เข้าสู่ระบบ“ข้าน้อยคิดมากไป ทำให้คุณหนูลำบากใจแล้วขอรับ”
ชายชราเอ่ยกับหญิงสาว พร้อมกับดึงมือที่จับชีพจรของนางกลับ ใจเขาตอนนี้อยากที่จะได้เห็นตำรานั้นยิ่งนัก
“รอข้าอ่านจบแล้ว ข้าจะส่งมอบตำรานั้นให้แก่ท่านหมอเจ้าค่ะ ข้ามองว่ามันมีความรู้และสูตรยาที่น่าสนใจไม่น้อยเลย”
มีหรือที่หญิงสาวจะอ่านสายนั้นของเขาไม่ออก นางในโลกนี้อาจอายุเพียงสิบหก แต่ตัวตนนางในอีกโลกนั้น มันก้าวสู่เลขสามแล้ว หาใช่เด็กน้อยที่ยังมิประสาไม่
“ข้าน้อยต้องขอบคุณหนูหนูล่วงหน้าขอรับ”
“เป็นข้าต่างหากเจ้าค่ะ ที่ต้องกล่าวคำนั้น ชีวิตข้าที่เติบโตมาได้จนถึงวันนี้ หากไม่ได้ท่านหมอคอยช่วยรักษา ย่อมยากที่จะอยู่มาได้เจ้าค่ะ”
หญิงสาวคลี่ยิ้มอย่างจริงใจ และในรอยยิ้มของนางย่อมต้องแฝงไปด้วยความนัย ท่านหมอยังต้องช่วยเหลือนางในอีกเรื่อง เพื่อตัวนางเองในภายหน้าเช่นกัน
“เป็นหน้าที่ของข้าน้อยขอรับ”
“น้องพี่ ท่านหมอ”
หลินเสวี่ยหลง เดินเข้ามาพร้อมกับถาดที่มีไข่ต้ม ที่ปอกเอาไว้แล้ว รวมถึงชาหอมกรุ่นที่อยู่ในถาดเดียวกัน ชายหนุ่มวางถาดนั้นลงต่อหน้าน้องสาว ก่อนจะนั่งลงตรงกันข้าม
“คุณชาย ข้าน้อยมาตรวจดูอาการของคุณหนุแล้ว ร่างกายโดยรวมดีขึ้นมากทีเดียวขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อนนะขอรับ”
“ขอบคุณท่านหมอยิ่งนักขอรับ ที่สละเวลามาดูแลน้องหญิง” ชายหนุ่มเอ่ยกับหมอประจำตระกูล ก่อนจะหันมาสนใจน้องสาวคนเดียวต่อ
“พี่ใหญ่กลับจากลานฝึกแล้วหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวอยากที่จะฝึกร่างกายนี้ ให้ช่ำชองในเรื่องอาวุธ แต่ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป ร่างกายนี้ยังไม่พร้อมที่จะออกกำลังในทันที ต้องสร้างมวลกล้ามเนื้อให้มากขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย
“จ๊ะ! พี่เป็นห่วงเจ้า ว่าแต่คิดอย่างไรจึงอยากกินไข่ต้มมากขนาดนี้ หืม...”
“พี่ใหญ่ไม่คิดว่าน้องบอบบางเกินไปหรือเจ้าค่ะ บุรุษที่เป็นขุนพลเยี่ยงพี่ใหญ่ สร้างมัดกล้ามให้แข็งแรงได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ น้องก็แค่อยากให้ร่างกายนี้ แข็งแรงมิอ่อนแอ จนกลายเป็นภาระของผู้อื่นเจ้าค่ะ”
“เจ้ามิเคยเป็นภาระของผู้ใดเลยนะ”
ชายหนุ่มเอ่ยกับน้องสาว พร้อมกับบรรจงรินชาให้นาง ก่อนจะเลื่อนถ้วยชานั้นให้คนเป็นน้อง และเขาก็หันไปเอามีดเล็กที่วางอยู่ในถาด ผ่าไข่ออกเป็นชิ้นอย่างประณีต
“ในราชวงศ์นั้น ล้วนเต็มไปด้วยอันตราย หากตัวข้านั้นยังเป็นเช่นนี้ คงยากจะมีชีวิตรอดได้นาน พี่ใหญ่สอนข้าให้ปกป้องตนเองมิดีกว่าหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวยกเรื่องที่นาง ต้องเข้าสู่ราชวงศ์ในฐานะพระชายา มีใครบ้างไม่รู้ว่าชีวิต ที่ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว ไหนจะภัยที่จะเกิดจากครอบครัวบิดาแท้ๆ นั่นอีกเล่า
“ถ้าเจ้าต้องการ พี่ก็จะช่วยเจ้า”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่นึก เพื่อทบทวนตามคำของน้องสาว ใช่แล้วเขามิอาจตามติด ปกป้องนางได้ตลอดเวลา สิ่งที่จะทำได้คือต้องสอนให้นางปกป้องตนเอง และต้องมือดีมาตามติดนางเช่นกัน
“ท่านพ่อจะสามารถยืดเนื่องการแต่งงานของข้า ออกไปได้เกินห้าปีไหมเจ้าคะ หากมันนานไปแล้วท่านอ่องมิต้องการแต่งกับข้า ข้ายินดีครองโสดเจ้าค่ะ”
“ไม่มีทางที่ท่านอ๋องจะปฏิเสธเจ้าแน่นอน เรื่องยืดเวลาเข้าเมืองหลวง ปล่อยให้เป็นหน้าที่พี่คุยกับท่านพ่อเอง”
การใส่ใจต่อกันของสองพี่น้อง ทำให้หยิงงามผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกล กำหมัดแน่นด้วยความคลั่งแค้น ไม่ว่านางจะเพียรพยายามแค่ไหน ในสายตาของชายหนุ่ม ก็ไม่เคยละออกจากคนเยี่ยงหลินมู่เสวี่ย
“คุณหนูฉี มาเยี่ยมคุณหนูของเราหรือเจ้าคะ”
แม่นมจางที่มองอยู่นานแล้ว เดินเข้ามาถามแขกที่มาโดยมิบอกกล่าว แม้ถ้อยคำจะอ่อนน้อม ทว่าแววตาของหญิงชรานั้น หาได้ชื่นชอบหญิงสาวไม่
“ใช่แล้ว ข้าได้ยินว่าน้องหญิงมู่เสวี่ยล้มป่วย จึงได้ทำของบำรุงมาเยี่ยมนาง”
ฉีหลันหันกลับไปตอบยิ้มๆ ทว่ารอยยิ้มนั้นหาส่งถึงดวงตาไม่ ก่อนจะรับตะกร้ามาจากมือของสาวใช้ข้างกาย แล้วเดินเข้าไปหาสองพี่น้อง ที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ท่ามกลางแสงแดด และหมู่มวลดอกไม้ ยิ่งเดินเข้าใกล้คนทั้งคู่มากเท่าไหร่ ความไม่ชอบใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นนับเท่าทวีคูณ แต่นางจะปล่อยให้ความไม่ชอบใจนี้ เผยให้ชายหนุ่มที่นางหมายปองได้เห็น
“เจ้ากำลังกล่าวหาข้า ว่าทำตัวไร้การอบรมเยี่ยงนั้นรึ!” เจียงอันหลาน เรียกว่าเวลานี้ใบหน้าร้อนผ่าวไปด้วยโทสะ มันจะมากเกินไปแล้ว แค่บ่าวเก่าแก่ผู้หนึ่ง กล้าดีเยี่ยงไรมาตำหนินาง ที่เป็นถึงบุตรสาวเจ้าของจวน ช่างไม่เจียมตนเอาเสียเลย ต่อให้มารดานางจะเคยเป็นอนุ แต่ปัจจุบันก็คือภรรยาเอกออกหน้าออกตา “ข้าน้อยย่อมทำตามหน้าที่ขอรับ ต่อให้คุณหนูไม่พอใจ ข้าน้อยก็คงต้องบอกกล่าเรื่องนี้อยู่ดีขอรับ” พ่อบ้านชราหาได้ลดละในเรื่องสำคัญนี้ไม่ ยิ่งตอนนี้วัยของคุณหนู เลยการปักปิ่นมาหลายปีแล้ว หากเกิดเรื่องเสื่อมเกียรติใดขึ้น นอกจากจะทำให้การออกเรือนล่าช้าออกไป ยังมีผลต่อฐานะในภายหน้า ต่อให้เป็นบุตรสาวของภรรยาเอกคนปัจจุบัน แต่ก็ใช่ว่าชาติกำเนิดมารดา จะทัดเทียมสตรีชั้นสูงอื่น ๆ ได้ ฉะนั้นการรักษาภาพลักษณ์อันดีเอาไว้ให้สูงส่งเท่าไหร่ ภายหน้าก็ดีตามเช่นนั้นไม่มีถดถอยอย่างแน่นอน “เจ้าจะเหิมเกริมเกินไปแล้วนะ ข้าเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนกั๋วกง เจ้าแค่บ่าวเก่าแก่ผู้หนึ่ง กล้าดีเยี่ยงไร มาเสนอหน้าสอนข้า” “เจียงอันหลาน! หยุดวาจาหยาบช้าของเจ้าเสีย!” เสียงกร้าวกระด้างของคน
“แต่...”ชายหนุ่มยังคงอึกอัก เมื่อหญิงสาวยืนกราน ให้เขาทำในสิ่งที่เกินกว่ากำลังที่จะไปถึง เก่งแค่ไหนก็ต้องรู้ประเมินความเป็นไปได้ เขาที่ไร้เส้นสายในตลาดมืด ยากนักที่จะรับปากนางได้ “หรือเจ้าอยากเห็นข้า กลายเป็นเพียงสตรีไร้อนาคตกัน คนเราเมื่อคนที่เรามีใจ กำลังจะจ่มดิ่งลงสู่ขุมนรก จะมองดูอยู่เฉย ๆ ได้เยี่ยงนั้นหรือ” คำพูดของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตานาง ความสั่นไหวในดวงตา มันทำให้ชายหนุ่มถึงกับใจอ่อนยวบ ที่นางพูดออกมาเช่นนี้ แสดงว่านางรับรู้ถึงความรู้สึกของเขาแล้วสินะ แต่เขายังมีคนข้างหลังให้ห่วงใย ถ้าพลาดพลั้งขึ้นมา มันจะคุ้มหรือไม่เล่า “ข้าน้อยจะลองหาหนทางขอรับ” ชายหนุ่มตอบรับ ด้วยรอยยิ้มอย่างมีความหมาย ในเมื่อนางเลือกที่จะใช้มารยาต่อเขา เหตุใดเล่าเขาจะไม่ตามน้ำ สตรีหยิ่งผยองเช่นนี้ เขาจะต้องใช้ความอดทนอีกสักหน่อย เพื่อให้นางตกอยู่ในกำมือแบบที่ดิ้นไม่หลุดไปไหนได้ “ดี! หากเจ้าทำสำเร็จ ข้าย่อมต้องมีรางวัลให้อย่างงาม” เมื่อได้คำตอบที่น่าพอใจ หญิงสาวก้ไม่ลืมที่จะมอบความหวังให้ชายหนุ่ม เงินทองมิใช่สิ่งที่เขาต้องการ และ
บนกำแพงเมือง สายตาเย็นชาของลู่จิ้งอ๋อง ทอดมองตามหลังรถม้าจากสองตระกูล ที่กำลังเคลื่อนห่างออกไปจากประตูเมืองหลวง ความคิดอันน้อยนิดของคนพวกนั้น มันช่างน่าขันนัก หากสตรีคิดเปลี่ยนใจแต่แรก นางจะไม่มีวันอยู่รอเขามานานขนาดนี้ “เชี่ยหานส่งข่าวมาหรือยัง” ชายหนุ่มเอ่ยถามองครักษ์ข้างกาย เวลานี้เขามั่นใจว่าเชี่ยหาน ต้องเผยตัวต่อว่าที่พระชายาแล้ว “ขอรับ ตอนนี้ท่านพี่โม่ อยู่กับคระของพระชายาแล้วขอรับ” องครักษ์หนุ่มรายงาน ตามพิราบสื่อสาร ที่เขาได้รับเมื่อรุ่งสางนี้เอง แต่ที่ยังไม่ได้รายงานผู้เป็นนาย เพราะท่านอ๋องมีเรื่องอื่นสำคัญกว่าที่ต้องทำ “ข้าอยากรู้นักว่าสองคนนี้ เอาอันใดมามั่นใจ ว่าหลินมู่เสวี่ยจะเปลี่ยนใจ” หากเขากับหญิงสาว ไม่เคยติดต่อกันเลย เขาอาจคิดเช่นนั้นได้ แต่เพราะเขาตีความนัยของจดหมายทุกฉบับของนางออก จึงไม่เคยหวาดหวั่นในเรื่องนั้นแม้แต่น้อย เรื่องนี้คงไม่น่าใช่ปัญหาที่นางจะรับมือไม่ได้ เพราะนับตั้งแต่นี้ไป เขาคงไม่ว่างจะใส่ใจเรื่องนอกประตูเมืองหลวง “ท่านอ๋องต้องการส่งคนไปเพิ่มหรือไม่ขอรับ” “ไม่จำเป็น ข้ามั่นใจว่าพ
“ขอรับ” เค่อลี่รับคำอย่างว่าง่าย เกาจูวางถ้วยยาลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปภายในโรงเตี๊ยม ปล่อยให้ทั้งสามกินข้าวกันตามสบาย “อย่าถือสาสิ่งใดจากเขาหรือคนในคณะ เจ้าจำเอาไว้ว่าทุกคน ล้วนมีมุมของตนเอง นายหญิงเองก็เช่นกัน เจ้าสามมารถเป้นตัวเจ้าได้ แค่อย่านำพาความเดือดร้อนมาให้ใคร” เฉากวงในฐานะผู้อาวุโสในตอนนี้ ชี้แนะชายหนุ่มอย่างใจเย็น ก่อนที่เขาจะคีบอาหารเข้าปากอย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่ลืมจิบสุราไปด้วย เค่อลี่พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย มันมิใช่ข้าวเหลือของคนในชุมโจร ที่จะเอามาเทให้เขากิน ภายนอกใคร ๆ ก็ริษยาในฐานะบุตรชายผู้นำ แต่เบื้องหลังที่หลายคไม่เคยได้เห็น เขาก็มิต่างจากสัตว์เลี้ยง “อะไรที่ผ่านไปแล้ว อย่านำมาทำลายช่วงเวลาดี ๆ” อู๋เหล่ยเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นดวงตาไหวระริกคล้ายคนกำลังจะร้องไห้ เขาพอจะเดาได้ว่าชีวิตของเจ้าหนูนี่ คงไม่ได้สวยงามอันใดนักหรอก ดูได้จากที่พ่อแท้ ๆ บุกมาเพื่อสังหารบุตรชาย “ข้าขอโทษขอรับ” เค่อลี่รีบเอ่บขอโทษในทันที เมื่อควารูสึกในใจของเขา ทำให้คนที่นั่งร่วมวงรู้สึกไม่ดี
“ที่นี่มีเพียงคนกันเอง ไม่ต้องมากพิธี” เมื่อเห็นอาหารของน้องชาย หญิงสาวจึงหันไปเอ่ยกับผุ้ร่วมโต๊ะคนใหม่ ก่อนจะคีบอาหารเข้าปากหนึ่งคำ แล้วค่อยคีบวางในถ้วยของน้องชาย จากนั้นโม่เชี่ยหาน จึงยื่นตะเกหียบไปคีบอาหารมาวางในถ้วยของตนเอง ชายหนุ่มผู้คุ้นชินกับธรรมปฏิบัติระหว่างชนชั้น ไม่อาจหายที่จะทำตัวเสมอนายจนเกินไป “ยามบ่ายข้าน้อยมีเรื่องต้องไปจัดการ พระชายาจะออกไปข้างนอก ข้าจะให้คนติดตามไปนะขอรับ” “ได้” หญิงสาวไม่ได้คิดปฏิเสธ เพราะอย่างไรเสียเรื่องเหล่านี้ ก็คือหน้าที่อของเขาอยู่แล้ว หากรั้นไม่ยอมรับ ก็รังแต่สร้างความขุ่นเคืองต่อกันเสียเปล่า “ขอบคุณขอรับที่พระชายาเข้าใจข้าน้อย” “กินกันต่อเถอะ” หญิงสาวชี้ชวนให้ชายหนุ่มกินข้าวต่อ เพราะถ้าเขาและนางหยุดสนทนา คนอื่น ๆ ในโต๊ะก็พลอยนิ่งไปด้วย มื้ออาหารเป็นไปอย่างเงียบ ๆ ต่างจากเมื่อก่อนที่ล้วนมีคำหยอกเย้า แต่เพื่อให้ครอบครัวถูกตำหนิ คนจากจวนหลินจึงจำต้องวางตัวให้ดี ด้านโรงพักม้า ต้านเค่อที่ตอนนี้อาการโดยรวม ยังคงไม่นับว่าดีเท่าใดนัก เขาได้ลุกขึ้นนั่ง พิงกับขอนไม่ที่ใช้
เช้าวันถัดมา ภายในโรงเตี๊ยมดูคักยิ่งนัก และดูเหมือนว่าคนของวาที่สามี จะทำงานได้ดีเกินคาด ขนาดหาคนมาทำหน้าที่ในโรงเตี๊ยมแทนได้อย่างแนบเนียน หญิงสาวยืนมองทุกอย่างด้วยแววตานิ่งเรียบ นางไม่ได้อยากมีปัญหากับผู้ใดเลย แต่เป็นคนเหล่านี้ ที่สอดเท้ามาในพื้นทีของนางไม่หยุด“คุณหนูขอรับ ก่อนรุ่งสาง คนของท่านอ๋องกับทางการเมืองชุ่ย ได้เข้าไปที่ชุมโจร ทำการกวาดล้างจนสิ้นแล้วขอรับ สตรีและเด็กคนชรา ถูกนำไปอยู่เขตกักกันนักโทษขอรับ มิได้สังหาร”อู๋เหล่ย เข้ามารายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับคนของท่านอ๋อง ที่ตั้งใจมองดูพวกเขาถูกลอบทำร้าย แล้วมาเอาหน้าในตอนท้าย“หึ ๆ เขาทำงานได้ว่องไวนัก ผลงานครั้งนี้ ท่านเจ้าเมืองย่อมซาบซึ้งในน้ำใจของลู่จิ้งอ๋อง ภายหน้าจะใช้สอยก็สะดวกขึ้น”หญิงสาวรู้อยู่แล้ว ว่าค่ำคืนที่ผ่านมาคนของลู่จิ้งอ๋อง จะลงมือทำสิ่งใด เพราะโม่เชี่ยหานหาใช่คนเขลา นางเอ่ยเป็นนัยยะให้เขาขบคิดเอง ใช้เวลามิทันข้ามคืน เขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อย นับว่าเป็นมือดีของลู่หย่งไท้ คงจะมีเพียงโรงเตี๊ยมนี้ที่เขายังไม่แตะต้อง คงรอให้งูตัวใหญ่โผล่หางออกมากระมัง ถึงได้ยังชักชวนให้นางพักต่ออีกสักคืน สุดท้ายโม่เชี่ยหลาน ก็







