาวซึ่งมีอาการไม่ต่างกัน ยิ่งเมื่อได้เห็นสีหน้าโล่งใจของอีกฝ่าย นางก็ยิ่งรู้สึกคับแค้นใจที่พวกมันสองคนแม่ลูกกำลังจะได้ดี แต่กระนั้นนางก็ไม่สามารถกรีดร้องหรือโวยวายได้เลย
เสวียนหนี่หลับไปนานถึงสามวันเต็ม และยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นมา ซินหยางเมื่อเห็นบุตรสาวหลับใหลนานเกินไปเช่นนี้ จึงทำให้นางเริ่มเกิดความกังวลใจ แม้กระทั่งหมอยังไม่สามารถตอบได้ว่าบุตรสาวของนางทำไมถึงยังไม่ฟื้น
มู่เฉินร้อนใจจนแทบนั่งไม่ติด เขารู้สึกกระสับกระส่ายเดินไปเดิมมาในห้องของบุตรสาวหลายรอบ พลันสายตาทอดมองเห็นซินหยางกำลังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดฝ่ามือให้ลูกเขาก็พาลโมโหใส่นางอีกจนได้
“จนป่านนี้แล้วเสวียนหนี่ยังไม่ฟื้นอีก หากท่านอ๋องเปลี่ยนใจไม่อยากได้เสวียนหนี่ไปเป็นสะใภ้ข้าจะให้เจ้าชดใช้
ฮูหยินใหญ่”ระบายอารมณ์จนสาแก่ใจแล้วมู่เฉินก็เดินออกจากห้องไป ซินหยางทำได้เพียงนั่งก้มหน้ารับฟังไม่กล้าโต้เถียงเขาสักครึ่งคำ ภายในใจของนางนั้นมีวูบหนึ่งที่คิดโทษตัวเองไม่ผิดไปจากคำพูดเขา เป็นเพราะนางนั้นดูแลลูกได้ไม่ดีลูกถึงได้รับอันตรายเกือบสิ้นชีพ ซินหยางลูบปอยผมของลูกสาวตัวน้อยอย่างอาวรณ์
จู่ ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้นเสียใจ แต่เมื่อนางฟุบหน้าลงกับฝ่ามือตนเองทันใดนั้นมือเล็กก็ค่อย ๆ เอื้อมมาแตะที่ตัวนาง ซินหยางรีบหันกลับมามองร่างที่นอนอยู่บนเตียงก็พบกับดวงตาใสซื่อของเสวียนหนี่กำลังจ้องมองมาที่นาง“เสวียนหนี่ ลูกฟื้นแล้ว! ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว” ซินหยางอุทานออกมาอย่างดีใจ จากนั้นนางก็พร่ำขอโทษบุตรสาวไม่หยุด ทว่าเด็กหญิงกลับเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา จนคนเป็นแม่รู้สึกแปลกใจ
“เสวียนหนี่เจ้าเป็นอันใดไป” นางกล่าวขึ้นอย่างร้อนรน
“...”
“ส... เสวียนหนี่ เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดกับแม่! หรือว่า... ใครอยู่ข้างนอกไปตามหมอมาที”
ราวหนึ่งก้านธูปต่อมา...
“นางเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ”
มู่เฉินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หลังจากที่ท่านหมอตรวจดูอาการของบุตรสาวเสร็จ แต่ทว่าท่านหมอกลับส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อย พลางทำสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อได้ตรวจดูอาการป่วยของคุณหนูอย่างละเอียด แต่ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
นางคล้ายกับคนเป็นใบ้ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ เห็นเพียงริมฝีปากที่ขยับแต่ไม่อาจเปล่งเสียงออกมาให้ผู้ใดได้ยิน อาจจะเป็นเพราะผลข้างเคียงจากการได้รับพิษแมงมุมสือยี่
เหยียนจึงทำให้นางพูดไม่ได้ ดูจากร่างกายภายนอกนางดูเป็นปกติดีมาก เว้นเสียแต่รอยที่ถูกกัดบริเวณปลายนิ้วชี้ข้างซ้ายยังปรากฎจุดสีแดงหนึ่งจุดไม่ได้จางหายไป“นาง เอ่อ.. ข้าเองก็ไม่ทราบสาเหตุเช่นกันว่าทำไมนางถึงพูดไม่ได้”
“พะ พูดไม่ได้... นี่หมายความว่านางจะเป็นใบ้ไปตลอดชีวิตเลยอย่างนั้นรึ”
ได้ยินดังนั้น จากที่ซินหยางดีใจเหลือล้นว่าลูกสาวได้ฟื้นขึ้นมาแล้วยามนี้หัวใจของซินหยางเหมือนร่วงหล่นลงพื้นตามเดิม สุดแสนเวทนาลูกสาวที่ฟื้นขึ้นมาแล้วกลับพูดไม่ได้เฉกเช่นคนปกติ เสวียนหนี่อายุยังน้อยอยู่แท้ ๆ เหตุใดต้องมาเจอวิบากกรรมมากมายถึงเพียงนี้
“ทำไม! ทำไมเรื่องร้าย ๆ เช่นนี้ไม่เกิดขึ้นกับข้าแทน”
นางพึมพำตัดพ้อโชคชะตาทำให้ประโยคเหล่านี้ไปเข้าหูผู้เป็นสามี แทนที่เขาจะเห็นใจนางกลับโกรธนางเพิ่มเป็นทวี
“ถูกแล้ว ทำไมไม่เป็นเจ้าแทน ทำไมต้องเป็นเสวียนหนี่... ลูกกลายเป็นใบ้อย่างนี้แล้วท่านอ๋องยังจะอยากได้เป็นสะใภ้อีกหรือ บัดซบที่สุด!”
“ไม่ถึงตลอดชีวิตหรอกขอรับ” หมอแย้งขึ้น มู่เฉิน
ค่อย ๆ หันกลับไปมองอย่างมีความหวัง“นางอาจเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น... แต่! แต่ข้าก็ไม่สามารถตอบได้ว่านางจะหายกลับมาเป็นปกติเมื่อใด”
“จริงหรือ”
“ขอรับ อาจจะเป็นหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรืออาจมากหรือน้อยกว่านั้น เอ่อ หรืออาจจะสิบปี ยี่สิบปี ข้าเองก็สุดจะหยั่งรู้”
“แบบนั้นไม่ได้! ถ้าเป็นแบบนั้นท่านอ๋องต้องไม่ยอมรับนางแน่ หากนางถึงวัยต้องแต่งออกไปแล้วยังพูดไม่ได้อยู่อีกข้าจะทำอย่างไรดี”
เวลานั้นท่ามกลางความไม่สบายใจของผู้เป็นบิดามารดา ด้านเจียวเหมยเองก็ได้จูงมือลูกทั้งสองเข้ามาเยี่ยมเยือน เมื่อนางเห็นสีหน้าตึงเครียดของมู่เฉินนางก็รู้ได้โดยทันทีว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
“มีอะไรหรือเจ้าคะ ข้าได้ข่าวว่าเสวียนหนี่ฟื้นแล้วเหตุใดท่านพี่กับฮูหยินใหญ่ถึงได้ทำหน้าเหมือนไม่ยินดี”
“เสวียนหนี่พูดไม่ได้”
“ตายจริง!”
เจียวเหมยอุทานเสียงสูงเหมือนตกอกตกใจ แต่ภายในใจของนางนั้นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง นางดันหลังซูหนี่ไปใกล้ ๆ เตียงแล้วเอ่ยขึ้น
“ช่างน่าสงสารเสียจริง ซูหนี่ดูน้องเจ้าสิ ต่อไปนี้เจ้าต้องทำหน้าที่ดูแลน้องของเจ้าให้ดี น้องช่างอาภัพนัก อายุเท่านี้ต้องเผชิญวิบากกรรมยิ่งกว่าผู้ใหญ่ โธ่! ลูกเสวียนหนี่” พูดจบแล้วนางก็บีบน้ำตาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาสะบัดต่อหน้าซินหยางเพื่อเป็นการเยาะเย้ยแล้วบรรจงซับน้ำตาที่ไม่มีไหลออกมาสักหยด
“ขออภัยเจ้าค่ะฮูหยินใหญ่ เป็นเพราะข้าสงสารเสวียน
หนี่ไม่อาจหักห้ามใจกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลได้เลย”“เอาเถิด.. ทุกคนในที่นี้ต่างก็เวทนานาง”
มู่เฉินวางมือบนไหล่เจียวเหมยเพื่อปลอบประโลม การปฏิบัติต่อภรรยาทั้งสองของเขาช่างต่างกันราวกับฟ้ากับเหว เมื่อหันไปพูดกับเจียวเหมยเขาใช้น้ำเสียงนิ่มนวลเห็นอกเห็นใจ แต่ถ้าหากคนผู้นั้นคือซินหยางทุกคำที่เอ่ยออกจากปากล้วนเป็นถ้อยคำตำหนิติฉินและด่าทอระบายอารมณ์ทั้งสิ้น
“ถ้าเช่นนั้น... เรื่องที่ท่านอ๋องทาบทามลูกเสวียนหนี่ไว้จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่เจ้าคะ”
“ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว ข้าเองก็คงต้องลองคุยกับท่านอ๋องให้พิจารณาซูหนี่ดูอีกครั้ง ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องจบลงแบบนี้แน่”
“จริงหรือเจ้าคะ”
รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเจียวเหมยอย่างไรก็ปกปิดไม่มิด นางไม่อาจหุบยิ้มได้เพราะคิดว่าตนเองน่าจะสมปรารถนาแล้ว แต่การจะให้มู่เฉินไปเจรจาโดยที่นางไม่ต้องออกแรงช่วยซูหนี่เลยเกรงว่าคงจะนิ่งนอนใจเกินไป อย่างไรนางต้องหาแผนการรับรองเอาไว้จะได้ไม่พลาดเป้า
เจียวเหมยคิดเองเออเองว่าที่ซีฮันอ๋องปฏิเสธลูกสาวตนในครั้งแรกเรื่องที่ซูหนี่เป็นลูกอนุนั้นแค่ส่วนหนึ่ง แต่นางก็อุตส่าห์คิดเข้าข้างตนเองว่าหากซีฮันอ๋องได้เห็นความงดงามและความน่ารักของลูกสาวตนอาจจะเปลี่ยนใจได้
“แล้วเสวียนหนี่ล่ะเจ้าคะ”
“ให้นางรักษาตัวไปก่อนก็แล้วกัน ภาวนาต่อโชคชะตาขอให้นางหายเป็นปกติในเร็ววัน”
ที่มู่เฉินพูดทิ้งท้ายไว้ เจียวเหมยแปลความหมายได้ว่าเขาอาจยังอยากรอให้เสวียนหนี่หายเป็นปกติเสียก่อนค่อยไปคุยกับซีฮันอ๋องอย่างเป็นทางการ เห็นเช่นนั้นแล้วเจียวเหมยจึงอยู่ติดเรือนไม่ได้ เช้าวันรุ่งขึ้นนางได้พาซินแสผู้หนึ่งเข้ามาในจวนแล้วเดินเข้ามาหามู่เฉินที่กำลังนั่งทำหน้ากลุ้มใจอยู่ในห้องอ่านตำรา
ซินแสที่เจียวเหมยพามาแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาว อายุของเขานั้นเทียบได้เท่ากับพ่อเฒ่าวัยใกล้ฝั่งหนวดเคราขาวหงอก ใช้ไม้เท้าพยุงตอนเดินและสะพายย่ามที่ข้างในเต็มไปด้วยตำราโบราณท่าทางดูน่าเชื่อถือ เจียวเหมยลงทุนควักเงินในถุงผ้าตนเองเพื่อว่าจ้างซินแสรายนี้มาเฉพาะกิจด้วยเงินค่าจ้างที่สมน้ำสมเนื้อ
“ท่านพี่เจ้าคะ”
“มีอะไร”
“ท่านนี้คือซินแสเจิ้ง ข้าเห็นว่าช่วงนี้ตระกูลฉู่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นมากมายข้าจึงเชิญซินแสเจิ้งมาตรวจดูดวงชะตาของคนในบ้าน หากเกิดอะไรขึ้นมาจะได้มีแนวทางระวังตัว" เจียวเหมยพูดขึ้น
“เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ”
"เจ้าค่ะ เมื่อคืนนี้ข้ารู้สึกเป็นกังวลจนนอนไม่หลับ อีกทั้งยังเป็นห่วงเสวียนหนี่ด้วย... คิดไปแล้วนางช่างน่าสงสารเหลือเกิน สิ่งที่ข้าพอจะทำเพื่อนางได้เห็นทีจะมีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น ให้ซินแสตรวจดวงชะตานาง เราเองที่เป็นพ่อเป็นแม่จะได้รู้ไปว่าเสวียนหนี่จะหมดวิบากกรรมเมื่อใด นางจะได้หายแล้วกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติ"
“เจ้าช่างมีเมตตาต่อนางนัก ห่วงใยใส่ใจเสวียนหนี่เสียยิ่งกว่าแม่แท้ ๆ ของนางเสียอีก เอาเถิด! ไหน ๆ เจ้าเองก็อยากช่วยเหลือนางด้วยใจบริสุทธิ์ เช่นนั้นก็จงพาซินแสผู้นี้ไปตรวจดูดวงชะตาเสวียนหนี่เถิด”
“เจ้าค่ะ”
จับกดย่างเข้าสู่ชุนเทียนกลีบบุปผาร่วงหล่นอำลาต้นสู่พื้นดินเผยให้เห็นยอดอ่อนใบใหม่ที่กำลังจะแตกออก สีของยอดอ่อนนั้นแลดูเขียวขจีน่าชื่นชมไม้บางชนิดได้ทิ้งใบแต่คงไว้ซึ่งดอกที่กำลังบานสะพรั่งทิวทัศน์งามแต่งแต้มด้วยสีสันสรรสร้างโดยธรรมชาติบรรยากาศบริเวณนี้น่าชื่นชมไม่ยิ่งหย่อนไปจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าตามจินตนาการของผู้คน กลิ่นอายลมหวนพัดโชยมาคละคลุ้งกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ทำให้เพียนเพียนสูดหายใจไปเต็มปอดเสวียนหนี่มองเด็กหญิงตัวน้อยแล้วอดที่จะแย้มยิ้มตามไม่ได้ ตอนที่นางอายุเท่าเพียนเพียนนั้น ถึงแม้จะเติบโตในชนบทแต่ทว่าทิวทัศน์รอบกายไม่ได้สวยงามมากมายเพียงนี้ ในยุคโบราณผืนป่ายังคงความอุดมสมบูรณ์ในขณะที่บ้านเกิดของเสวียนหนี่ในยุคปัจจุบันเริ่มมีการตัดต้นไม้มาสร้างตึกรามบ้านช่องจนเขาบางลูกกลายเป็นเขาหัวโล้นไปแล้ว“เพียนเพียน”“เจ้าคะ”“อีกเพียงร้อยลี้ก็จะถึงจุดหมายปลายทางของพวกเราผ่านเขาลูกนั้นไปก็เข้าเขตหุบเขาอูยาแล้ว”
ทิ้งเด็กไว้แล้วไปต่อถึงแม้มารดาของเด็กจะยังไม่มาตามนัด แต่ถานถานและเสวียนหนี่ไม่อาจทนรอจนฟ้าสางได้ถานถานควบเกวียนเข้ามาในตลาด พอถึงแหล่งชุมชนเขาอุ้มเด็กลงจากเกวียนแล้วปล่อยให้นางยืนโดดเดี่ยวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตรงนั้นด้วยความสงสารเสวียนหนี่พยายามขอร้องเขาแต่ถานถานก็ไม่คิดจะใจอ่อน“พื้นฐานจิตใจของท่านข้าคิดว่าไม่ใช่คนใจร้าย”“เจ้าจะไปรู้ดีกว่าข้าได้อย่างไร”“ท่านไม่สงสารนางหรือเจ้าคะ”“ไม่ ออกเดินทางได้แล้ว เราเสียเวลามามากพอแล้ว”“...”เขาบอกให้นางขึ้นเกวียนแล้วตนเองก็เข้าไปนั่งประจำที่ของตน ก่อนจากไปเสวียนหนี่ไม่ยอมละสายตาจากเด็กน้อยที่กำลังยืนร่ำไห้ชีวิตต่อจากนี้ไปจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ ที่เสวียนหนี่ทำได้คือช่วยให้นางมีลมหายใจต่อ แต่เสียใจที่ไม่อาจช่วยได้ตลอดรอดฝั่งเกวียนของทั้งสองออกจากจุดนั้นไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่โรงพนัน เสวียนหนี่ชะเง้อมองเข้าไปข้างในเห็นผู้คนม
รับบทคนขุดสุสาน“โมโหขนาดนี้อย่าบอกนะว่าเจ้าจะช่วยนาง”ถานถานดึงแขนเสวียนหนี่เข้ามากระซิบกระซาบถามเป็นครั้งที่สอง“ตาแก่ถาน ท่านพอจะช่วยลูกของนางได้หรือไม่เจ้าคะ”“เหอะ อย่าฝัน”หลังอาทิตย์อัสดงที่สุสานบรรพชนตระกูลผิง“เจ้าบ้าไปแล้วรึ ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดยังจะแส่หาเรื่องอีก”เขาตำหนินางด้วยน้ำเสียงที่เบาพอสมควร บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดวังเวง ท้องฟ้ายามนี้สิ้นแสงไปได้ระยะหนึ่ง เสียงสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืนดังหวีดหวิวน่าหวาดกลัวในขณะที่ทั้งสองเดินตามทางรกร้างแคบ ๆ เสวียนหนี่เกาะชายผ้าชายแก่ไว้เพราะรู้สึกกลัวจนขนหัวลุก ทุกย่างก้าวของนางสั่นเครือเกือบจะก้าวต่อไปไม่ไหวสำหรับถานถานไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นกลัวอะไรเลยเพราะในบางวันที่เขาเข้าป่าไปหาตัดไม้ก็มักจะนอนกลางป่ากลางเขาเป็นเรื่องปกติไม่ว่าจะในสุสานหรือพงไพรล้วนบรรยากาศอึมครึมไม่แพ้กัน สัตว์ป่าที่ส่งเสียงน่ากลัวใ
เจ้าสาวผีเข้าสู่วันที่สิบของการออกเดินทาง เสบียงที่นำติดตัวมานั้นเริ่มร่อยหรอเต็มที เสวียนหนี่ก้มลงมองถุงผ้าที่นางห่อเสบียงแล้วมองไปรอบ ๆ ข้างทางที่ผ่านมานั้นไม่มีลำธารหรือบ่อน้ำให้เห็น เป็นเพราะเส้นทางที่เขาพามาไม่ได้สะดวกอย่างเช่นที่เขาได้บอกไว้ก่อนหน้าฉะนั้นการหาเสบียงเพิ่มจึงเป็นปัญหาหลักของการเดินทางครั้งนี้“ตาแก่ถาน ข้ากระหายน้ำ”“แถวนี้ไม่มีน้ำหรอก อดทนอีกหน่อย พ้นจากตรงนี้ไปราวยี่สิบลี้น่าจะมีน้ำตกถ้าข้าจำไม่ผิด”“ยี่สิบลี้เลยหรือเจ้าคะ”ในขณะที่เสวียนหนี่กำลังหดหู่สิ้นหวังสายตาของนางเหลือบไปเห็นป่าไผ่ข้างทาง นางชี้มือไปที่ป่าไผ่พร้อมบอกเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ“ตาแก่ถาน นั่นป่าไผ่เจ้าค่ะ”“ป่าไผ่แล้วอย่างไร”“ข้าหิวน้ำ ในต้นไผ่มีวุ้นสามารถกินแก้กระหายได้”“เจ้าก็ว่าไปเรื่อยคุณหนูอย่างเจ้าจะไปรู้เรื่องของป่าได้อย่างไร”เขาหัวเราะนางอย่างขำขัน แต่ก็ยังดึงบังเหียนบังคับล่อให้หยุดเมื่อจอดสนิทแล้วเสวียนหนี่กระโดดลงมาจากเกวียน&nb
ผ่านด่านเมืองหลวงเช้าวันรุ่งขึ้น เสวียนหนี่ตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงร้องของสัตว์บางชนิดนางลุกขึ้นจากเตียงไม้ไผ่ผุพังในกระท่อมของถานถานแล้วเดินออกมาขยี้ตาดูที่หน้ากระท่อมนั้นถานถานกำลังจูงล่อมาหนึ่งตัว ล่อตัวนี้ลักษณะดี แข็งแรงเหมาะแก่การใช้เป็นพาหนะในการแบกขน เจี่ยนถานถานมัดมันไว้กับเสาหน้าบ้านแล้วเดินมาดื่มน้ำดื่มท่าให้หายเหนื่อย“ท่านเอามันมาจากที่ใดเจ้าคะ”“ซื้อมา”“เอาเงินจากไหนไปซื้อมา”“ก็ปิ่นปักผมกับต่างหูนั่นอย่างไรอ้อมีแหวนด้วย”“ปิ่นและต่างหูของข้าท่านเอาไปตอนไหน”“ตอนเจ้าหลับ”คราวนี้เป็นเสวียนหนี่บ้างที่เป็นฝ่ายกัดฟันกรอดอย่างเหลืออดนางอยากจะกรีดร้องออกมาดัง ๆ แต่ก็ระงับสติได้ทันกลัวว่าถานถานจะไม่พานางไปหุบเขาอูยาเขายังดื่มน้ำในถุงหนังสัตว์อย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อนในขณะที่เสวียนหนี่ตอนนี้โมโหสุดขีดเพราะได้กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวโดยสมบูรณ์ความต
วัดใจกันไปเลย!“เห็นทีว่าท่านคงไม่อยากใช้ชีวิตอิสระอีกต่อไปแล้ว ก็ดี...เรียกทหารมาเลย”“เจ้าพูดอะไรของเจ้ากัน”“ทาสสินะ ทาสที่หลบหนีเสียด้วย”ถานถานหน้าถอดสี ความลับที่เขาเก็บซ่อนมานานนับสิบปี แม่นางผู้นี้รู้ได้อย่างไรกัน มาถึงตอนนี้เสวียนหนี่ไม่ได้เป็นรองเขาอีกต่อไป นางละสายตาไปยังกลุ่มทหารที่กำลังตรงมาหา เห็นท่าทีตื่นกลัวของถานถานนางยิ่งมั่นใจว่าตนเป็นฝ่ายเหนือกว่าบอกเขาต่ออย่างไม่เกรงกลัว“ทหารมานู่นแล้ว ข้าจะไม่หนี แต่ท่านกล้าวัดใจกับข้าหรือไม่เจ้าคะ”“เจ้าขู่ข้างั้นรึ”“ตัวข้านั้นรอดจากความตายมาหลายครั้ง ความตายหาใช่สิ่งน่ากลัวสำหรับข้าไม่ ตายแล้วก็หลุดพ้นแล้ว ๆ กันไป แต่ท่านนี่สิข้าดูก็รู้ว่าท่านโหยหาชีวิตอิสระเพียงใดหากถูกจับกลับไปเป็นทาสรองมือรองเท้าพวกขุนนางชั่วช้าอายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้วถูกทรมานโขกสับทั้งเช้าเย็นจะตายก็ไม่ได้ตายท่านว่าชีวิตที่เหลือของข้ากับท่านใครจะน่าเวทนาก