อาราเลีย เมืองที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งความทันสมัยและประวัติศาสตร์ที่ถักทอเป็นหนึ่งเดียวกัน เมืองนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเซราฟีน แม่น้ำสายนี้ไหลผ่านกลางเมือง แบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่ง เชื่อมต่อกันด้วยสะพานที่มีทั้งความเก่าแก่และความทันสมัย คล้ายกับผสานอดีตและปัจจุบันไว้ด้วยกัน
ย่านใจกลางเมืองเต็มไปด้วยตึกระฟ้าสูงตระหง่าน ท้องฟ้าที่สะท้อนกับกระจกของอาคารทำให้ดูเหมือนว่าตึกเหล่านี้กลืนรวมกับท้องฟ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตึกทั้งหลายเป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำ ศูนย์การค้า และโรงแรมหรู ถนนในย่านนี้ปูด้วยแผ่นหินเรียบเนียน มีทางเดินเท้ากว้างขวาง ต้นไม้ที่เรียงรายตามทางเดินและสวนสาธารณะพร้อมน้ำพุให้ความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย เสียงน้ำกระเซ็นจากน้ำพุและเสียงหัวเราะจากกลุ่มคนที่เดินผ่านไปมาสร้างบรรยากาศที่คึกคักแต่สงบสุข
แต่เมื่อเข้าสู่ย่านเมืองเก่า ถนนแคบ ๆ ที่ปูด้วยหินโบราณและอาคารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นด้วยอิฐแดงและหินสีอ่อนนำพาความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป อาคารเหล่านี้ทรุดโทรมตามกาลเวลา บ้างมีเถาไม้เลื้อยเกาะเต็มกำแพง บ่งบอกถึงความเก่าแก่และเรื่องราวที่ถูกลืม ถนนในย่านนี้คดเคี้ยวและซับซ้อน ทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ทั้งคาเฟ่ขนาดเล็กซ่อนตัวอยู่ในซอกตึก หอศิลป์ที่แสดงผลงานของศิลปินท้องถิ่น และร้านขายสินค้าหัตถกรรมท้องถิ่น ทำให้เมืองเก่าแห่งนี้มีเสน่ห์ที่ไม่อาจหาได้ในย่านอื่น
แม่น้ำเซราฟีนไม่เพียงเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของเมือง แต่ยังเป็นจุดศูนย์รวมของชีวิตและวัฒนธรรมของชาวเมืองอาราเลีย ริมฝั่งแม่น้ำทั้งสองฝั่งมีทางเดินกว้างขวางเหมาะสำหรับการเดินเล่น วิ่งจ๊อกกิ้ง หรือขี่จักรยาน ในช่วงเย็น ทางเดินเต็มไปด้วยผู้คนที่มานั่งพักผ่อน ชมพระอาทิตย์ตกที่สะท้อนกับผิวน้ำเป็นสีทองแซมแดงสวยงาม แสงยามเย็นอาบไล้ทั้งแม่น้ำและท้องฟ้าเป็นภาพที่งดงามจนแทบจะหยุดหายใจ
ผนังตามถนนในเมืองประดับประดาไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังที่บอกเล่าเรื่องราวของเมืองอาราเลีย ตั้งแต่การก่อตั้งเมืองจนถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ ภาพเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงสีสันสดใส แต่แฝงความหมายลึกซึ้ง เป็นการถ่ายทอดความรัก ความสูญเสีย การปรับตัว และการเปลี่ยนแปลงของคนในเมือง งานศิลปะเหล่านี้สื่อสารถึงความเป็นอาราเลียในทุกช่วงเวลา
ยามค่ำคืนของเมืองอาราเลียเต็มไปด้วยแสงสว่างจากแสงนีออนริมทางและแสงไฟจากอาคารต่าง ๆ เสียงเพลงเคล้าเสียงหัวเราะดังมาจากบาร์และร้านอาหาร ต่างคนต่างเต็มไปด้วยผู้คนมาสังสรรค์ผ่อนคลายหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน แต่ในย่านเมืองเก่า แสงไฟนวลตาจากโคมไฟถนนและร้านค้าที่ประดับไฟสลัวให้ความรู้สึกสงบและอบอุ่นเหมือนเวลาย้อนกลับไปในอดีต
เคล ธอร์น เดินไปตามถนนแคบ ๆ ของย่านเมืองเก่า ใจของเขาหมกมุ่นอยู่กับ “สวนรัตติกาล” สถานที่ลับ ๆ แห่งนี้คือที่พึ่งทางจิตใจ ที่เขาใช้หลบหนีจากอดีตที่คอยหลอกหลอน และเป็นสถานที่ปฏิบัติงานในฐานะอัศวินผู้พิทักษ์ของเมือง หน้าที่นี้เป็นความลับที่เขาไม่ได้บอกใคร ความรับผิดชอบนี้ทำให้สวนรัตติกาลมีความหมายมากกว่าคำว่าบ้าน
ขณะที่เลี้ยวตรงมุมถนน สายตาของเขาก็หยุดที่ชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งกำลังวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังบนกำแพงอิฐอย่างตั้งใจ สีสันสดใสบนภาพดูราวกับจะกระโจนออกมามีชีวิต เคลมองดูภาพนั้นด้วยความทึ่ง เป็นภาพที่มีสีสันและรายละเอียดลึกซึ้งราวกับจะสื่อถึงบางสิ่งที่เกินกว่าที่สายตาจะมองเห็น
เคล มีดวงตาสีเขียวสดใสและผมสีดำที่ยุ่งเหยิง เขาสวมแจ็กเกตสีกรมท่าเรียบง่ายแต่มีสไตล์ทับเสื้อเชิ้ตสีขาว คู่กับกางเกงยีนที่ผ่านการใช้งานมานาน ลมพัดผมของเขาขณะเดินเข้ามาใกล้ ความอยากรู้อยากเห็นถูกกระตุ้น
“งานของคุณยอดเยี่ยมมาก” เสียงนุ่มลึกของเขาทำลายความเงียบ
ชายหนุ่มที่กำลังวาดภาพนั้นคือ ริน ศิลปินแนวสตรีทผู้มีพรสวรรค์ในศิลปะอันโดดเด่นและแฝงด้วยความลึกลับ ผลงานของรินได้รับการชื่นชมจากคนในเมืองอย่างยิ่ง แต่รินกลับไม่เคยแสดงตัวหรือพูดถึงตัวเองมากนัก
รินหันไปมองข้ามไหล่ ดวงตาของเขาดูหวาดระแวง รินมีผมสีดำสนิทที่ตกลงมา ดวงตาสีเข้มราวกับซ่อนเร้นความลึกลับเอาไว้ เขาสวมแจ็กเกตหนังสีดำและกางเกงยีนที่มีรอยขาด มือที่กำลังจับแปรงไว้เปื้อนสีเล็กน้อย
“ขอบคุณ ผมแค่ลองเพิ่มความสวยงามให้กับที่นี่” ซึ่งเป็นเสียงที่สดใสเหมือนกับศิลปะที่เขากำลังวาดอยู่
เคลเข้าไปใกล้ ชื่นชมรายละเอียดที่ซับซ้อนของภาพจิตรกรรมฝาผนัง
“ผมชื่อเคล ธอร์น ผมมีสวนอยู่ใกล้ ๆ ที่คุณอาจจะได้รับแรงบันดาลใจจากมัน” เคลหยุดชั่วขณะ ระหว่างมองเข้าไปในนัยน์ตาสีเข้มดวงนั้น ก่อนจะเอ่ยต่อ “คุณอยากเห็นไหม?”
รินลังเล จากนั้นพยักหน้าอย่างช้าๆ “ได้เลย เออ ผมชื่อริน ศิลปิน ริน”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ ริน” เคลยิ้มอย่างอบอุ่น
ขณะที่พวกเขาเดินไปตามถนนคดเคี้ยว เคลทำลายความเงียบด้วยการอธิบายประวัติของอาราเลีย “เมืองนี้เป็นการผสมผสานระหว่างเก่าและใหม่ ย่านใจกลางเมืองเป็นกระจกและเหล็กทั้งหมด แต่ย่านเมืองเก่ามีเสน่ห์ของตัวเอง และบริเวณริมแม่น้ำที่จิตวิญญาณของเมืองส่องประกายจริงๆ”
เคลรู้สึกถึงความขัดแย้งขณะนำรินไปยังสวน การเชิญคนนอกเข้าสวนรัตติกาลโดยเฉพาะในตอนเวลากลางคืนนั้นขัดกับทุกสิ่งที่เขาได้รับการสอนมา สวนนี้เป็นที่พักพิง เป็นสถานที่ที่ต้องการการปกป้องจากโลกภายนอก แต่มีบางสิ่งที่ทำให้เคลรู้สึกว่าสามารถไว้ใจรินได้ และรินเป็นคนที่ควรจะได้ไปที่นั่น
ขณะที่ฟังเรื่องราวของเมืองรินก็พยักหน้า เหมือนเห็นด้วยกับคำพูดของเคล “ผมเข้าใจดี ที่ที่มีประวัติและเรื่องราวซ่อนอยู่ในทุกซอกมุม มันทำให้ผมรู้สึกว่ามีชีวิตชีวาจริง ๆ” รินหยุดชั่วครู่แล้วถาม “สวนของคุณ…มันมีเรื่องราวเช่นนี้ไหม?”
เคลชะงักไปสักครู่ ความรู้สึกหลายอย่างผุดขึ้นในใจ “สวนรัตติกาลเป็นมากกว่าที่ที่สวยงาม” เคลกล่าวช้า ๆ ราวกับมีความลับบางอย่างที่ไม่สามารถบอกได้ทั้งหมด “ผมจะบอกคุณเพิ่มมากกว่านี้ในภายหลัง”
มาร์คัสนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องโถงมืดสลัว ความเงียบงันในห้องตัดกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ลอยมา ดวงตาของมาร์คัสเปล่งประกายด้วยความอาฆาต ขณะจ้องมองไปยังไอเดนและเคียแรน รอยยิ้มที่เปื้อนหน้าไอเดนเป็นเหมือนเปลวไฟที่โหมกระพือความโกรธในใจให้ลุกโชน“แกมันชอบทำตัวเหมือนเป็นเจ้าชายในนิทาน... แกก็แค่หมากตัวหนึ่งในกระดานของพ่อ ไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนั้นถึงหลงแก แต่ฉันจะทำให้มันจบลงเอง” มาร์คัสคิดขณะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยียบเสียงคำพูดของไอเดนเกี่ยวกับ “สวน” และ “อัศวิน” ลอยเข้ามาในหู แม้มาร์คัสจะไม่ได้ยินชัดเจนทุกคำ แต่ความหมายก็กระตุ้นความสนใจขึ้นทันที ราวกับว่าคำเหล่านั้นเป็นกุญแจไขปริศนาที่เขาเฝ้าตามหา“สวน...อัศวิน...” มาร์คัสพึมพำกับตัวเอง เสียงของเขาเบาราวกับกระซิบ ขณะครุ่นคิดถึงตำนานและพลังลึกลับที่ถูกกล่าวขานเกี่ยวกับสวนรัตติกาลเขาหรี่ตาเล็กน้อย แล้วฉีกยิ้มเย็นเยียบ รอยยิ้มนั้นเย็นชาจนสามารถทำให้อากาศในห้องเย็นลง “ฉันจะใช้มันทำลา
ค่ำคืนอันเงียบสงัด แสงจันทร์ลอดผ่านม่านโปร่งผืนบางที่หน้าต่างห้องของไอเดน แสงสีนวลนั้นทาบเงาจาง ๆ บนผนัง ความเงียบดูเหมือนจะกดทับทุกสิ่ง ราวกับเวลาในโลกภายนอกหยุดนิ่ง บรรยากาศชวนให้อึดอัดและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เสียงลมพัดเบา ๆ กลายเป็นดนตรีพื้นหลัง ขณะที่ไอเดนนอนอยู่บนเตียง เขาหลับตา แต่จิตใจกลับวิ่งพล่าน ภาพจากบทสนทนาที่ได้ยินก่อนหน้านี้ยังคงดังก้องในหัว“ราชินี...เจ้าชาย...สวนรัตติกาล...”เสียงเหล่านี้เหมือนกระแสคลื่นที่ซัดเข้ามาเป็นระลอก ๆ กระตุ้นบางสิ่งที่ซ่อนลึกอยู่ในใจในฝัน ไอเดนพบว่าตัวเองยืนอยู่ในสวนที่งดงามเกินจริง ทุกอย่างดูเรืองรองภายใต้แสงจันทร์ ดอกไม้หลากสีเปล่งแสงนุ่มนวล ราวกับมีชีวิต อากาศอวลด้วยกลิ่นหอมละมุนของมวลบุปผา แต่มันกลับให้ความรู้สึกหนาวเย็นเหมือนฤดูใบไม้ร่วงที่เงียบเหงาเขาก้าวเท้าเดินไปอย่างลังเล เสียงกระซิบจากดอกไม้รอบตัวดังก้องเหมือนเพลงกล่อมเด็กที่ไม่จบสิ้น หญิงสาวในชุดสีขาวปรากฏตัวขึ้นท่ามกลาง
ในคืนที่เงียบสงัด กลางฤดูใบไม้ร่วงอันเยือกเย็น แสงจันทร์สีเงินส่องผ่านหน้าต่างกระจกสีที่เรียงรายอยู่ตามทางเดินของคฤหาสน์ซินดิเคท สะท้อนแสงเป็นเงารูปทรงแปลกตาบนพื้นหินอ่อน ความเงียบไม่ได้ให้ความรู้สึกสงบ แต่กลับแฝงไปด้วยความอึดอัดกลิ่นไม้เก่าผสมกับกลิ่นเทียนที่กำลังมอดไหม้ในโคมระย้าด้านบนกระจายตัวในอากาศ เสียงหวีดหวิวของลมหนาวพัดลอดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ เพิ่มความเย็นเยียบที่สัมผัสผิวไอเดนอย่างแผ่วเบา ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังลูบไล้ ไอเดนเดินเท้าเปล่าอย่างระมัดระวัง เสียงฝีเท้าของเขาแทบไม่ดังไปกว่าเสียงเข็มนาฬิกาในความเงียบก่อนจะออกมาเดินในเวลานี้ ไอเดนไม่สามารถหลับลงได้ แม้จะอยู่ในห้องส่วนตัวที่เงียบสงบแต่ความคิดในหัวของเขายังคงตีกันวุ่นวาย ความทรงจำราง ๆ ที่แฝงความเจ็บปวดทำให้เขาต้องหาที่หลบหนี ความมืดรอบตัวไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัย และจะมีสิ่งหนึ่งที่เขามักทำยามค่ำคืนที่เขาไม่อาจข่มตานอนได้คือ การวาดรูปโต๊ะในห้องของไอเดนเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษขาวสะอาด บางแผ่นมีลายเส้นสีสดใสของดอกไม้ที่แบ่
ในช่วงวัยรุ่น ไอเดนเริ่มแสดงศักยภาพที่โดดเด่นออกมา แม้จะเติบโตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายของซินดิเคท แต่เขากลับแสดงคุณสมบัติของผู้นำที่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นความสง่างามตามธรรมชาติ ความฉลาดเฉลียว หรือความสามารถในการสื่อสารที่ดึงดูดผู้คนวันหนึ่ง ในการประชุมของกลุ่มซินดิเคทระดับกลางที่เกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร มีข้อพิพาทรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ผู้แทนของแต่ละกลุ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือด เสียงดังจนบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด สมาชิกในที่ประชุมหลายคนได้แต่นั่งเงียบ ไม่มีใครกล้าออกปากห้าม เพราะกลัวจะถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งนี้ไอเดน ซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมเฝ้าสังเกตด้วยความนิ่งสงบ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ดวงตาสีเข้มของเขาฉายแววสง่างาม ทันทีที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของความสนใจ ทุกคนในห้องก็เงียบลง“พวกคุณเคยคิดหรือไม่ว่า การทะเลาะกันแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำลายความสามัคคีในองค์กร แต่ยังทำให้โอกาสในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดสูญเสียไป?” ไอเดนเริ่มพูด น้ำเสียงมั่นคงแต่ไม่แข็งกร้าว
ทันทีที่ได้ยินข่าวว่ามีเด็กถูกนำเข้ามาในฐานะ “คุณชายคนใหม่” มาร์คัสก็แทบคลั่ง เสียงตะโกนของเขาดังก้องไปทั่วโถงใหญ่ของสำนักงานใหญ่ ดวงตาแดงก่ำราวกับสัตว์ป่าที่ถูกต้อนจนมุม“พ่อ! ไอ้ลูกหมานั่นเป็นใคร! พ่อเอามันเข้ามาทำไม!?” มาร์คัสคำรามลั่น เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบ ๆ เขากระชากแจกันข้างตัวแล้วปาอัดผนังจนแตกกระจาย เศษกระเบื้องกระเด็นไปทุกทิศทาง“มันไม่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่! ผมคือผู้สืบทอด! ไม่มีใครมาแทนที่ผมได้!” มาร์คัสยังคงตะโกนต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ท่าทางของเขาราวกับเด็กที่ถูกแย่งของรักวิกเตอร์นั่งอยู่เงียบ ๆ หลังโต๊ะทำงาน เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่เย็นชาและเต็มไปด้วยอำนาจมืดเพ่งมองลูกชายตัวเอง มันเป็นดวงตาที่ไม่เคยแสดงความรักหรือความอบอุ่น แต่กลับทรงพลังจนทุกคนต้องหยุดนิ่งมาร์คัสที่กำลังโวยวายถึงกับชะงัก ร่างที่เดือดดาลเมื่อครู่เหมือนถูกหยุดโดยสายตาคู่นั้น ร่างกายของเขาแข็งค้าง หายใจไม่ทั่วท้อง เขาไม่เคยกลัวใครมากเท่ากับพ่อข
ข่าวลือเกี่ยวกับ “คุณชายคนใหม่” ที่ถูกวิกเตอร์นำเข้ามาแพร่กระจายไปทั่วซินดิเคทในเวลาไม่นาน และแน่นอนว่ามันไปถึงหูของเคียแรน เด็กหนุ่มวัย 14 ปีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเดียวในซินดิเคทที่ยังคงร่าเริงสดใสเหมือนแสงแดดในวันฝนตก“คุณชายคนใหม่? แถมยังเป็นเด็กเสียด้วย?” เคียแรนพึมพำกับตัวเอง ดวงตาสีฟ้าของเขาเป็นประกายด้วยความอยากรู้ “แบบนี้จะปล่อยให้ผ่านไปได้ยังไงกัน!”โดยไม่คิดอะไรมาก เคียแรนก็วิ่งไปยังปีกตะวันออกของอาคารใหญ่ ซึ่งได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นพักอยู่ที่นั่น เขาหาที่ซ่อนตัวอยู่หลังมุมเสา แอบสอดส่องดูเด็กชายที่กำลังหลบมุมในเงามืดของโถงทางเดินเด็กชายคนนั้นดูสับสนและตื่นตระหนก ราวกับพยายามวิ่งหนีอะไรบางอย่างแล้วมาซ่อนตัวในมุมอับ ดวงตาของเขาหลุบต่ำ ใบหน้าเปื้อนความกังวล เคียแรนมองดูด้วยความสงสัยและความเห็นใจ“เฮ้! นายน่ะ แอบอะไรอยู่ตรงนั้น?” เคียแรนพูดขึ้นเสียงดัง พร้อมกับยิ้มกว้าง เขากระโดดพรวดออกมาจากมุมที่ตัวเองซ่อนอยู่ ทำเอาไอเดนสะดุ้งสุดตัว