แถมออกไปแล้วนางก็หัวเราะทั้งน้ำตา เสียงหัวเราะแผ่วต่ำปนเศร้าและแค้นเคือง
“หุบปากของเจ้าเสียเจียงหลัว อย่ามาใส่ร้ายฮองเฮาของเจิ้น!”
“ใส่ร้าย?! ไป๋อี้เฉิน แต่ต้นจนจบล้วนเป็นท่านที่ใส่ร้ายป้ายสีคนไปทั่วกลับผิดเป็นถูกกลับขาวเป็นดำ ไอ้ตัวบัดซบ!” สวีเจียงหลัวกรีดร้องด่าทอออกมาด้วยความคับแค้นใจยิ่ง
“เพราะข้ารักท่านจึงยอมทำสิ่ง และเพราะวางใจเจ้าข้าจึงมีวันนี้ พวกเจ้ามันหญิงร้ายชายชั่ว!”
เผียะ!
เพียงประโยคด่าทอจบลงใบหน้างามก็สะบัดตามแรงตบของบุรุษที่สวีเจียงหลัวรักเขาสุดจิตสุดใจ นางหันกลับมาปรายตามองไป๋อี้เฉินที่ยังคงเยียบเย็นดั่งภูผาน้ำแข็งทั้งที่เขาเพิ่งจะตบหน้าสตรีเช่นนางจนลำคอแทบหัก!
“เจ้ามันต่ำช้า ไม่ใช่คน เด็กในครรภ์ของข้านี้ คือเลือดเนื้อตนเองเจ้าย่อมซาบซึ้งเกินกว่าผู้ใดไป๋อี้เฉิน!”
กล่าวแล้วนางก็ยกมือกุมที่หน้าท้องตนเองตามสัญชาตญาณของมารดาปกป้องบุตร ถึงนางจะตั้งครรภ์ได้เพียงสองเดือนเศษก็ตามแต่กลับผูกพันกับสายเลือดในอุทรตนเองอย่างยิ่งซึ่งผิดกับบิดาของเขาโดยชิ้นเชิง เพราะนอกจากไป๋อี้เฉินจะไม่รักลูกเขายังคิดสังหารไปพร้อมกับนางอีกด้วย
เขามันไม่ใช่คน!
“เป็นเพราะนางหรือ เจ้าจึงวางแผนป้ายสีข้าให้ต้องโทษประหารทั้งที่ข้าตั้งครรภ์บุตรของเจ้าอยู่เช่นนี้ ถึงไม่รักข้าแต่ในครรภ์นี้คือสายเลือดของเจ้านะอี้เฉินเหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วย ตำแหน่งฮองเฮา ข้าก็สละให้กับนาง หากลูกข้าเกิดมา เขาย่อมมิอาจสู้ลูกของนางได้เหตุใดกัน?!”
“เหตุใดเจ้าจึงต้องสังหารข้าให้จงได้?!”
ไป๋อี้เฉินเหลือบมองลงมา แววตาของเขาไม่กระเพื่อมสักน้อย ราวกับความรักที่เคยมีมาตลอดสามปีล้วนหลอกลวงนางจนสิ้นไม่มีความจริงใจให้กันแม้แต่เสี้ยวเดียว
“ความผิดเจ้าย่อมต้องรับโทษอย่าบิดเบือนอีกเลยเจียงหลัว ไม่ว่าจะคบชู้หรือคิดสังหารฮองเฮาโทษใดเจ้าก็สมควรตาย”
กล่าวแค่นั้นไป๋อี้เฉินก็ยกมือเป็นสัญญาณ พลันทหารสองนายก้าวเข้ามาฉุดรั้งแขนสตรีผู้ถูกกล่าวหาว่ามีตราบาปติดกายไม่พอนางยังมีข้อหาคิดลอบสังหารสวีฮองเฮา จะโทษใดสวีเจียงหลัวก็ต้องตายทั้งนั้น นางดิ้นรน สะบัดตัวจนเส้นผมกระจาย แต่แรงมิเพียงพอจะต่อต้าน
“พี่หญิง ข้าจะทำบุญให้ท่าน...อย่าได้อาฆาตเลย ชาติหน้าข้าจะยอมเป็นข้ารับใช้ตอบแทนนะ ทว่าชาตินี้ข้าขอเห็นแก่ตัว!”
เจียงหลีพึมพำถ้อยคำปลอบโยน ในขณะที่มุมปากของนางแย้มรอยยิ้มราวดอกบัวผลิบานกลางหิมะ เจียงหลัวเงยหน้าขึ้นอีกครา ดวงตาคมดุจนางพญาหงส์ฉายเพลิงอาฆาตสุดขีด
“จำคำข้าไว้...แม้ต้องกลายเป็นผี...หรือตกนรกขุมที่ลึกที่สุดข้าก็จะกลับมาลากพวกเจ้าทั้งสองลงนรกไปด้วยกันให้จงได้ ไป๋อี้เฉิน สวีเจียงหลี!”
เสียงนางสะท้อนก้อง ลมหอบใหญ่โหมโถมจนเปลวไฟคบเพลิงลู่ตามแรงลมพายุ ทหารยกนางขึ้น ทุ่มร่างเข้าไปในโลงไม้แข็งแรงแต่เรียบง่ายก่อนจะปิดฝาผนึกแน่น แต่ภาพสุดท้ายก่อนฝาโลงจะถูกกลับทำ หัวใจเจียงหลัวพลันเหน็บหนาว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เสี่ยวเฟิ่ง ไม่นะเจียงหลีนังคนสารเลว สังหารข้าก็แล้วไป เหตุใดต้องสังหารท่านพ่อ ท่านแม่และอาเฟิ่ง?! กรี๊ด...”
ภาพสุดท้ายคือลำคอของบิดา มารดา น้องชาย กับข้ารับใช้ของนางล้วนถูกดาบเล่มโตตัดขาดต่อหน้าตาเจียงหลัว มิคาดคิดเลยว่าสุดท้ายตนเองกับครอบครัวที่รักจะมีจุดจบเช่นนี้!
“สวรรค์คงไม่รับฟังคำขอของคนเลวเช่นข้า เช่นนั้นข้า สวีเจียงหลัวผู้นี้ขอวิงวอนต่อท่านพญายม ข้าขอโอกาสแก้แค้นพวกมันทั้งสองอีกครั้ง จะกี่หมื่นกี่แสนชาติ ข้าขอโอกาสสักครั้ง ขอให้ข้าได้หวนกลับมาแก้แค้นพวกมัน!”
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าฟาดลงบนพื้นปฐพี หลังจากจบคำวิงวอนขอของสวีเจียงหลัว ด้านบน ทหารกำลังกลบดินลงบนหลุมศพไร้ชื่อไร้แซ่ ร่วมร้อย หนึ่งบุรุษกับหนึ่งสตรีทอดสายตามองทหารทำงานด้วยสายตาเรียบนิ่ง สตรีก็ไม่สะท้านยามเห็นศพของบิดากับมารดาและน้องชายแท้ๆ ถูกจับโยนลงหลุมกลบฝังตรงหน้า ส่วนบุรุษยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง รู้ทั้งรู้ที่ตนเองฝังลงไปพร้อมกับสวีเจียงหลัวคือบุตรแท้ๆ ที่เขาคือบิดา
แต่ด้วยความหวาดระแวง กลัวสักวันสวีเจียงหลัวจะทรยศเขา เสี้ยมสอนให้ลูกของเขาคิดแย่งชิงบัลลังก์เช่นที่มารดาของเขาอบรมเขาจนมีวันนี้ ไป๋อี้เฉินจึงชิงลงมือก่อนนับว่าปลอดภัยยิ่ง!
สวีเจียงหลัวกรีดร้องด่าทอจนเสียงแทบแห้ง นางตะกุยฝาโลงจนเล็บฉีกขาดเข้าเนื้อ นางไม่รู้ว่าตนเองถูกฝังทั้งเป็นอยู่นานเท่าใด รู้เพียงนางทรมาน เริ่มขาดอากาศหายใจขึ้นเรื่อยๆ
“ชาตินี้ข้ารักผิดคน...ท่านแม่ขอโทษนะเจ้าก้อนแป้งน้อย ฮึก...เลือกสามีผิดยังไม่ร้ายเท่าเลือกบิดาให้ลูกผิดจริงๆ”
เสียงของนางทั้งแผ่วเบาและแหบแห้ง ด้านนอก บัดนี้นอกจากเสียงลมพายุฝนสวีเจียงหลัวก็มิอาจได้ยินเสียงใด ก่อนสติสุดท้ายจะมาถึง นางหวนนึกไปถึงบุรุษเดียวที่ดีกับนาง รักนางด้วยใจแท้จริง
ไป๋อี้หาน...
“ขอโทษ...ชาตินี้เป็นข้าที่ผิดต่อท่าน หากยังมีชาติหน้า ข้าสวีเจียงหลัวขอสัญญา ข้าจะรักท่านชดเชยที่ชาตินี้ท่านรักข้าจนลมหายใจ...สุดท้าย...”
หนึ่งร่างแต่เป็นสองชีวิตที่จบสิ้นลงไปพร้อมกัน...
จบสิ้นไปพร้อมความแค้นอันใหญ่หลวงนัก!!!
บทส่งท้ายส่วนเจียงหลัวและไป๋อี้หาน…ชีวิตคู่ของทั้งสองหาใช่ว่ามีเพียงความสุขราบเรียบ หากกลับเต็มไปด้วยทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไปตามสัจธรรมของโลกมนุษย์ บางคราย่อมมีเสียงหัวเราะกังวานสะท้อนทั้งตำหนัก แต่ก็ใช่ว่าจะปราศจากเสียงทะเลาะถกเถียงตามประสาสามีภรรยาที่ครองคู่ร่วมชีวิตกันยาวนานทว่า กาลเวลาอันยืนยาวนับสิบ ๆ ปี พิสูจน์ชัดว่า ไม่มีพายุใดใหญ่หลวงพอจะพรากทั้งสองจากกันได้ ไม่ว่าลมฝนจะถาโถมแรงเพียงใด ไม่ว่าภัยร้ายจากภายนอกหรือความขัดแย้งเล็กน้อยจากภายใน ต่างก็ไม่อาจทำให้มือที่จับกันมั่นคงต้องปล่อยแยกยามราตรีสงัด แสงจันทร์ขาวนวลสาดต้องเรือนผมหงอกขาวโพลนของทั้งคู่ ร่างกายแม้ชรา แต่เมื่อดวงตาของทั้งสองสบประสาน แววประกายอ่อนโยนก็ยังส่องสว่าง ราวกับวันแรกที่ได้ร่วมชีวิต ไม่พร่อง ไม่เสื่อมคลายไปตามกาลเวลาเรื่องราวแห่งรักและแค้นบนแผ่นดินต้าหรง จึงปิดฉากลงด้วยความสงบสุขที่แท้จริง สวีเจียงหลัวหลุดพ้นจากวิบากกรรมที่ติดพันมาหลายภพหลายชาติ คำสาบานต่อท่านพญายมก็ได้ถูกปลดเปลื้องแม้เขานางจะเสียดายอยู่บ้างต่อความทรงจำที่ทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่คำไหนก็คือคำไหน ชะตาต้องหมุนเวียนต่อไปนางได้รับโอกาสเวียนว่า
ในขณะที่ด้านนอกนครเสวียนหยางเต็มไปด้วยเสียงระฆังมงคลและรอยยิ้มยินดีภายในตำหนักเหมันต์กลับต่างออกไปประหนึ่งอยู่กันคนละโลกอากาศในเรือนหม่นหมอง อึมครึมราวกับมีเมฆดำบดบังตะวัน ทั้งที่แสงภายนอกสาดส่องเจิดจ้า ทว่าด้านในกลับเหมือนสวรรค์เองก็ไม่ปรารถนาจะทอดมองชะตาของผู้คนที่นี่ ความเงียบขรึมครอบคลุมไปทั่วทุกซอกมุม รั้วสูงและประตูหนาหนักปิดตายไม่ให้ผู้ใดเข้าออก กุญแจเหล็กดอกใหญ่แขวนอยู่ข้างประตูราวสัญลักษณ์ของการถูกกักขัง เสียงโซ่ตรวนเสียดสีกันในยามลมพัดพลันดังก้องสะท้อน ทำให้ทุกค่ำคืนคล้ายเสียงวิญญาณร่ำไห้สวีเจียงหลีถูกจองจำอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้มานานหลายเดือน นางนั่งก้มหน้ากุมหน้าท้องที่เริ่มปรากฏความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน รอยยิ้มที่ควรจะเปี่ยมสุขของสตรีตั้งครรภ์กลับไม่ปรากฏ มีเพียงแววตาหวาดหวั่นและความกังวลใจแผ่กระจายอยู่เต็มใบหน้า ยิ่งนับวันครรภ์นางยิ่งโตขึ้น นางก็ยิ่งแน่ใจว่าตนกำลังตั้งครรภ์จริง ๆหากเป็นสตรีอื่น คงเต็มไปด้วยความยินดี แต่สำหรับเจียงหลี มันคือฝันร้าย เพราะนางรู้อย่างแจ่มชัดว่าหากอี้เฉินรู้ นางจะไม่มีวันรอดพ้นแรกเริ่ม อี้เฉินมิได้เข้มงวดเรื่องยาห้ามครรภ์นัก แต่หลังเขากลั
รุ่งอรุณวันใหม่ เสียงกลองยามเช้าและระฆังวังหลวงดังขึ้นพร้อมกัน เจิดจ้าไปด้วยแสงตะวันอุ่นที่สาดส่องเหนือกำแพงวัง ประตูท้องพระโรงเปิดออกทีละชั้น เหล่าขุนนางก้าวเข้าสู่โถงใหญ่ด้วยท่วงท่าสงบเคร่งขรึมเบื้องสูง บัลลังก์มังกรประดับมุขทองตั้งตระหง่าน หย่งหมิงฮ่องเต้ประทับเหนืออาสน์มังกรในอาภรณ์สีทอง พระพักตร์สงบเยือกเย็น หากในพระเนตรลึกเร้นยังมีเงาความเหน็ดเหนื่อยจากหลายปีแห่งการครองราชย์ ทว่าครานี้กลับฉายความปลื้มปีติแผ่วบางอยู่บนพระพักตร์เสียงขันทีขานพระนามก้อง “ชินอ๋องไป๋อี้หาน น้อมถวายรายงานใต้เบื้องพระยุคลบาท!”ร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์เต็มยศสีดำปักดิ้นทองก้าวเข้ามาอย่างองอาจ ทุกย่างเท้าหนักแน่นก้องสะท้อนทั่วพื้นหินหยก ไป๋อี้หานก้าวมาหยุด ณ เบื้องหน้าโถงมังกร คุกเข่าลงโขกศีรษะถวายบังคม“กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท อายุยืนหมื่นปี หมื่นๆ ปี พ่ะย่ะค่ะ”หย่งหมิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรลงมา พระสุรเสียงเข้มทุ้มต่ำดังไปทั่วโถง “ลุกขึ้นเถอะ อี้หาน”“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”“เป็นเช่นไรบ้าง สถานการณ์ที่หุบเขาอวิ๋นเซิง กบฏเหล่านั้นบัดนี้สิ้นซากแล้วหรือไม่?”ไป๋อี้หานประสานมือขึ้น น้อมกายรายงานเสียงชัดเจน “กราบท
ไออุ่นของน้ำสมุนไพรลอยคลุ้งปกคลุมไปทั่วห้องหิน เสียงหยดน้ำกระทบพื้นดังแผ่ว ๆ ร่างสูงใหญ่ของไป๋อี้หานเอนกายนั่งอยู่ในอ่างหิน ดวงตาคมเข้มทอดมองสตรีตรงหน้าที่กำลังถลกแขนเสื้อเช็ดแผ่นหลังให้เขาอย่างเบามือเจียงหลัวก้มหน้ามิกล้าเอ่ยวาจา ความคิดถึงที่เก็บกดมานานกว่าครึ่งเดือนตั้งแต่เขาจากไปเหมือนจะพรั่งพรูออกมากับทุกสัมผัสที่นางถนอมมอบให้ ยามผ้าเนื้อนุ่มลูบไล้ผ่านรอยแผลเก่า หัวใจนางก็หวิวไหว ทั้งยินดีที่ครานี้เขากลับมาโดยปลอดภัยไป๋อี้หานมองเสี้ยวหน้าขาวผ่องที่เงยขึ้นเพียงเล็กน้อย ดวงเนตรมืดลึกพลันแฝงรอยยิ้มบาง เสียงทุ้มแหบพร่าดังขึ้น“ต้าหลัว…พวกเราร่วมหอกันมาครึ่งปีแล้ว เหตุใด…”เจียงหลัวชะงักปลายนิ้ว เงยหน้ามองเขาด้วยแววตาสงสัยปนขวยเขิน “อันใดหรือเพคะ?”บุรุษรูปงามยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เอ่ยคำเรียบง่ายทว่าหนักแน่น“เหตุใด…เจ้าจึงยังไม่มีเจ้าก้อนแป้งน้อยให้ข้าสักคราเล่า?”เจียงหลัวเบิกตาโตทันทีเมื่อฟังคำถาม อี้หานจึงกล่าวต่อ“นับจากวันแต่งงาน ข้าก็ขยันขันแข็งชวนเจ้าปั้นแป้งทุกค่ำคืน อาจเว้นบ้างยามบาดเจ็บจากศึกเจียงเหอ แต่ก่อนจะไปอวิ๋นเซิง ข้าก็…เต็มที่จนเกือบถึงรุ่งสางนะ”คำพูดตรงไปตรงมาทำใ
สายลมวสันต์ยามสายพัดผ่านม่านลูกไม้สีขาวบางของตำหนักกวางผิง แสงตะวันอ่อนลอดผ่านช่องว่างโปร่งบางเป็นริ้วระยับต้องพื้นระเบียง เงาไม้โยกไหวดังคลื่นเล็กในสระน้ำ บรรยากาศเงียบสงบประหนึ่งแผ่นดินที่เพิ่งผ่านพายุใหญ่สวีเจียงหลัวเอนกายอยู่บนเก้าอี้ไม้สลักลวดลายวิจิตร ดวงตาคู่งามทอดมองไปไกล มือเรียวยกถ้วยชาที่อบอวลด้วยกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ขึ้นจรดริมฝีปาก ไออุ่นของน้ำชาคลอเคลียปลายจมูก แต่ความอบอุ่นนั้นหาได้ชะล้างความเย็นเยียบในดวงตานางไม่แม้หลายวันมานี้นางมิได้ก้าวออกจากตำหนักกวางผิงสักก้าว แต่ทุกความเคลื่อนไหวในนครเสวียนหยางกลับไม่เคยหลุดพ้นหูตาของนางเลยแม้แต่น้อยหลันถิง นางกำนัลคนสนิท ก้าวเข้ามาคุกเข่ารายงานด้วยเสียงหนักแน่น“ชินหวางเฟย เพียงไม่กี่วัน ตระกูลใหญ่สิบกว่าสกุล ที่คอยเป็นมือเป็นเท้าให้กับองค์ชายสาม ถูกจวิ้นอันโหวกักขังไว้ในจวน รอชินอ๋องเสด็จกลับมาเพื่อประหารให้สิ้นแล้วเพคะ”สายตาของเจียงหลัววูบไหวเล็กน้อย ก่อนกลับมาเย็นชาเช่นเดิม หลันถิงยังมิหยุดรายงาน“พอองค์ชายสามทราบความ เขาเดือดดาลยิ่งนัก พอดีกับพระชายาสามเจียวและคนสนิทคิดหลบหนี ถูกเขาสังหารด้วยมือตนเองจนสิ้นแล้วเพคะ”เงียบไปค
กองทัพอวี้หลินซึ่งชินอ๋องทรงนำด้วยพระองค์เอง เคลื่อนพลออกจากประตูเมืองเสวียนหยางในต้นยามเหม่า เสียงฝีเท้าม้าศึกนับหมื่นดังสนั่นราวกลองศึกสะท้อนก้องไปทั่วสะท้านฟ้าสะเทือนปฐพีสายลมต้นฤดูวสันต์พัดเอาฝุ่นผงคละคลุ้งฟุ้งกระจาย ถนนดินแข็งเป็นร่องลึกจากกีบม้าและล้อเกวียน พื้นหญ้าเหี่ยวแห้งยังเกาะหยาดน้ำค้างระยิบระยับต้องแดดยามเช้า ธงศึกสีดำขลิบทองปักตัวกิเลนเพลิงเหยียบเมฆาโบกสะบัดกลางอากาศ ดุจเงาพญามัจจุราชนำทัพออกล่าเหยื่อสองฟากฝั่งถนน ชาวบ้านก้มศีรษะส่งเสียงอวยพร แม้มิรู้แน่ชัดว่าทัพใหญ่มุ่งไปที่ใด แต่ทุกครั้งที่อวี้หลินเคลื่อนพล ภายใต้การนำของชินอ๋องเทพสังหารผู้เกรียงไกรแห่งต้าหรง ล้วนเพื่อปกป้องแผ่นดินและประชาราษฎร์ทั้งสิ้นทว่าเพียงหนึ่งชั่วยามหลังทัพใหญ่ลับสายตา เสียงขันทีหลวงอ่านพระราชโองการก็ดังก้องไปทั่วลานหน้าตำหนักเหมันต์“องค์ชายสามไป๋อี้เฉิน คิดการใหญ่ ซ่องสุมกองกำลังลับ หวังก่อกบฏล้มราชบัลลังก์ อีกทั้งยังยักยอกเงินหลวงสะสมเสบียง โทษถึงตาย! แต่ด้วยพระเมตตาที่บิดามีต่อบุตร เจิ้นจึงลงทัณฑ์เพียงสั่งปิดตำหนักเหมันต์ กักขังตลอดชีวิต หากละเมิดก้าวออกแม้เพียงครึ่งก้าว ให้ตัดศีรษะได้ใน