เข้าสู่ระบบคว้าเอากล่องซาลาเปาได้แล้วฟางหนิงฮวาก็ออกจากบ้าน ที่แรกที่ต้องไปก็คือสถานศึกษาเพราะว่าใกล้กลับร้านซาลาเปามากที่สุด จากร้านของนางเดินไปยังสถานศึกษาใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อ ไปถึงแล้วก็ส่งซาลาเปาให้กับลูกมือในครัว ส่วนค่าซาลาเปานั้นนางต้องไปเก็บเอากับอาจารย์ผู้ทำหน้าที่ดูแลบัญชีของสถานศึกษา
"เข้ามาสิ เจ้ามาเก็บค่าอะไรกัน" อาจารย์ผู้ดูแลบัญชีเอ่ยถาม เนื่องจากไม่เคยเห็นหน้าฟางหนิงฮวามาก่อน ปกติแล้วจะเป็นอารองของนางที่ทำหน้าที่นี้
"ข้ามาเก็บค่าซาลาเปาเจ้าค่ะ" ฟางหนิงฮวาตอบอย่าร่าเริง
"ที่ร้านซาลาเปาเปลี่ยนคนส่งของอย่างนั้นหรือ" อาจารย์ผู้นั้นถามอย่างแปลกใจ
หญิงสาวตอบกลับด้วยเสียงสดใส "ไม่ได้เปลี่ยนหรอกเจ้าค่ะ พอดีว่าท่านอาของข้ากลับบ้านกะทันหันข้าก็เลยต้องมาส่งแทนชั่วคราว"
อาจารย์ผู้นั้นพยักหน้าเล็กน้อยเห็นหญิงสาวดูท่าทางกระตือรือร้นเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา เขาควักเงินจากถุงเป็นจำนวนที่พอดีกับค่าซาลาเปาของวันนี้แล้วมอบให้กับนาง "ดีแล้ว เจ้าเองก็ขยันทำงานเข้าล่ะ ร้านซาลาเปาของเจ้าจะได้รุ่งเรือง"
"ขอบคุณเจ้าค่ะ" ฟางหนิงฮวารับเงินแล้วก็ไปต่อยังจวนของคหบดีค้าหยก
นางไม่รู้จักจวนคหบดีค้าหยกเพราะว่าไม่เคยมาเลยสักครั้งจึงได้ถามทางเอากับชาวเมืองที่ผ่านไปผ่านมาหน้าสถานศึกษา เมื่อได้คำตอบแล้วก็มุ่งหน้าไปทันที ที่นี่ไม่มีอะไรมากเพียงแค่ส่งมอบซาลาเปาให้เด็กรับใช้จากนั้นก็รับเงินมาเป็นอันว่าเรียบร้อย เด็กรับใช้ไม่ได้สงสัยอะไรแล้วก็คงไม่สนใจด้วยว่าวันนี้มีเด็กส่งซาลาเปาคนใหม่มา เขาเพียงแค่รับซาลาเปาไปตามหน้าที่ของเขาเท่านั้น
ที่สุดท้ายเป็นจวนของท่านเจ้าเมือง ที่นี่ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก เจ้าของร่างเดิมก็เคยเดินผ่านจวนเจ้าเมืองอยู่บ้าง อีกทั้งยังคุ้นเคยกับพ่อครัวใหญ่ของจวนนี้เพราะบางครั้งเวลามีงานเลี้ยงที่จวนเขาก็ไปสั่งซาลาเปาด้วยตัวเองถึงที่ร้าน
จวนเจ้าเมืองถู่หยางกว้างขวางใหญ่โตยิ่ง แบ่งออกเป็นเรือนหลัก เรือนนอนของท่านเจ้าเมือง เรือนรับรอง เรือนสำหรับบ่าวในจวน ส่วนโรงครัวนั้นตั้งอยู่ไกลออกไปทางด้านหลังทำให้ฟางหนิงฮวาต้องเดินไกลสักหน่อยกว่าจะเอาซาลาเปาไปส่งถึงที่ได้
"พ่อครัวใหญ่ ซาลาเปามาแล้วเจ้าค่ะ" ฟางหนิงฮวาทักทายพ่อครัวใหญ่ด้วยท่าทางกระตือรือร้น
พ่อครัวใหญ่ได้เห็นฟางหนิงฮวาแล้วก็ประหลาดใจเล็กน้อย เพราะหญิงสาวผู้นี้ตอนอยู่ที่ร้านไม่ได้ดูสดใสแข็งแรงถึงเพียงนี้ อีกทั้งเขาเองก็รู้มาจากบิดามารดาของนางว่านางมีร่างกายที่ไม่แข็งแรงมาแต่กำเนิด เหตุใดวันนี้ถึงได้ดูไม่เหมือนคนป่วยเลยแม้แต่น้อย
"อ้าว…หนิงฮวา วันนี้เหตุใดจึงได้มาส่งซาลาเปาเองเล่า ว่าแต่เจ้าหายป่วยแล้วอย่างนั้นหรือ" พ่อครัวใหญ่ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง พลางมองดูหญิงสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรสาวของตนเองอย่างเอ็นดู
"พอดีท่านอาต้องกลับบ้านที่นอกเมืองเจ้าค่ะ ข้าก็เลยต้องมาส่งให้เป็นการชั่วคราว" ฟางหนิงฮวาตอบ
"ดีแล้ว เจ้าได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้างก็ดี จะได้สดชื่น อยู่แต่ในบ้านอุดอู้ทั้งวันเมื่อไรอาการป่วยจะดีขึ้น เจ้าว่าจริงหรือไม่" พ่อครัวใหญ่วางมือจากเนื้อที่กำลังหั่นจากนั้นจึงไปหยิบถุงเงินที่แบ่งไว้เป็นค่าซาลาเปาเอามาให้นาง
ฟางหนิงฮวารับเงินค่าซาลาเปานั้นมาแล้วเก็บไว้ในอกเสื้อ "ขอบคุณเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าได้ออกมาข้างนอกรู้สึกดีขึ้นมากเลยทีเดียว"
รับเงินแล้วก็จากมาตามประสาของคนขายของ ฟางหนิงฮวาเดินจากห้องครัวผ่านด้านข้างของเรือนรับรองมาจนถึงหน้าเรือนหลักกลับรู้สึกว่าที่จวนเจ้าเมืองวันนี้ดูผิดปกติ เพราะทุกครั้งแล้วยามที่นางเดินผ่านก็มักจะเห็นว่าที่นี่มีเหล่าทหารเดินกันมากมายขวักไขว่ หรือไม่ก็มีเหล่าขุนนางและผู้มาเยือนบ้าง แต่ว่าวันนี้กลับไม่มีเลย เท่าที่เห็นแล้วนอกจากในครัวแล้วก็เหลือเพียงทหารองค์รักษ์ที่เฝ้าอยู่ที่เรือนนอนของท่านเจ้าเมืองสองคนกับที่เฝ่้าอยู่หน้าประตูใหญ่อีกสองคนเท่านั้น หรือว่าวันนี้ทุกคนในจวนนี้จะพากันไปทำธุระที่อื่น
ฟางหนิงฮวาเดินตัดผ่านลานหน้าจวนออกมาจนเกือบจะถึงประตูใหญ่ก็สวนกับชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีท่าทางสุขุมยิ่ง เขาถือล่วมยาอันใหญ่เข้าไปด้วยอีกทั้งยังสวมชุดสีขาว จึงสามารถคาดเดาได้ไม่ยากว่าชายผู้นี้จะต้องเป็นหมออย่างแน่นอน แต่ว่าหมอมาทำอะไรที่จวนของเจ้าเมืองเล่า ฟางหนิงฮวาเห็นแล้วก็เกิดความสงสัยขึ้นในทันที
แต่ก็เพียงแค่สงสัยเท่านั้น นางไม่ได้อยากรู้อะไรไปมากกว่านี้เพราะเดิมทีก็ไม่ใช่คนที่จะไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน ค่อนข้างที่จะสันโดษและไม่ค่อยสนใจใครเสียด้วยซ้ำ ในเมื่อมีหมอมาที่นี่ก็คิดไปว่าที่จวนนี้อาจจะมีคนป่วยก็เท่านั้น จากนั้นจึงเดินต่อไปยังประตู่ใหญ่เพื่อที่จะกลับบ้าน
ยังไม่ทันได้ถึงประตูใหญ่ก็มีเสียงบ่าวรับใช้พูดคุยกันดังมาจากทางไหนก็ไม่รู้แต่คาดว่าน่าจะอยู่ไม่ไกล
"เจ้าว่าท่านเจ้าเมืองได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้จะรอดหรือไม่" เสียงบ่าวผู้ชายกล่าวขึ้นดังมาเข้าหูของฟางหนิงฮวา
ทีแรกคิดว่าจะไม่สนใจแล้วแต่จนแล้วจนรอดบ่าวพวกนี้ก็มาพูดให้ได้ยินจนได้
"เจ้าอย่ามาปากเสียนะ ท่านเจ้าเมืองออกจะแข็งแรงถึงปานนั้นย่อมต้องไม่เป็นไรเป็นแน่" คราวนี้เป็นเสียวของสาวใช้ที่ค้านขึ้นมาบ้าง
บ่าวผู้ชายถอนหายใจออกมาอย่างเป็นกังวลก่อนจะกล่าวต่อ "แต่ว่าตอนนี้ท่านเจ้าเมืองยังไม่ฟื้นเลย บาดแผลก็เต็มตัวไปหมดคาดว่าจะเสียเลือดไปมาก ข้าเป็นห่วงเขาเหลือเกิน พวกเราจะทำอย่างไรเพื่อช่วยท่านเจ้าเมืองได้บ้าง"
"ตอนนี้หมอที่เก่งที่สุดในเมืองถู่หยางก็มาแล้ว อย่างไรท่านหมอหลิวจะต้องรักษาท่านเจ้าเมืองให้หายได้เป็นแน่" สาวใช้ตอบ
"ต้องโทษพวกโจรภูเขานั่น ถ้าพวกมันไม่สร้างปัญหาท่านเจ้าเมืองก็คงไม่ต้องเป็นเช่นนี้" บ่าวผู้ชายกล่าวอย่างโกรธแค้น
แท้จริงแล้วที่บ่าวผู้ชายคนนี้โกรธแค้นก็เป็นเพราะว่าเขาเป็นบ่าวข้างกายของท่านเจ้าเมืองจึงรักเป็นห่วงท่านเจ้าเมืองมากเป็นพิเศษ ยิ่งพอเห็นเจ้านายของตนบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ก็ทั้งกลัวทั้งเสียใจจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ได้ยินที่บ่าวผู้นั้นกับสาวใช้คุยกันความทรงจำก็ผุดขึ้นมา ก่อนหน้าที่เจ้าของร่างเดิมจะเสียชีวิตนั้นมีเหตุหมู่บ้านที่รอบนอกหลายหมู่บ้านถูกโจรภูเขาเข้ามาปล้น พวกมันปล้นเงินทองรวมทั้งเสบียงไปมากมายอีกทั้งจุดไปเผาหมู่บ้านจนวอดวายอีกด้วย ทำให้ชาวบ้านได้รับความทุกข์แสนสาหัสไม่มีที่อยู่อาศัยจนต้องอพยพเข้ามาอยู่ที่พื้นที่ช่วยเหลือของเมืองถู่หยางเป็นจำนวนมาก
ปัญหานี้เป็นความรับผิดชอบของเจ้าเมืองถู่หยาง ดังนั้นเขาจึงนำกำลังไปปราบ เขาพร้อมกองกำลังกว่าครึ่งขี่ม้ารุดขึ้นเหนือเพื่อไปต่อสู้กับพวกโจรภูเขา แต่ก็ไม่คิดว่าพวกโจรภูเขาจะมีกองกำลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้จนสามารถต้านทานกองทัพเล็ก ๆ ของเมืองถู่หยางได้ และทำให้ท่านเจ้าเมือถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมา
จะว่าไปแล้วก็แปลกไม่น้อยเพราะหากเป็นโจรภูเขาธรรมดาที่ก่อเหตุบุกปล้นแย่งชิงก็ไม่จำเป็นต้องมีกำลังมากมายถึงเพียงนี้ แต่ทว่าพวกมันมีมากกว่ากองกำลังของเมืองถู่หยางหลายเท่า จนเจ้าเมืองเองก็อดสงสัยมิได้ว่าพวกมันอาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลัง บางทีอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องถึงแคว้นศัตรูที่อยู่ทางเหนือก็เป็นได้เขาคิดว่าหากปราบพวกมันได้แล้วก็จะเขียนฎีกาเสนอเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้ แต่ทว่ายังไม่มันได้เขียนเขาก็มีสภาพเป็นเช่นนี้ไปเสียก่อน
บทที่ 50 บิดามารดามาเยี่ยม ตั้งแต่ที่ฟางหนิงฮวามาที่เมืองเสวี่ยคังนี่ก็เป็นเป็นเวลากว่าห้าเดือนแล้ว นางยังไม่ได้กลับบ้านเสียที มีแต่เขียนจดหมายไปบอกบิดามารดาเท่านั้น ฟางตวนกับนิ่งหรงพอเห็นว่าบุตรสาวไม่กลับบ้านก็คิดถึงและเป็นห่วงจึงได้คิดที่จะไปเยี่ยมนาง พวกเขาเริ่มออกเดินทางส่วนร้านซาลาเปานั้นก็ฝากไว้กับอารอง “ท่านพี่ เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง” นิ่งหรงเอ่ยถามสามีที่กำลังจัดของของตัวเองใส่ห่อผ้าอยู่ เขาเอาสิ่งนั้นเข้าสิ่งนี้ออกอยู่หลายครั้งจนนางรำคาญ “ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ แต่ขอข้าคิดก่อนว่าควรจะเอาเนื้อกวางแห้งนี่ไปฝากหนิงฮวาดีหรือไม่” ฟางตวนพูดพลางหยิบเนื้อกวางแห้งนั่นใส่เข้าไปในห่อผ้าอีกครั้ง “ท่านไม่ต้องเอาอะไรไปฝากนางทั้งนั้นแหละ
บทที่ 49 ดวลสุรา เป็นเพราะว่าเห็นคุณชายผู้นี้พูดคุยกับฟางหนิงฮวาทำให้เซียวป๋อเหวินอดไม่ได้ที่จะหึงขึ้นมา เขาตัดสินใจนั่งร่วมโต๊ะกับเหยียนจื่อจิง ทั้งนี้ก็เพื่อจะเอาตัวเองขวางกั้นไม่ให้เหยียนจื่อจิงได้สนทนากับฟางหนิงฮวาได้สะดวก “ถ้าเช่นนั้นทั้งสองท่านรอสักครู่นะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะให้พ่อครัวจัดอาหารมาให้” ฟางหนิงฮวาพูด “อ้อ...ท่านแม่ทัพอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะได้ทำให้” “แล้วแต่เจ้าเถิด แต่ว่า...ข้าขอสุรามากหน่อย วันนี้รู้สึกอยากดื่มสุรา” เซียวป๋อเหวินพูด หลังจากที่ฟางหนิงฮวาหายเข้าไปในครัวแล้วบรรยากาศในร้านก็เปลี่ยนไป เซียวป๋อเหวินที่แย้มยิ้มเมื่อสักครู่บัดนี้เปลี่ยนเป็นสายตามาดร้ายจ้องไปที่เหยียนจื่อจิงอย่างไม่วางตา
บทที่ 48 ตุ๊กตาหมี เวลาผ่านไปความสัมพันธ์ของฟางหนิงฮวากับเซียวป๋อเหวินก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นจนเหล่าทหารทั้งกองทัพต่างก็มองว่าทั้งสองเป็นคู่รักกันไปแล้ว ฟางหนิงฮวามักจะเอาอาหารไปให้เขาที่ค่าย ส่วนเขาก็มักจะทำอะไรให้นางประหลาดใจอยู่บ่อย ๆ วันนี้ที่ร้านยุ่งมากจนฟางหนิงฮวาไม่สามารถปลีกตัวออกจากร้านได้ เดิมทีนางคิดว่าจะทำไก่ผัดพริกเสฉวนไปให้เขากินที่ค่ายแต่ว่าทำเสร็จนานจนอาหารเย็นชืดก็ยังไม่ได้ไป กว่าลูกค้าจะออกจากร้านหมดก็ปาเข้าไปปลายยามเซินแล้ว ฟางหนิงฮวากลับมาที่จวน นางถือกล่องอาหารมาด้วยและก็พบเข้ากับเซียวป๋อเหวินที่กลับมาพอดี “ไก่ผัดพริกเสฉวนนี่เย็นชืดหมดแล้ว เดี๋ยวข้าจะเข้าครัวไปอุ่นให้ท่านใหม่นะ” “ไม่เป็นไรหรอก ให้สาว
บทที่ 47 ร้านอาหารเสฉวนแห่งเมืองเสวี่ยคัง หนึ่งเดือนต่อมาร้านอาหารก็เปิด ฟางหนนิงฮวาเปิดร้านอาหารรูปแบบของเสฉวน เน้นอาหารรสชาติเผ็ดร้อนที่เซียวป๋อเหวินชอบ แถมยังมีหม้อไฟหม่าล่าซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่ของที่นี่อีกด้วย สร้างความฮือฮาในหมู่ชาวเมืองเสวี่ยคังเป็นอย่างอยิ่ง เมื่อได้ยินว่ามีร้านอาหารมาเปิดใหม่ผู้คนต่างก็อยากรู้อยากเห็น พากันแวะเวียนมาเดินผ่านหน้าร้านกันแต่ว่าก็ยังไม่มีใครกล้ามาลองกินดูสักคน จนเมื่อฟางหนิงฮวาเปิดหม้อน้ำแกงหม่าล่าออกก็ถึงกลับทำให้คนที่เดินไปมาอยู่หน้าร้านถึงกลับชงัก กลิ่นของน้ำแกงนั้นหอมเตะจมูกเป็นอย่างยิ่ง มีทั้งกลิ่นที่กลมกล่อมของมันวัวและกลิ่นเครื่องเทศที่หอมฟุ้ง ชาวเมืองที่อยู่แถวนั้นต่างก็กลืนน้ำลายกันเป็นแถว “นี่มันอาหารอะไรเนี่ย ข้าไม่เคยได้กลิ่นอะไรที่หอมเช่นนี้มาก่อนเลย” ชายวันกล
บทที่ 46 เริ่มต้นกิจการ “นี่...หัวหน้าองครักษ์กู้ ช่วงนี้ท่านแม่ทัพกำลังยุ่งอยู่หรือไม่” ฟางหนิงฮวาถาม นางมาดักรอหัวหน้าองครักษ์ที่ทางเดินไปห้องหนังสือของเซียวป๋อเหวิน “ช่วงนี้ท่านแม่ทัพค่อนข้างยุ่งน่ะ ต้องเตรียมเรื่องการฝึกทหาร ยิ่งตอนนี้มีการรับทหารใหม่เข้ามา งานก็เลยล้นมือ” หัวหน้าองครักษ์กู้ตอบ “เหตุใดเจ้าไม่ไปถามกับท่านแม่ทัพเอาเล่าหนิงฮวา” “ข้าไม่อยากรบกวนเขาน่ะ และข้าก็รู้ว่าท่านต้องตอบข้าทุกอย่างอยู่แล้ว” ฟางหนิงฮวายิ้มน้อย ๆ “เจ้านี่ฉลาดเอาเรื่อง ว่าแต่ถามหาท่านแม่ทัพมีธุระอันใดหรือ” หัวหน้าองครักษ์กู้ถาม “ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าช่วงที่ข้า
บทที่ 45 หุบเขาวัดเสวียนคงและสวนต้นกุ้ยฮวา หลังจากการศึกจบลง บ้านเมืองสงบเซียวป๋อเหวินได้มีเวลาของตัวเอง วันนี้เข้าจะพาฟางหนิงฮวาออกไปเที่ยวนอกเมืองสักหน่อย เขาเองก็ได้ยินชื่อเสียงเรื่องความงามของธรรมชาตินอกเมืองมานานแล้ว แต่ด้วยความที่ต้องยุ่งอยู่กับการศึกจึงไม่ได้มีเวลาออกไป วันนี้ว่างแล้วจึงเป็นเวลาที่เหมาสมพอดี เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสองสามครั้งตั้งแต่เช้าตรู่ ฟางหนิงฮวาที่เพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นานกำลังนั่งแต่งตัวจัดเครื่องประดับอยู่ที่หน้ากระจกทองเหลืองเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูก็รีบออกมาเปิดทันที เมื่อเห็นว่าเป็นเซียวป๋อเหวินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติแล้วเช้าตรู่เช่นนี้เขาจะอยู่ที่ห้องหนังสือมิใช่หรือ “ท่านแม่ทัพ มาหาข้าแต่เช้ามีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” หญิงสาวถาม&nb







