เข้าสู่ระบบจิ่นหรงพาชายาตนมาถึงตำหนักได้ก็รีบพานางตรงไปยังห้องนอน โดยมีกู้อิงเถาตามมาด้วย
“คุณหนูกู้ เราต้องขออภัยที่นี่คือห้องส่วนตัวของพระชายากับรัชทายาท ไม่อาจปล่อยผู้อื่นเข้าไปก่อนได้รับอนุญาต คุณหนูกู้ได้โปรดออกไปรอด้านนอกขอรับ” มู่เฟิงเอ่ยกับสตรีที่เขาคุ้นหน้าดี เพราะก่อนนี้เคยร่วมทางกันมาก่อน “ข้าแค่จะเข้าไปดูพระชายาเท่านั้น ไยเจ้าต้องขวาง” “รัชทายาททรงดูแลพระชายาอยู่ เราเป็นคนอื่นอย่าเข้าไปยุ่งเลยจะดีกว่า พี่หานฟู่ พี่มู่เฟิง อย่าได้ปล่อยให้ใครเข้าไปกวนคู่สามีภรรยาด้านในเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่” “ได้!” สองสหายรับคำเสียงดัง หานฟู่จึงผายมือให้สตรีตรงหน้าออกไปรอด้านนอก แม้แต่ห้องโถงพวกเขาก็ไม่ให้นั่ง “ชิ! คอยดูเถิด วันไหนข้าได้เข้ามาอยู่ที่นี่ เจ้าสามคนจะต้องถูกเฉดหัวออกไปแน่” เสียงรอดไรฟันเอ่ยออกมาอย่างเคียดแค้น หลังจากโดนไล่ให้มานั่งอยู่ในศาลากลางสวนลำพัง ด้านคนบนเรือน ยามนี้กำลังลงแช่น้ำอุ่นอย่างสบายใจ “ดีขึ้นหรือเปล่า” จิ่นหรงเอียงหน้ามองคนที่นั่งพิงอกตน “หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรมากเพคะ” ตันหยางตอบเสียงแผ่ว ก่อนจะมองไปที่ประตู เพราะมู่หลิงกำลังเดินถือถาดเข้ามา “ดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ สักนิดนะเพคะ” “ขอบคุณพี่มู่หลิง” ตันหยางยิ้มหวานให้ แต่ยังไม่ทันที่จะเอื้อมไปเอา มือเรียวกลับยกมาลองชิมดูก่อน “อืม…อุ่นกำลังดี” สิ้นคำเขาก็เอามาจ่อที่ปากนาง “ดื่มสิ” ตันหยางจึงรีบดื่มโดยมีมือเรียวถือถ้วยป้อนจนกระทั่งมันหมด เขาก็ยกมือขึ้นมาเกลี่ยมุมปากให้อย่างอ่อนโยน ทว่าทุกอย่างกลับถูกขัดด้วยเสียงรายงานจากคนด้านนอก “รัชทายาท คุณหนูกู้เป็นลมหมดสติไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของจินเฉิงดูร้อนใจมาก เพราะเขาเพิ่งรู้ว่านางคือหนึ่งสตรีที่ช่วยพวกตนเอาไว้เมื่อครึ่งเดือนก่อน และคือคนที่คอยดูแลผู้เป็นนายด้วย เฝ้าไข้ในช่วงที่พวกเขาหมดสติ ด้านจิ่นหรงก็มีอาการตื่นตระหนกไม่แพ้กัน สำหรับเขาแล้วกู้อิงเถาคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตนเอาไว้ เมื่อนางพบกับความลำบากเขาจะนิ่งดูดายมิได้ “รีบพานางไปพักแล้วตามหมอมาตรวจดู ข้าต้องไปดูนางหน่อย เจ้าก็อย่าแช่น้ำนานนักนะ” “เพคะ” ตันหยางขยับตัวออกจากเขา ทว่าร่างแกร่งกลับไม่ได้ถอยออกในทันที เขาใช้มือจับไหล่นางหันมาหา “ข้าไม่อยากเป็นคนเนรคุณ เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่” “เพคะ” ตันหยางยังคงตอบกลับด้วยถ้อยคำสั้น ๆ ทว่าในความรู้สึกของคนฟังมันกลับเย็นชาและไร้ซึ่งความหมาย ‘นี่เจ้าไม่แยแสที่ข้าจะไปหาหญิงอื่นเลยหรือ’ จิ่นหรงนึกในใจ พร้อมกับเผยแววตาตัดพ้อออกมาอย่างไม่รู้ตัว “มู่หลิงดูแลนายเจ้าดีดี ข้าไปแล้วก็ขึ้นจากน้ำเสีย” สิ้นคำร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ตรงฉากกั้น และก่อนจะเดินออกไปก็ยังไม่ลืมหันมามองชายาของตน ทว่าตันหยางกลับนั่งตะแคงข้างหยิบผลไม้ใส่ปากและพูดคุยหยอกเย้ากับคนสนิทราวกับว่าในห้องนี้ไม่มีเขาอยู่เสียอย่างนั้น จนเสียงประตูปิดลง มู่หลิงจึงเอ่ยว่า “เหตุใดต้องทำเย็นชาใส่รัชทายาทเช่นนี้เพคะ” “ข้าก็ไม่รู้” ตันหยางตอบไปตามจริง นางไม่รู้หรอกว่าเหตุใดตนถึงได้เอ่ยแต่ประโยคสั้น ๆ และไม่อยากมองเขายามที่อีกฝ่ายจะเดินจากไป นางบอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดตนถึงเป็นเช่นนี้ รู้เพียงว่า มันจุกพูดไม่ออก และรู้สึกว่าการมองเขาเดินออกไปหาสตรีอื่น มันเป็นสิ่งที่ทำให้ใจดวงนี้ทรมานมาก เพราะเหตุนี้นางจึงไม่มองเขาและเอ่ยตอบไปเพียงถ้อยคำสั้น ๆ ทั้งที่ใจจริงอยากเอ่ยว่า ‘อย่าไปเลย' ทว่านางจะไปมีสิทธิ์เอื้อนเอ่ยประโยคเหล่านั้นหรือ ในเมื่อเขาคือรัชทายาท ผู้มีอำนาจอยู่เหนือคนทั้งปวง นางก็แค่พระชายาที่เขาต้องจำใจแต่งเข้ามา ไหนเลยจะสำคัญเท่ากับสตรีที่อยู่ในใจเขา และยามนี้ทั้งคู่ก็คงกำลังดูแลกันอยู่ มู่หลิงได้แต่มองอย่างสงสาร เพราะพอจะเข้าใจแล้วว่าผู้เป็นนายนั้นเป็นอะไร “ขึ้นเถอะเพคะ ประเดี๋ยวจะเป็นหวัด” ตันหยางขยับลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง จากนั้นนางก็ไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ ก่อนจะออกมานั่งเล่นที่ระเบียง “พระชายา รัชทายาททรงตรัสว่าคืนนี้คงต้องให้คุณหนูกู้พักที่ตำหนักไปก่อน นางอาการไม่ค่อยสู้ดีนักพ่ะย่ะค่ะ” อี้ฟานรับหน้าที่มารายงาน พร้อมกับลอบมองนายหญิงไปด้วย “แค่เป็นลมมิใช่หรือ เหตุใดต้องนอนค้างอ้างแรมที่นี่ด้วย” เสียงแหลมของสนมเกาดังขึ้นมาก่อนเจ้าของเรือนเสียอีก “เหมือนนางจะแพ้อะไรสักอย่างขอรับ หายใจไม่ค่อยสะดวก มือไม้อ่อนแรง รัชทายาทเกรงว่าหากส่งตัวนางออกไป อาจจะอาการทรุดหนักระหว่างทางได้ขอรับ” อี้ฟานรีบบอก ท่าทางเขาดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด “แล้วยามนี้พักอยู่ที่ใด” ตันหยางเอ่ยถาม “ห้องรับรองที่ตำหนักใหญ่พ่ะย่ะค่ะ” “อะไรนะ! นี่ให้พักที่เรือนใหญ่เลยหรือ นางเป็นคนนอกพักที่นั่นได้เยี่ยงไร ไยเจ้าไม่เตือนรัชทายาท หรือพระองค์คิดจะรับสนมเพิ่ม” เสนมเกายังคงแหวใส่องครักษ์หนุ่ม “เอ่อ… ไม่ใช่เช่นนั้นนะขอรับ” อี้ฟานโบกไม้โบกมือ “พระชายา พระองค์จะยอมไม่ได้นะเพคะ” ครานี้นางหันมาหาผู้ที่นั่งอยู่ด้านบน ซึ่งยังคงเงียบนิ่ง “พระชายา” มู่หลิงเรียกเตือนสติ “พี่ไปเตรียมกล่องยา แล้วตามข้าไปที่เรือนใหญ่” “เพคะ” มู่หลิงรีบเดินเข้าด้านใน ไม่นานก็ออกมา “องครักษ์อี้ฟาน ช่วยนำทางข้าไปที่ห้องคุณหนูกู้ที” “พะ… พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มรีบขยับก้าวเดิน ตามมาด้วยคนจากเรือนตน รวมถึงสนมเกาที่ไม่ยอมอยู่ฟังข่าว เมื่อมาถึงก็มีแค่ตันหยาง มู่หลิงและสนมเกาที่เข้าไป ภาพตรงหน้าทำเอาคนทั้งสามถึงกับชะงัก เพราะชายหญิงที่อยู่ในห้องกำลังนั่งโอบกอดกันอยู่บนเตียง “ว๊าย! คนป่วยแบบไหนกระโดดกอดสามีผู้อื่นเช่นนี้ น่าไม่อาย!” สนมเกาตรงเข้าไปกระชากแขนกู้อิงเถาออกทันที “อ๊ะ! เจ็บ” “อย่ามาสำออย ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเจ้าแข็งแรงดี เสแสร้งโผเข้าหาสามีผู้อื่นในยามที่ภรรยาเขาเข้ามา เพื่อสร้างความเข้าใจผิด ลูกไม้ตื้น ๆ เช่นนี้หลอกข้าไม่ได้หรอก ข้าไม่โง่” สนมเกายังคงแผดเสียงใส่อย่างรู้ทัน เพราะนางเคยคิดจะทำเช่นนี้มาก่อน รัชทายาทจึงรีบลุกมายืนข้างชายาของตน พร้อมกับมองหน้าด้วยแววตาเว้าวอนอย่างไม่เคยทำมาก่อน “ตันหยางข้า…” จิ่นหรงเงียบเสียง เพราะเกรงว่าตนเอ่ยออกไปคนตัวเล็กอาจจะไม่เชื่อ เพราะพูดไปมันก็เหมือนแก้ตัวถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ โยนผิดให้สตรีคือสิ่งที่ไม่ควรทำ “พูดมาเพคะ หรือจะปล่อยให้ผู้อื่นใช้ความเมตตาของพระองค์ เป็นมีดกลับมาเฉือนคอพระองค์เองในภายหน้า” ดวงตาคู่สวยจ้องลึกเข้าไปในแววตาเขา ราวกับจะมองให้ทะลุถึงข้างใน จิ่นหรงเองก็จ้องตานางกลับก่อนจะเอ่ยว่า “ถ้าข้าบอกว่าข้าไม่ได้ทำอันใดนาง เจ้าจะเชื่อหรือไม่” “เชื่อ! เพคะ” สนมเการีบตอบ ทว่าคนถามกลับไม่ได้หันมาใส่ใจนางเลยสักนิด เขายังคงจ้องชายาตัวน้อยของตนเช่นเคย “เชื่อเพคะ หากพระองค์บอกไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำ ต่อไปอย่าให้ความสงสารทำให้ตนเองต้องลำบากใจอีกเข้าใจไหมเพคะ” “อืม… ข้าจะจำไว้” “เช่นนั้นทางนี้พระองค์จะจัดการเอง หรือจะให้หม่อมฉันจัดการแทนเพคะ” น้ำเสียงตันหยางยังคงราบเรียบ ทว่ามันกำลังแฝงไปด้วยพลังงานบางอย่างที่ทำให้จิ่นหรงต้องรีบเอ่ยว่า “เจ้ามีหน้าที่ดูแลตำหนัก เช่นนั้นให้เจ้าเป็นคนจัดการน่าจะดีกว่า อีกอย่างเจ้าเป็นหมอ ตรวจดูนางหน่อยก็แล้วกัน ถ้าหากไม่หนักก็ให้คนของเราออกไปส่งนางเถิด” “เพคะ” ตันหยางตอบรับสั้น ๆ เช่นเคย จากนั้นร่างอรชรก็เดินตรงไปที่เตียงเพื่อจะตรวจอาการคนป่วย แต่ก็มีเสียงก่นด่าแทรกขึ้นมา “ข้าได้ยินว่าเจ้าหายใจไม่คล่อง จะตายแหล่มิตายแหล่ แต่เหตุไฉนมีแรงลุกขึ้นมากอดสามีชาวบ้านได้ ข้าล่ะอยากรู้นักว่าเจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ถึงได้กล้ามาทำเรื่องน่าอายเช่นนี้ในตำหนักบูรพา ไร้ยางอายสิ้นดี” “นี่เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาว่าข้า ขนาดพระชายายังไม่ตรัสสิ่งใดสักนิด อีกอย่าง…ข้าก็เป็นผู้มีพระคุณขององค์รัชทายาท ข้าเคยช่วยชีวิตและดูแลเฝ้าพระองค์จนหายดี เจ้านั่นแหละไร้ยางอาย” กู้อิงเถาแผดเสียงใส่อีกฝ่ายไม่ไว้หน้าเช่นกัน “ดูเหมือนคุณหนูกู้จะไม่เจ็บป่วยแล้วกระมัง ถึงได้มีแรงโต้เถียงกับสนมเกาเสียเต็มที่เชียว” ตันหยางยกยิ้มมองอีกฝ่ายสองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม
นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา
หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า
หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา
ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย
จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”







