แชร์

เป็นเมียหมอผี บทที่ ๒ (๓)

ผู้เขียน: Madam Hangover
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-02 00:03:11

“ใช่แล้วไอ้แก้ว อีปิ่น หญิงผู้นี้หลงอยู่กลางป่ากล้วย มาขอที่พักที่หมู่บ้านข้าในหนึ่งคืน”

“ในที่สุดหมู่บ้านของเราก็มีแขกมาเยี่ยมเยือนเสียที!” เด็กหัวจุกเปลือยกายแสดงสีหน้าดีใจออกมาพลางกระโดดโหยงๆ สีหน้าของแพรวพราวที่มองเหล่าเด็กน้อยนั้นยิ่งยากจะอธิบาย ยิ่งเมื่อชายที่ซ้อนคชสารด้านหลังเน้นย้ำว่าที่นี่คือศรีอโยธยา แม้เป็นแค่รูปประโยคสั้นๆ แต่ชวนให้หล่อนตื่นตัวสิ้นดี

นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่!

แพรวพราวฉลาดพอที่จะเก็บความตกใจระคนสับสนเอาไว้จนกระทั่งชายตรงหน้ากดส้นเท้ากระแทกกลางลำตัวช้างเป็นสัญญาณให้เจ้ากานพลูหมอบลงพร้อมกับลงจากหลังช้างโดยไม่ลืมที่จะรอรับหล่อนลงมาด้วย

คำถามแรกที่ก่อขึ้นภายในใจก็คือ เธอสามารถไว้ใจผู้ชายตรงหน้าได้มากแค่ไหน?

เขาเป็นคนแปลกหน้า และเป็นคนที่เคยรู้จักกับพ่อครูคันศรที่เรียกได้ว่าพยายามรังแกหล่อนทุกวิถีทางแถมยังหลอกให้ฝ่าดงกล้วยจนฟ้ามืด สุดท้ายจะไม่หลงเป็นพวกเดียวกันหรือไง

แต่คิดว่าหล่อนมีทางเลือกมากแค่ไหนกัน?

กระท่อมหลังเล็กนั้นเต็มไปด้วยเทียนไขที่ถูกจุดให้สว่างในยามค่ำคืน ตะวันตกดินแล้วฟ้าก็มืดครึ้ม หมู่บ้านที่ตั้งอยู่กลางป่านั้นเต็มไปด้วยเสียงร้องของจิ้งหรีดระคนสุนัขป่าที่หวีดร้องโหยหวน หรือที่เรียกกันในภาษาชาวบ้านว่าหมามันกำลังหอนนั่นล่ะ แพรวพราวรู้สึกหวาดกลัวมาก ทั้งๆ ที่นั่งกินข้าวเหนียวกับเนื้อสัตว์อยู่กลางแสงเทียนที่ส่องสว่างท่ามกลางความสนใจของเด็กหัวจุกชายหญิงทั้งสอง ก็มีสายตาของผู้ชายที่ช่วยเธอออกมาจากป่ากล้วยนั้นจ้องมองมาด้วย

“แม่หญิงจักบอกว่าตนมิใช่คนในยุคนี้งั้นรึ?” นั่นคือคำถามแรกหลังจากที่หล่อนตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดระหว่างที่กำลังนั่งกินข้าวกับเขา มันไม่ได้เกิดจากความเชื่อใจแต่เพราะสถานการณ์บีบบังคับ ซึ่งกว่าหญิงที่อยู่บนกระท่อมจะปรุงอาหารเสร็จ ฟ้าก็มืดครึ้มเสียแล้ว พรานสมิงเลยจุดเทียนปักรอบๆ เนื่องจากที่นี่กันดารจนไม่มีไฟฟ้าหรือแม้แต่แสงตะเกียง กลางหมู่บ้านมีประชุมกองเพลิงอยู่ น่าแปลกที่คนในหมู่บ้านนี้รวมตัวกันแอบมองหล่อนจากกองไฟ แต่ไม่ได้เข้ามารบกวนอะไร

ความรู้สึกแรกคือมันแปลกพิกล และไม่น่าไว้ใจ แต่เธอไม่มีทางเลือกจริงๆ

“ฉันไม่รู้นะคะว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ความทรงจำสุดท้ายคือฉันตกลงมากลางอากาศ แล้วก็สติก็หลุดลอย มารู้สึกตัวอีกทีที่นี่ก็ไม่ใช่โลกที่ฉันเคยอยู่อีก”

เกิดความเงียบชั่วอึดใจ ชายผู้นั้นโพล่งออกมาหนึ่งคำ

“คงกลัวมากเลยสิหนา”

เมื่อได้ยินประโยคนั้นสาวเจ้าที่กำลังจกข้าวเหนียวกับเนื้อหมูป่าทำทีเป็นแข็งแรงดีก็น้ำตาร่วงเผาะ พูดตามตรงหล่อนเป็นผู้หญิงที่ตรงไปตรงมา มั่นใจในตัวเอง แต่เมื่อยามสับสนก็มีมุมที่อ่อนแอเหมือนกัน

“ฮึก สรุปก็คือฉันตายไปแล้วใช่ไหม นี่มันไม่ใช่ตัวฉันใช่ไหม” ว่าพลางก้มลงมองร่างกายของตัวเอง นิ้วมือ และทุกสิ่งทุกอย่างยังไงก็ไม่ใช่แพรวพราวคนเดิมอยู่ดี ยากที่จะเชื่อว่าแพรวพราวนั้นรอดชีวิตในโลกที่เธอรุ่งโรจน์

“จักว่างั้นก็ย่อมได้ กายหยาบของแม่หญิงในโลกนั้นสิ้นไปแล้ว ตอนนี้พระพุทธองค์ให้ชีวิตใหม่แก่แม่ เพื่อให้แม่หญิงมาชดใช้กรรมในชาตินี้ อย่างไรก็อดทนไว้จนกว่ากรรมที่สร้างไว้จักถูกชดใช้จนเสร็จสิ้นเถิด” อีกฝ่ายว่าด้วยท่าทางนิ่งสงบกว่าปรกติ ทั้งที่ก่อนจะมาถึงหมู่บ้านก็ดูสดใสดีอยู่แท้ๆ

แพรวพราวหยุดสะอื้นไห้ ความสงสัยในตัวเขายังก่อตัวขึ้นอยู่เรื่อยๆ

“... แล้วทำไมนายถึงรู้ได้ล่ะว่าฉันเป็นใครมาจากไหน?” เพราะเกิดความรู้สึกแปลกใจจึงโพล่งขึ้นมาพร้อมด้วยน้ำตาที่อาบนองดวงหน้างาม พรานสมิงที่จ้องมองหล่อนอยู่ท่ามกลางแสงเทียนจึงกระตุกยิ้มออกมา

“เพราะชายผู้นั้นต้องการให้แม่มาชดใช้กรรมยังไงล่ะ”

สิ้นประโยคนั้น ทั้งกองไฟกลุ่มใหญ่ด้านนอก และแสงเทียนกลับถูกอะไรบางอย่างเป่าให้ดับสนิททั้งหมู่บ้าน เกิดเสียงชุลมุนวุ่นวายขึ้นรอบๆ ของเหล่าชาวบ้านที่กำลังถูกอะไรบางอย่างมุ่งเข้ากัดกินฉีกเนื้อเถือหนัง พอๆ กับเสียงกรีดร้องของแพรวพราวที่หวีดขึ้นทันทีที่ทุกอย่างเข้าสู่ความมืดสนิท ก่อนที่ต่อมาจะถูกชายตัวใหญ่กว่าเอามือปิดปากเอาไว้จนเธอไม่สามารถส่งเสียงอะไรออกมาได้นอกจากเสียงครางอื้ออึงในลำคอ

“เงียบเสีย... แพรวพราว”

“...!!!”

“สิ่งนั้นมันกำลังมา”

นั่นเป็นเสียงกระซิบทุ้มพร่าของพรานสมิงที่เรียกชื่อเล่นในโลกนั้นที่เธอจากมา ก่อนที่นอกกระท่อมจะได้ยินเสียงคำรามของอะไรบางอย่างที่น่าขนลุก ร่างเน่าเฟะน่าสะอิดสะเอียนและลำตัวขนาดใหญ่ช้ำเลือดช้ำหนอง ดำเป็นตอตะโกมิต่างจากศพที่ถูกไฟเผากำลังก้าวช้าๆ ด้วยดวงหน้าสยดสยอง เรียวปากกว้างแสยะยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวฟันแหลมคม น้ำลายแฉะเยิ้มรินรดพื้นดินพอๆ กับกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง

เพราะตกอยู่ในความมืด พร้อมกับความเงียบสงัด ร่างเน่าเฟะนั้นค่อยๆ ก้าวผ่านไปจากกระท่อมหลังนั้นพร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพที่โชยมาตามลม

“ฮึก...!” ต่อให้เป็นนางร้ายอันดับท็อปผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่ว่ากี่ฝน แต่พอมาเจอผีตัวเป็นๆ แบบนี้ก็แทบลืมหายใจเหมือนกัน หล่อนรู้สึกช็อกจนเหมือนจะขาดอากาศหายใจคาอ้อมแขนของพรานสมิงในวินาทีนั้น

“มันคือผีกะที่ไอ้คันศรเรียกมาฆ่าแม่ทิ้งในป่าอย่างไรล่ะ” เสียงทุ้มกระซิบอีกครั้งเมื่อพ้นจากสายตาอาฆาตของร่างเน่าเฟะ เขาพึมพำคาถาบางอย่างแต่แพรวพราวได้ยินไม่ถนัดนักเนื่องด้วยอาการช็อกทำให้หน้ามืดหูดับไปหมด ก่อนที่ร่างของเด็กหัวจุกทั้งสองที่อยู่ด้วยกันจะเปล่งแสงหม่นในความมืด เด็กสองคนนั้นก้มลงกราบแนบเท้าของพรานสมิงที่อยู่ข้างกายหล่อน

“ตามบัญชาจ้ะพ่อ”

ร่างเล็กจ้อยนั้นสำแดงอิทธิฤทธิ์แปลงตนเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่โตที่มีดวงตาสีชาด ขู่กรรโชกใส่ร่างสะอิดสะเอียนที่อยู่นอกกระท่อม พร้อมกับพุ่งทะลุกระท่อมที่แพรวพราวกับชายแปลกหน้านามว่าพรานสมิงพำนักอยู่ไปต่อหน้าต่อตา เสียงกัดกินเข้าห้ำหั่นกับตัวตนน่าสยดสยองที่ชื่อว่าผีกะดังขึ้นนอกกระท่อมจนเกิดความชุลมุน

หมับ!

“กรี๊ด”

ร่างของแพรวพราวถูกพรานสมิงช้อนขึ้นอุ้มพร้อมกับพุ่งออกประตู ชายกำยำพึมพำคาถาอีกครั้ง ในขณะที่หล่อนจะเห็นว่าพวกชาวบ้านในหมู่บ้านต่างเปลี่ยนกายเป็นเสือโคร่งแล้วเข้าไปรุมทึ้งขย้ำผีกะตนนั้นอย่างโหดเหี้ยม เหล่าเสือรุมกินซากศพเน่าเหม็นจนเกิดเสียงคำรามโหยหวนสุดท้ายอย่างน่าเวทนา น้ำเลือดน้ำหนองกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณพร้อมๆ กับตับไตไส้พุงของร่างนั้นที่มีหนอนแมลงขึ้นจนน่าขนลุกขนพอง เสือโคร่งทุกตัวฉีกเนื้อยื้อแย่งกันไปมา จนร่างเน่านั้นสลายกลายเป็นฝุ่นผง

“จงไปสู่สุขคติในสัมปรายภพเสีย ผีกะเอ๋ย”

สิ้นประโยคนั้น ร่างเสือโคร่งทุกตัวต่างมลายหายไป พร้อมๆ กับแพรวพราวที่ช็อกจนสติสตังดับวูบลงในทันที

เพล้ง!

เสียงหม้อดินลงยันต์สีชาดแตกเป็นสองส่วน ดวงตาคมกริบเบิกโพลงขึ้นมากลางตำหนักทรง เขาพ่นลมหายใจหนักหน่วง เนื่องด้วยไอ้พรานนั่นมันเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องราวของเขาอีกครา

ไอ้พรานสมิงนั่น

“เหลือเพลาอีกไม่มาก พระยาสิงห์จักมาไถ่ตัวอีแพรวในวันพรุ่ง หากกูมิกำจัดบ่วงนี้ให้สิ้นไป... ชะตากรรมของวาดรักจักมิปลอดภัย” เขาพึมพำกับตนเองด้วยความเคร่งเครียด เพราะวาดรักนั้นเป็นผู้หญิงที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพ่อครูคันศร ในวันที่เขาไม่เหลือใคร หล่อนคือคนเดียวที่ทำให้เขายังอยู่ตรงนี้ วาดรักมอบชีวิตใหม่ให้แก่เขา จนเขาหลวมตัวรักหล่อนอย่างหมดดวงใจ

“พี่จักปกป้องเจ้าจนสุดความสามารถ”

ถ้าความรักคือการเสียสละ เขานี่แหละคือผู้ที่เสียสละให้วาดรักได้ทุกอย่าง ทุกอย่างแม้นกระทั่งยอมให้หล่อนกลายเป็นเมียของคนที่เขาเคารพนับถือที่สุด แม้จักรู้ว่าสักวันท่านผู้นั้นจักทำหล่อนน้ำตาตกในก็ตาม

ปล่อยอีแพรวให้มีชีวิตต่อไปก็ไร้ประโยชน์ บาปกรรมที่นางนั่นสร้างไว้มันหนักหนาเกินกว่าที่จักไถ่บาปได้แล้ว

ผีกะตายโหงโดนกำจัดทิ้งจากฝูงพรายสมิงที่รุมทึ้งซากศพอย่างป่าเถื่อน ส่วนอีแพรวนั้นรอดชีวิตแลกำลังอยู่ในอุ้งมือของพรานสมิง เพื่อนเก่าแก่ของเขา ที่แตกหักกันเพราะเรื่องของผู้หญิงมาก่อน

วาดรักคือ ‘ลูกสาว’ ของผู้หญิงคนนั้น

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๕ (๒)

    นางสมิงพรายที่ตามหามาเกือบทั้งชีวิต ตอนนี้อยู่ตรงหน้าเขา และตกหลุมรักเพื่อนของเขาคงยากที่จะไม่ไขว่คว้าหล่อนมาใกล้ตัว หากแต่หญิงตนนี้ฉลาดนัก หล่อนพร้อมจะไปจากเขาได้ตลอดเวลา เขาเองก็ไม่ต้องการบังคับใจสิ่งที่หมายปอง หวังให้นางตกเป็นบริวารของเขาด้วยความเต็มใจเสียมากกว่าที่หนึ่งของนางตอนนี้คือไอ้คันศรก็แค่เพียงกลับกลายเป็นที่หนึ่งของนางได้ก็พอ เหมือนกับที่เขาเคยเป็นที่หนึ่งของดอกรักแต่ครานี้... เขาจะไม่ละทิ้งสัมพันธ์เพื่อตามหาความฝันอีกแล้วเพราะหล่อนคือความฝันที่เขาต้องการมากที่สุดแต่แพรวพราวไม่ได้รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเธอกำลังตกเป็นที่หมายตาของใครบางคน กลับมาที่ปัจจุบัน เธอกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่นเรือนไม้ รู้สึกเหมือนจะเป็นลมจนแทบล้มพับ แต่ไวกว่าความคิดเมื่อพรานสมิงตรงเข้ามาโอบร่างเธอที่ทำท่าจะทรุดเอาไว้“แม่เป็นกระไรหรือไม่ แข้งขาอ่อนแรงหรือ”“นาย... ทำไมไม่ห้ามฉันเล่า!” พอเห็นว่าอีกฝ่ายเปลือยเปล่าเช่นกันแถมเข้ามากอดร่างล่อนจ้อนของเธอแนบชิดแบบนี้แพรวพราวก็ยิ่งหน้ามานด้วยความอับอาย และพยายามทุบตีเขาด้วยแรงน้อยๆ ที่มี ยังไงคนที่ควรยับยั้งใจก็คือเขา หล่อนไม่ผิด เขาต่างหากที่ผิด “ก็รู้ว่

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๕ (๑)

    แพรวพราวยอมรับนะว่าเสียใจไม่พอ หล่อนยังเสียตัวให้ไอ้พ่อหมอนั่นไปถึงสองครั้งสองคราอีกต่างหาก คราวแรกก็ตอนที่เขาหวังล่อลวงเพื่อกำจัด คราวนี้ก็เพราะเธอไปปลุกปล้ำเขาเสียเอง ความประทับใจแรกเริ่มนั้นไม่เคยมีอยู่ในความสัมพันธ์ของเธอกับเขา แพรวพราวไม่ใช่สาวพรหมจารีย์ตามจารีตประเพณี แต่ถึงแบบนั้นก็ว่ากันว่าผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะใช้หัวใจในการร่วมหลับนอนกับใครสักคน แต่ผู้ชายกลับทำมันราวกับเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวันและเสร็จสมออกมาได้ทั้งๆ ที่เกลียดชังผู้หญิงคนนั้นสุดหัวใจ แค่เพราะถูกกระตุ้นอารมณ์ทางเพศเท่านั้นเองแม้แต่ผู้หญิงที่มีแต่คนต้องการมารุมรักอย่างเธอ ก็ใช้ใจในการร่วมรัก ปะปนกับความหิวโหยที่เพิ่มพูนแบบทวีคูณเช่นกัน เธอไม่ได้หน้ามืดตามัวไปปลุกปล้ำใครที่ไม่ใช่เขา หัวใจเธอมีแต่นับสิบ และเขาที่คล้ายคลึงกันแต่แพรวพราวกลับสับสนกับตนเอง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเธอ หากแต่มันไม่เพียงพอต่อความต้องการเลยสักนิด การสูบพลังชีวิต กินอาคมของพ่อครูยังไม่พอที่จะสนองให้หล่อนรู้สึกพึงพอใจ ดวงตาสีทับทิมวาววับท่ามกลางความมืดมิดของคืนเดือนดับที่ไร้แม้แต่แสงจันทราสาดส่อง ดวงไฟสีแดงก่ำในลูกตาของหล่อน

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๔ (๔) จบตอน

    “ไม่ให้แตกหรอก จนกว่า...” หญิงสาวออกปากหยันเหมือนที่เขาพยายามจะทำกับเธอเสมอมา แต่รู้อะไรไหม ในเวลาที่เขาเข้าไปในตัวเธอนี่แหละ “จะเสร็จในตัวของแพรว อื้อ!”สิ้นคำนั้นหล่อนก็ยืนยันในคำพูดของตนเองด้วยการกลืนกินท่อนจันทน์ของเขาด้วยความนุ่มนิ่มจนกลืนมิดท่อนในจังหวะที่หนักแน่น“อึก...!” มันช่างน่าทุเรศตัวเองเสียยิ่งกว่าเมื่อหล่อนครอบครองเขาเข้าไปจนเต็มฤทธิ์ พ่อครูคันศรกลับรู้สึกเหมือนตนเองกำลังขาวโพลน ว่างเปล่า ความอึดอันทรมานเมื่อคราก่อนหน้าถูกแทนที่ด้วยความสุขสมอันน่าสังเวช ยามเมื่อหล่อนขยับสะโพกเน้นแบบทุกดอกทุกคำจนเขานั้นแทบกระอักจังหวะสะโพกที่บดคลึงผสมผสานกับการกระแทกขึ้นสุดลงสุดนั้นชวนให้นึกทึ่งกับความแข็งแรงและช่ำชองสำหรับการใช้สะโพกของหล่อน ขยับถี่รัวขนาดนั้นกลับไม่มีท่าทางว่าจะเหนื่อย เมื่อยหรืออยากจะหยุด ยิ่งถี่ยิ่งตอดรัดแน่น จนอาคมที่เสื่อมเพราะหล่อนขึ้นครูนั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังสูญเสียตัวตนที่ภาคภูมิใจไปทีละน้อยใช่ หล่อนมันนังปีศาจ เป็นผีพรายตายโหงที่อัปปรีย์จัญไรที่สุดเท่าที่เคยเผชิญหน้ามา หล่อนทำให้เขามัวเมากับโลกีย์จนหลงลืมแม้แต่คำสอนของอาจารย์ที่เคยพูดเอาไว้เขาเคร่งคร

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๔ (๓)

    แพรวพราวไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้เรี่ยวแรงของเธอนั้นมันช่างมหาศาลจนสามารถสะกดหมอผีที่หยิ่งยโสคนนั้นได้จนอยู่หมัด เขาที่เธอนั่งคร่อมอยู่เหนือกว่าด้านบนนั้นมองคนตัวเล็กกว่าด้วยแววตาสั่นไหว วันนี้มันคืนเดือนมืด ดวงตาของหล่อนส่องแสงราวกับทับทิมสีแดงก่ำ“มึง... หยุดประเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นกูจักออกคำสั่งให้พวกผีมาฆ่ามึงอีกครา”“เอาสิ ฉันไม่กลัวผี สู้แรงกันให้ได้ก่อนเถอะ คุณในตอนนี้เสร็จฉันแน่” แต่หล่อนไม่ได้ใส่ใจน้ำเสียงสั่นคลอนนั่นแม้ใจความจะขู่กรรโชกอยู่ก็ตาม ไม่รู้ทำไมรู้สึกเหมือนคืนนี้หล่อนจะเร่าร้อนเป็นพิเศษ กำหนัดจนไม่สนอะไรทั้งนั้นแม้แต่ความกลัว ยิ่งกว่ากินยาปลุกเซ็กซ์เสียอีก มันต้องการสูบพลังชีวิตใครบางคนในยามที่มีความอยากอันร้อนแรงหมับ!ไหล่หนาเปลือยเปล่าแข็งแกร่งถูกมือเล็กจ้อยมือเดียวผลักให้กระแทกกับพื้นหญ้าเปียกชื้นอันเย็นชืด มันไม่สบายตัวเอาเสียเหลือเกิน แต่เขาไม่สามารถสู้แรงหล่อนได้เลย อีแพรวในตอนนี้พละกำลังมหาศาลจนใช้สองมือกดเขาไว้แน่นไม่ต่างกับผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งนังนี่มันมิใช่มนุษย์ธรรมดาแน่ๆ เรากำลังจักเสร็จมัน“ปล่อยกู!”“มาให้ฉันกินเสียดีๆ เถอะค่ะพ่อหมอ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว แล

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๔ (๒)

    การห้ามมีเซ็กซ์ นั้นยากเย็นกว่าการห้ามรักเสียอีกสัมผัสของพ่อหมอคนนั้นที่หล่อนหลงครวญหาจนนึกว่าเป็นนับสิบนั้นหลอกหลอนวนเวียนในหัวไม่หยุดหลังจากถึงเวลาเข้านอน ฝนยังคงตกไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพักเลยสักนิด ความเหน็บหนาวที่ลอดเข้ามาแม้ว่าบานหน้าต่างจะถูกปิดสนิท ไหนจะเสียงฟ้าผ่าเป็นระยะๆ ทำให้แพรวพราวที่นอนหนาวอยู่บนฟูกนอนใหญ่รู้สึกตัวขึ้นมากลางดึกสงัดเมื่อหันไปข้างๆ ก็พบกับร่างกายกำยำใหญ่โตที่นอนร่วมข้างกายหล่อน พรานสมิงปิดเปลือกตา ไม่มีทีท่าจะตื่นนอน เหมือนว่ากำลังหลับสนิทอยู่นะแต่เมื่อนึกถึงแต่ฉากร่วมเพศตลอดค่อนคืนจนถึงขนาดอาจเอาไปเก็บในนิมิตได้ มันทำให้เธอนอนไม่หลับและรู้สึกเสียววูบวาบยุบยิบในท้องน้อย จวบไปจนถึงเส้นทางสวาทที่ไม่ควรเปิดเผยให้คนข้างๆ เลยแม้แต่น้อยพ่อครูคันศรชี้ชัดว่าเกลียดน้ำหน้าเธอขนาดนั้น ถ้าให้บากหน้าไปบอกว่า ‘อยากทำ’ คงไม่น่าไหว แต่ถ้าเป็นคนข้างๆ แล้วละก็...แต่!“ก็ได้นะ แต่กฎของฉันกับนาย คือห้ามแตะต้องตัวกันอย่างเด็ดขาด ห้ามมีเซ็กซ์ และห้ามรักฉันด้วย”หล่อนตั้งกฎบ้าๆ นี่ออกไปแล้วน่ะสิ!จะมากลืนน้ำลายตัวเองคงจะไม่ได้ แม้ว่าในชาติก่อนที่เป็นดาราสาวเธอก็มีวันไนท์สแตนด์

  • เมื่อนางร้ายเกิดใหม่เป็นเมียหมอผีเเห่งกรุงศรีอโยธยา   เป็นเมียหมอผี บทที่ ๔ (๑)

    “ข้าทำตามได้อยู่แล้ว” แต่อีกฝ่ายกลับตกลงรับคำไม่มีข้อกังขาใดๆ ทั้งนั้น เขาไม่ได้มีปัญหากับการอยู่ร่วมชายคาเดียวกับสาววัยแรกรุ่นที่ถ้าเทียบการถือกำเนิดและอยู่บนโลกมนุษย์มาแล้วนับร้อยปี แพรวพราวไม่ต่างอะไรกับลูกหลานเหลนโหลนของเขาด้วยซ้ำไปนั่นทำให้สาวเจ้านึกโล่งใจ อย่างน้อยถ้าได้รับความร่วมมือจากฝ่ายชายอย่างแข็งขัน หล่อนอาจจะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับเขาได้แบบสันติสุขโดยไม่มีการเสียตัวให้กันและกัน คิดดังนั้นจึงตรงเข้าไปในเรือนใหญ่หรูหรา ที่มีห้องหับแบบโบร่ำโบราณแยกกันอยู่สองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นห้องน้ำ อีกฝั่งเป็นห้องหลับนอน ห้องทำกับข้าวน่าจะเป็นการผิงไฟย่างเนื้ออยู่ด้านนอกแบบหมู่บ้านเก่าของเขากระมังโลกนี้น่าจะไม่มีอลาคาสหรูหราแบบที่ทานอยู่เป็นประจำ เธอไหวไหล่อย่างไม่แคร์ ถ้าอยากอยู่รอดในโลกนี้ต้องทนๆ เอา ข้าวเหนียวห่อใบตองก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่นักพูดถึงข้าวเหนียวห่อใบตอง ก็คิดถึงโรเบิร์ตขึ้นมาเลย ตั้งแต่กลับมาไม่รู้ว่ามันหายไปไหน แถมพ่อหมอก็ไม่ได้พูดถึงด้วยโฮ่ง!แต่ทว่านึกถึงไม่ทันไร ก็เกิดเสียงดังอยู่กลางป่ากล้วยเป็นเสียงเห่าของสุนัข แพรวพราวโผล่หน้าออกมาจากบานหน้าต่างฝั่งปีกห้องนอนทั

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status