เข้าสู่ระบบร่างสูงของเจ้าบ่าวได้หยุดยืนที่กลางห้องราวกับชั่งใจ แต่ความเป็นจริงจิ่นหรงกำลังตื่นเต้นต่างหาก
“นี่ท่าน…” มู่หลิงเห็นอีกฝ่ายก็ยกนิ้วชี้หน้า “อย่าเสียมารยาท คนผู้นี้คือรัชทายาท” มู่เฟิงรีบเอ่ยบอกน้องสาวของตน ก่อนที่นางจะทำกิริยาหยาบคายใส่ “ระ…รัชทายาทหรือ” คนตื่นตระหนกยังคงไม่เชื่อ “เรื่องอื่นเอาไว้เราจะอธิบายภายหลัง ว่าแต่นายของเจ้าที่แต่งเข้ามา ใช่แม่นางที่ช่วยรัชทายาทเอาไว้วันนั้นหรือไม่” อี้ฟานเอ่ยถามแทนผู้เป็นนาย ซึ่งยืนนิ่งจ้องมองเจ้าสาวของตนด้วยดวงตาเปล่งประกายราวกับเก็บของรักที่หล่นหายกลับคืนมาได้ “ใช่… เป็นคุณหนูของเราเองที่ช่วยพวกท่านไว้เมื่อครึ่งเดือนก่อน” มู่หลิงเอ่ยบอกเสียงอ่อนลง จิ่นหรงยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างชายาของตนที่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้นที่ถูกนำมาตั้งเอาไว้ “เปิดผ้าก่อนเพคะ” แม่สื่อหลวงเอ่ยบอก เจ้าบ่าวจึงทำตามโดยการใช้ไม้ยกผ้าคลุม ไม่ถึงอึดใจมันก็ร่วงหล่นลงไปกองทางด้านหลัง เผยใบหน้างามหวานหยดย้อยให้เห็น ทำเอาจิ่นหรงถึงกับนิ่งงันไปในทันที ทว่าเจ้าสาวกลับขมวดคิ้วด้วยความมึนงง “พี่ชายสุดหล่อ ไยท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า” ตันหยางเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ พร้อมกับมองไปยังชายหนุ่มคุ้นตาอีกสองคน จิ่นหรงถึงกับผงะ เพราะคำเรียกที่ได้ยิน มันเหมือนที่สตรีหยาบกร้านผู้นั้นใช้เรียกเขาทุกครั้งยามที่นางเข้ามาช่วยใส่ยาให้ ‘มิใช่นางผู้นั้นหรือ’ ครุ่นคิดอย่างผิดหวัง “สุรามงคลเพคะ” แม่สื่อยังคงทำหน้าที่ ด้านเจ้าสาวรับมาถือโดยไม่คิดอันใด ส่วนเจ้าบ่าวนั้นยังคงนั่งนิ่ง แม้คราแรกที่เห็นใบหน้างามของตันหยางเขาจะเผลอตื่นเต้นดีใจ เพราะคิดว่าตนนั้นโชคดีนักที่ได้แต่งกับหญิงงาม ทว่าเมื่อนางเอ่ยปากแสดงท่าทางเหมือนครั้งที่พบกัน ใจเขากลับห่อเหี่ยวลงในทันที ราวกับของรักหล่นหายไปอีกครา “ดื่มสิเพคะ” ตันหยางยื่นจอกสุราน้ำเต้าไปชนกับอีกฝ่าย จากนั้นนางก็ดื่มรวดเดียวหมด พอเห็นเจ้าบ่าวยังคงนั่งนิ่ง นางก็ช่วยดันมันเข้าปากเขาเสียเอง สุดท้ายจิ่นหรงจึงต้องดื่มมันเข้าไปจนหมด แล้วแม่สื่อก็เก็บกลับไป “ตัดผมผูกรักเพคะ” สิ้นคำหญิงชราก็ยื่นกรรไกรให้ ตันหยางรับมาจัดการเอง เพราะพระสวามียังคงนั่งนิ่งเช่นเคย ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้ต่อต้าน ด้วยว่ามีคนของบิดายืนมองอยู่ หากเขาไม่ทำตามเป็นได้ถูกตำหนิจนหูชาเป็นแน่ หลังจากจัดการทุกอย่างแล้วเสร็จ ภายในห้องก็เหลือเพียงแค่บ่าวสาว ยามนี้เองที่ตันหยางได้สังเกตอีกฝ่ายชัด ๆ “ก่อนหน้านี้ เห็นพระองค์ตอนเจ็บตัวก็ว่ารูปงามแล้ว นึกไม่ถึงว่ายามสบายดีจะรูปงามยิ่งกว่า งามอย่างกับเทวรูปที่ถูกปั้นแต่งมาเลยเพคะ” นางกล่าวชมเขาจากใจจริง แววตาหรือก็ทอประกายระยิบระยับราวกับเด็กน้อยเห็นขนม “ข้าไม่ชอบเจ้า และจะไม่มีวันชอบ” เสียงเย็นชาเปล่งออกมาทำลายทุกสิ่งรอบตัว แม้แต่คนที่ไม่ยี่หระกับเรื่องใดอย่างมู่ตันหยางยังนิ่งงัน เพราะนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าเอ่ยเช่นนี้ออกมาในวันแต่งงานที่ควรจะเป็นวันเริ่มต้นที่ดี ร่างเล็กขยับถอยห่างออกมานั่งตัวตรง แววตาที่เคยเปล่งประกายเรียบนิ่งดุจสายน้ำที่ไม่มีการเคลื่อนไหว ริมฝีปากอิ่มเผยยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “แต่หม่อมฉันชอบองค์รัชทายาทมากนะเพคะ ชอบมากจริง ๆ” ก่อนจะขยับเข้าหา นางกะพริบตาถี่ให้เขา และยังยื่นมือออกมาเกาะแขนพระสวามีเอาไว้ด้วย จิ่นหรงขยับลุกหนีทันที และก่นด่านางราวกับแค้นเคืองกันมานาน “สตรีน่ารังเกียจ ไม่รู้จักคำว่ายางอายบ้างเลยหรือ” “บ้าจริง คำเหล่านี้มันควรใช้กับคนที่เป็นสามีภรรยากันหรือเพคะ หม่อมฉันมิได้ไปทำเรื่องน่าอายกับคนอื่นเสียหน่อย เหตุใดพระสวามีถึงได้ตำหนิชายาเช่นนี้” มือขาวแสร้งยกขึ้นมาปาดน้ำตาของตนราวกับเสียใจมาก จิ่นหรงเห็นเช่นนั้นก็นิ่งไป แต่ถึงกระนั้นเขาก็หาได้เข้ามาปลอบนาง มิหนำซ้ำยังพาตนออกไปจากห้องอีก ทว่าประตูมันกลับเปิดออกไม่ได้ และยังมีเสียงตอบกลับมา “ฝ่าบาทและไทเฮาทรงรับสั่งว่า รัชทายาทจะต้องบรรทมที่นี่พ่ะย่ะค่ะ” เป็นเสียงของซูกงกงที่กล่าวบอก “นอนที่นี่ ไม่! ข้าจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ” “ฝ่าบาทรับสั่งว่าหากไม่ทรงทำตาม จะตัดงบซ่อมแซมสะพานที่หมู่บ้านเปิ่นพ่ะย่ะค่ะ” ซูกงกงยังคงเอ่ยต่อ ทำให้มือเรียวที่กำลังทุบประตูต้องหยุดลง ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้กลับไปที่เตียงนอน แต่เดินไปนั่งบริเวณตั่งริมหน้าต่างแทน “อย่ารื้อของหม่อมฉันนะเพคะ” เสียงหวานแว่วมา จิ่นหรงเพียงแค่เหลือบตามองแต่ไม่ได้ตอบ เมื่อเห็นนางเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำเขาจึงหันมาสนใจข้าวของตรงหน้า คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นรูปภาพมากมายวางอยู่ แต่ละใบมันมีรูปร่างที่ต่างกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เขาไม่เคยเห็น “นี่มันอะไร?” นัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย และเขาก็นั่งพินิจอยู่เช่นนั้นเนิ่นนานจนกระทั่งเสียงดุของชายาตัวน้อยดังขึ้น “บอกแล้วว่าอย่ารื้อ” นางตำหนิเขาจริงจัง พร้อมกับทรุดกายลงมานั่งตรงข้าม จัดเก็บแผ่นกระดาษหยาบเหล่านี้มาซ้อนทับกัน โดยมีการพิจารณาด้วยว่าอันไหนก่อนหลัง จิ่นหรงได้แต่นั่งนิ่ง เพราะเหมือนว่าเขาจะทำให้นางโกรธแล้ว ทว่ามันก็ดีมิใช่หรือ ชายาที่ไม่ได้เต็มใจแต่งผู้นี้ จะได้เลิกยุ่งกับเขา ให้นางโกรธจนไม่เข้าใกล้ได้ยิ่งดี “กะอีแค่ภาพวาดมั่ว ๆ ไม่เห็นมีค่าสักนิด” ตันหยางยกยิ้มก่อนจะขยับเอามือมาค้ำบนโต๊ะแล้วโน้มตัวเข้าไปหาเขาจนใบหน้าห่างกันเพียงแค่คืบ กลิ่นหอมสมุนไพรจึงโชยเข้าจมูกอีกฝ่ายโดยที่นางก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็น “เพราะพระสวามีเข้าไม่ถึงภาพวาดของหม่อมฉันน่ะสิเพคะ หากรู้ว่ามันคืออะไร พระองค์คงไม่ตรัสเช่นนี้กระมัง” สิ้นคำมือขาวก็ยื่นออกไปเกลี่ยแผงอกแกร่งอย่างหยอกเย้า “อย่ามาทำลุ่มล่ามกับข้า” เขาจับมือนางดันออกอย่างไม่ไยดี และแทนที่ชายาตัวน้อยจะโกรธกลับยิ้มอ่อนเสียนี่ “ไปสรงน้ำเถิดเพคะ ตัวเหม็นจะแย่” เอ่ยโดยไม่มองหน้า เพราะยามนี้นางกำลังหันมาสนใจแผ่นกระดาษเพื่อจัดเรียงใหม่ ปึ้ง! ฝ่ามือเรียวฟาดลงบนโต๊ะทันที จากนั้นร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังห้องอาบน้ำเพื่อชำระร่างกายให้ใจเย็นลง ผ่านไปพักใหญ่เขาก็ออกมา และพบว่าชายาตัวน้อยยังนั่งอยู่ที่เดิม และกำลังขีดเขียนบางสิ่งอยู่ เห็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอีก เพราะการอยู่อย่างเงียบสงบมันน่าจะดีกว่า “พระสวามีบรรทมได้เลยนะเพคะ หม่อมฉันจะนอนตรงนี้” ตันหยางเอ่ยโดยไม่ได้หันกลับมามองอีกฝ่ายสักนิด ร่างสูงจึงหยุดชะงักเพราะเขาเดินออกมานั้นเบามาก แล้วนางรู้ได้เยี่ยงไรว่าเขาออกมาแล้ว หรือเห็นแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่นางก็นั่งหันหลังมิใช่หรือ แล้วจะเห็นได้เยี่ยงไรกัน ทว่าแม้เขาจะสงสัย ถึงกระนั้นจิ่นหรงก็ไม่ได้ถาม เขาเดินมานั่งที่เตียงก่อนจะเอนตัวลงเพื่อเข้านอน ในเมื่อนางอยากยื่นข้อเสนอให้ เขาก็ยินดีที่จะสนองให้ตามต้องการ ยามจื่อ [ 23:00-00:59 ] แสงเทียนยังคงวูบไหวในมุมหนึ่งของห้อง พร้อมกับเงาร่างของตันหยางที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา นางก้มเงยอยู่เช่นนั้นราวกับสิ่งที่ทำอยู่ไม่อาจหยุดชะงักได้ กระทั่งเสียงหนึ่งดึงความสนใจให้นางต้องเอ่ยขึ้น “นอนไม่หลับหรือเพคะ” เอ่ยถามโดยไม่ได้หันมามอง จิ่นหรงได้แต่นิ่งไป กระทั่งใบหน้างามนั้นหันมาหาเขา แต่นางก็หันกลับไปไม่แยแสเมื่อเห็นเขายังคงไม่ตอบ จากนั้นตันหยางก็วาดภาพต่อ ราวกับในห้องนี้มีแค่ตนผู้เดียว ส่วนผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็กลับไปนอนต่อ ทว่านอนอย่างไรเขาก็นอนไม่หลับ สายตายังคงจับจ้องมาที่ร่างอรชรของชายาที่ยังคงก้มหน้าก้มตาวาดภาพ ราวกับว่าต้องทำให้มันเสร็จภายในคืนนี้ แต่เพียงไม่นานแสงเทียนที่ส่องสว่างกลับเริ่มดับวูบลงทีละดวง กระทั่งเหลือเพียงแค่แสงรำไรเท่านั้น ไม่ถึงอึดใจร่างที่เขาเห็นนั่งอยู่ก็ขยับลุกขึ้น นางเดินตรงมาที่เตียงแล้วหยุดยืนมองเขาด้วยแววตาราบเรียบ ‘อะไรของนาง’ จิ่นหรงคิดอย่างกังวลสองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม
นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา
หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า
หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา
ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย
จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”







