เข้าสู่ระบบหลังจากจัดการตนเองเรียบร้อย ตันหยางก็รีบออกจากห้อง วันนี้นางตั้งใจจะไปเยี่ยมไทเฮาที่ตำหนักใหม่ เพราะนี่ก็สามวันแล้วตั้งแต่เกิดเรื่อง ตนยังไม่ได้ไปถามไถ่อาการเลย แต่จะว่าไปนางเองก็เพิ่งฟื้นเมื่อบ่ายวาน จึงไม่ได้ไปเยี่ยมผู้ใด
“เจ้าจะไปไหน” จิ่นหรงเอ่ยถามชายาตัวน้อยเสียงอ่อน วันนี้นางแต่งกายด้วยอาภรณ์พลิ้วไหวสีชมพูอ่อน มันช่างขับกับผิวพรรณขาวผ่องของนางดีเหลือเกิน เสียก็ตรงเนินอกมันดูล้นจนเกินไป ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเดินมาหา แล้วยกผ้าที่คล้องอยู่บนแขนขึ้นมาพาดลงปิดส่วนที่ล้นออกมา “ใครเขาทำอย่างนี้กันเพคะ” ตันหยางท้วง พร้อมกับดึงผ้าลงมาไว้ที่แขนตนตามเดิม แต่อีกฝ่ายก็ยังจับพาดบ่าเช่นเคย “อย่าดื้อ มันดูไม่งามมิเห็นหรือ” เอ่ยพร้อมกับจ้องมาที่เนินเต้าอวบอิ่มของชายา และเขาก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น “คนชีกอ คิดว่าคนอื่นเขามีตามองแต่ตรงนี้เหมือนพระองค์หรือเพคะ ลามก” นางต่อว่าเขาก่อนจะรีบเดินหนี จิ่นหรงมองตามพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วหันมาหาคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล “คนเช่นข้าหรือชีกอ นางแต่งกายไม่มิดชิดข้าก็แค่ตักเตือน แต่นางกลับด่าข้ากระนั้นหรือ” สองสหายยิ้มแหย แต่ไม่มีใครกล้าตอบอันใด “ว่ามา! ข้าชีกอ ลามกตรงไหน” จิ่นหรงถามเสียงดัง สองสหายมองหน้ากันอีกรอบ ก่อนจะเป็นจินเฉิงที่เอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “ปกติสตรีในแคว้นหนานเราก็แต่งกายเช่นนี้ พระชายาก็ทรงสวมชุดฮั่นฟู่ตามแบบขนบธรรมเนียมของแคว้นเรา มีตรงไหนผิดพลาดหรือพ่ะย่ะค่ะ” “ผิด! นางชอบใส่ชุดเผยเนื้อหนังมังสา” “รัชทายาทหวงหรือพ่ะย่ะค่ะ” อี้ฟานเอียงหน้ามอง จิ่นหรงเงียบไปทันที เมื่อตั้งสติได้จึงรีบเอ่ยว่า “ไม่มีทาง! ข้าแค่เกรงว่านางจะทำให้ราชวงศ์ต้องอับอายเท่านั้น ข้าเป็นถึงรัชทายาท จะมาเสียชื่อเพราะการแต่งกายของนางไม่ได้ หากไม่คุมเข้มนาง ภายหน้ามู่ตันหยางจะต้องนำเรื่องเสื่อมเสียมาให้ข้าต้องหงุดหงิดอีกเป็นแน่” “อ๋อ!!” สองสหายร้องออกมาพร้อมกัน ผู้เป็นนายเหลือบมองด้วยหางตาเล็กน้อย ก่อนจะเดินนำออกไปเพื่อดูว่าชายาตนไปที่ใด พอรู้ว่านางไปเยี่ยมเสด็จย่าเขาจึงแยกไปทำงาน ด้านตันหยาง ยามนี้นางกำลังตรวจชีพจรให้ไทเฮา สร้างความปลาบปลื้มให้กับคนแก่ยิ่งนัก ถึงกับเอ่ยชมไม่หยุดปากเชียว “วาสนาของราชวงศ์เจิ้งของเราจริง ๆ ที่ได้เจ้ามาเป็นสะใภ้ ย่าดีใจเหลือเกินหยางเอ๋อร์” กล่าวพร้อมกับลูบหัวอย่างเอ็นดู “หม่อมฉันยินดีที่ได้รับใช้ราชวงศ์เจิ้งเพคะ” หญิงสาวตอบกลับด้วยถ้อยคำหวานหู เรื่องเอาใจคนนั้นไม่ต้องเป็นกังวลเลย ตันหยางมีวิธีทำให้คนรอบตัวรักใคร่ได้เสมอ เพราะเหตุนี้บิดาและพี่ ๆ จึงไม่ค่อยเป็นห่วง ห่วงก็แค่คนที่คิดร้ายกับตันหยางมากกว่า เพราะคนคนนั้นไม่มีทางอยู่ดีมีสุขแน่ “ไทเฮา คนจากตำหนักในมาเพคะ เห็นว่าฮองเฮาอยากเชิญพระชายาไปพบ มีของขวัญจะให้เพคะ” นางกำนัลเอ่ยรายงาน ก่อนจะถอยออกไปยืนที่มุมห้อง “ดูท่าฮองเฮาคงอยากขอบคุณเจ้าเรื่องวันนั้นกระมัง ไปเถิด เสร็จแล้วก็กลับไปพักผ่อนเสีย” ตันหยางยิ้มรับก่อนจะย่อตัวคารวะอีกฝ่าย แล้วเดินตามนางกำนัลที่มาเชิญตนออกไป โดยมีไทเฮามองตามจนลับตา “ทั้งงดงามและแข็งแกร่งนะเพคะ” หลี่หมัวมัวเอ่ย “ใช่… เป็นบุญของราชวงศ์เจิ้งเราจริง ๆ หากไม่มีนาง เรากับเยว่เอ๋อร์และคนอื่น ๆ คงตายไปแล้ว” “ทว่าหม่อมฉันได้ยินว่า องค์รัชทายาทไม่ค่อยใส่พระทัยพระชายาสักเท่าใดเพคะ” คนสนิทรีบรายงาน “จริงหรือ? จิ่นเอ๋อร์นี่ไม่ได้ความจริง ๆ ให้คนไปตามเขามา ข้าคงต้องอบรมนิสัยเจ้าเด็กคนนี้ใหม่เสียแล้ว” คนสนิทรับคำแล้วก็สั่งนางกำนัลไปทำหน้าที่ คาดว่าอีกไม่นานรัชทายาทก็คงเสด็จมา และคงได้หูชาอีกตามเคย ด้านตันหยาง เมื่อเดินเข้ามาในตำหนักในก็พบว่าฮองเฮามิได้อยู่ผู้เดียว แต่มีแขกคุ้นหน้านั่งรวมอยู่ด้วยอีกคน “ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” “ตามสบายเถิด มา ๆ มานั่งตรงนี้” มารดาของแผ่นดินรีบเอ่ยกับคนที่ช่วยชีวิตตน พร้อมกับยิ้มกว้างต้อนรับอย่างเป็นมิตร ตันหยางจึงหันมายิ้มให้สตรีอีกคนก่อนจะนั่งลง “นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะโชคดีได้ยลโฉมพระชายารัชทายาทด้วย ทรงจำหม่อมฉันได้ไหมเพคะ” ผู้ที่นั่งอยู่เอ่ยทักทาย “จำได้ พี่กู้อิงเถา สบายดีหรือเจ้าคะ” “หม่อมฉันสบายดีเพคะ” อีกฝ่ายยิ้มอ่อนให้ “นี่เจ้าสองคนรู้จักกันด้วยหรือ” ฮองเฮารีบเอ่ยถาม เพราะนึกไม่ถึงว่าญาติผู้น้องตนจะรู้จักกับพระชายาของรัชทายาท “เราเคยเดินร่วมทางกันเพคะ ยามนั้นเกิดเหตุไม่คาดคิดด้วย มีกลุ่มคนถูกลอบทำร้ายมาขอความช่วยเหลือ พระชายารัชทยาทจึงช่วยเอาไว้ และยังรักษาบาดแผลให้ชายหนุ่มผู้นั้น จับเขาเปลื้องอาภรณ์ด้านบนจนหมดเพื่อใส่ยาให้ และยังคอยเฝ้าไข้ให้ตลอดทั้งคืนเลยนะเพคะ” กู่อิงเถายังคงจีบปากจีบคอกล่าว หมายจะให้ฮองเฮาเอาเรื่องนี้ไปทูลไทเฮาให้ทรงทราบ รับรองว่ามู่ตันหยางต้องถูกตำหนิและสอบสวนเป็นแน่ การทำผิดจารีตก่อนเข้าวังถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามอันร้ายแรงของสตรี หญิงสูงศักดิ์ไม่ควรแต่ต้องบุรุษอื่นนอกจากคู่ครอง “มะ… มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” เสียงของฮองเฮาติดขัดทันที พร้อมกับหันมามองหน้าตันหยางเป็นเชิงถาม “มีเพคะ และมันเป็นเรื่องปกติด้วย เพราะก่อนหน้าจะแต่งเข้าวัง หม่อมฉันคือผู้ดูแลสำนักคุ้มภัยของท่านปู่ คนรอบตัวส่วนมากมักจะเป็นบุรุษ และหลาย ๆ ครั้งที่ช่วยคนก็ไม่ได้นึกว่าอีกฝ่ายจะเป็นหญิงหรือชาย หากประสบเคราะห์มาทุกคนในสำนักย่อมช่วยเป็นธรรมดา ส่วนชายหนุ่มที่หม่อมฉันดูแลทั้งคืน เขาเจ็บหนักและเสียเลือดมาก ในฐานะคนเป็นหมอก็จำต้องเฝ้าดูอาการตลอด มิเช่นนั้นเขาอาจสิ้นชีพได้ทุกเมื่อ หม่อมฉันไม่อาจเห็นใครตายไปต่อหน้าได้เพคะ” ตันหยางเอ่ยบอกเหตุผล ทว่าสายตาที่มองกู้อิงเถาไร้ซึ่งความเป็นมิตรเช่นเคย เพราะคำพูดของสตรีผู้นี้เหมือนจงใจทำให้ฮองเฮาเข้าใจตนผิด “เป็นเช่นนี้เองหรือ หากเจ้าเป็นหมอ เรื่องช่วยคนย่อมไม่แบ่งหญิงชายเป็นเรื่องธรรมดา มิน่าเจ้าถึงยอมเสี่ยงช่วยพวกเราขนาดนั้น ขอบใจนะลูกสะใภ้” ฮองเฮาเผยยิ้มเอ็นดู ก่อนจะหันมาหาคนสนิท นางกำนัลจึงรีบยื่นกล่องให้ “นี่เป็นมุกที่เมืองเปี้ยนส่งมา มีแต่เม็ดงาม ๆ เลยนะ แม่ให้เจ้านะหยางเอ๋อร์ เจ้าอยากเอาไปทำเครื่องประดับแบบไหนก็ตามใจเจ้าเลย” ฮองเฮาเอ่ยเสียงอ่อนด้วยความเอ็นดู ทว่าผู้ที่นั่งมองกลับกำมือแน่น ‘หญิงหยาบกร้านเช่นนี้ ควรค่ากับมุกงาม ๆ ที่ไหนกัน เหตุใดท่านพี่ไม่เหลือแบ่งมอบให้ข้าบ้าง’ อิงเถาตำหนิญาติผู้พี่ตนในใจ แววตาที่มองทั้งคู่มิได้เป็นมิตรเลย ทว่าไม่ถึงอึดใจมันก็หายไป “อิงเถา พี่ก็มีของให้เจ้านะ” ฮองเฮาหันมาพยักหน้าให้คนสนิท หลี่หมัวมัวจึงถือเอากล่องไม้ไปส่งให้ ผู้รับก็รีบเปิดออกดูทันที “ชอบหรือไม่ อันนี้พี่สั่งทำให้เจ้ากับน้องรองเลยนะ” “ชอบเพคะ” อิงเถาเงยหน้าขึ้นมาตอบ ทว่าในใจยังคงอยากได้มากกว่าที่มือตนถือ เพราะในนี้ก็แค่ปิ่นมุกไม่กี่อัน ไหนเลยจะเทียบกับมุกล้วน ๆ ที่มีอยู่เต็มกล่องบนมือมู่ตันหยางได้ ทว่าความแค้นที่มีในใจกลับมลายหายไป เมื่อนางได้ยินรายงานจากนางกำนัลที่เดินเข้ามาหยุดกลางห้อง “ฮองเฮา รัชทายาททรงเสด็จมารับพระชายาเพคะ” “อะไรกัน ถึงกับห่างไม่ได้เลยหรือ ถึงได้รีบมารับกลับเช่นนี้ ข้ายังไม่ทันได้คุยอันใดกับสะใภ้เลยนะ” ฮองเฮาบ่นพึมพำ ก่อนจะมองไปยังร่างสูงที่เดินตรงเข้ามาและคำนับนาง “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะพาพระชายาไปเข้าเฝ้าเสด็จย่าด้วยกัน ขอฮองเฮาทรงอนุญาตด้วย” จิ่นหรงเอ่ยจบก็หันไปหาชายาของตนที่นั่งอยู่ทางด้านขวามือ ทว่าเสียงหนึ่งกลับดังขึ้นมาขัดจังหวะ ทำให้ทุกคนต้องหันไปสนใจ “ระ…รัชทายาท! นี่ท่านเป็นรัชทายาทหรือ จำหม่อมฉันได้ไหมเพคะ สตรีที่ช่วยพระองค์ไว้เมื่อครึ่งเดือนก่อน และคอยเฝ้าไข้พระองค์ตลอดทั้งวัน” กู้อิงเถารีบลุกขึ้นมาให้อีกฝ่ายเห็น พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้บุรุษตรงหน้าอย่างไม่เคอะเขินสองเค่อต่อมา [ครึ่งชั่วโมง]มู่หลิงก็ปรากฏตัวในห้องผู้เป็นนาย“พวกเจ้าออกไปเถิด มีแค่คนของข้าก็พอแล้ว” ตันหยางเอ่ยบอกนางกำนัลทั้งสอง เมื่อประตูปิดลงนายบ่าวก็เดินมาที่โต๊ะ“พระชายาจะทำอันใดหรือเพคะ”“ข้าสงสัยว่าคนที่เลี้ยงนกน่าจะเป็นสนมผิง”“สนมผิง” มู่หลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “จะเป็นไปได้เช่นไรเพคะ”“เมื่อกลางวันข้าได้กลิ่นสาปบนตัวของนางกำนัลที่อยู่ข้างกายสนมผิง ข้าจึงแสร้งขอตามนางไปที่ตำหนักเพื่อดูโรงเพาะสมุนไพร นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับสิ่งผิดปกติหลายอย่าง เรือนเก่าด้านหลังน่าจะเป็นที่เลี้ยงนก แต่นางรอบคอบมาก แขวนกระดิ่งไว้ทั่วตำหนักเชียว คงคิดเอามากลบเสียงของพวกมันกระมัง แต่เผอิญกลิ่นสาปมันรุนแรงเกินไป แม้จะใช้กลิ่นดอกไม้รวมถึงพืชสมุนไพรในตำหนักมากลบ มันก็ยังลอยเล็ดลอดมาให้สัมผัสพบเจอเข้าจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดก่อน”“ทราบแล้วเพคะ” มู่หลิงตอบรับ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า“แล้วพระชายาจะไม่แจ้งให้รัชทายาทรู้หรือเพคะ”“แจ้งสิ แต่ต้องหลังจากเราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ก่อน ยามนี้เขาก็คงวุ่นวายอยู่เหมือนกัน” ช่วงหลังน้ำเสียงนางแผ่วลง“มีเรื่องหนึ่ง หม่อมฉันไม่รู้ควรทูลหรือไม
นับจากวันนั้นทั้งคู่ก็เหมือนจะห่างกันมากขึ้น จิ่นหรงออกจากตำหนักเช้ากว่าจะกลับก็มืดค่ำ วนเวียนเช่นนี้มานานกว่าห้าวันแล้ว ซึ่งตันหยางรู้ดีว่าเขากำลังยุ่งกับงาน นางจึงไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร แต่ก็ยังมีแอบไปสืบข่าวที่ตำหนักใหม่ไทเฮาอยู่บ้างอย่างเช่นวันนี้นางก็กำลังจูงพระหัตถ์ไทเฮาเดินเล่นอยู่ในสวน มีข้ารับใช้เดินตามอีกหกคน นางจึงคอยสังเกตุท่าทางคนเหล่านี้ แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นคนที่ตนเคยช่วยชีวิตไว้ก็ตาม“หยางเอ๋อร์ ย่าได้ยินว่าเจ้ากับรัชทายาทยังไม่เข้าหอกันอีกหรือ เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ย่าจะได้อุ้มเหลนกันล่ะ” คนแก่เอ่ยมาทีก็ทำให้คนที่เดินประคองต้องหยุดชะงักตันหยางยิ้มแห้งก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ทรงงานหนัก หม่อมฉันจึงไม่อยากรบกวนเขาเพคะ”คนแก่จึงหันมาหาพร้อมกุมมือแล้วเอ่ยว่า “เป็นสามีภรรยากัน ใช้คำว่ารบกวนไม่ได้นะ สิ่งที่เจ้าควรทำคือต้องรีบมีทายาทสืบสกุลให้เชื้อสายเรา รากฐานบ้านเมืองจะได้มั่นคง”“เพคะ เอาไว้หม่อมฉันจะหาโอกาสเหมาะ รีบทำเหลนให้เสด็จย่าเพคะ” ตันหยางเอ่ยเอาใจคนแก่“ดี! ต้องอย่างนี้สิ” ไทเฮายิ้มชอบใจ ก่อนจะพากันเดินชมสวนต่อ ตันหยางก็ได้แต่ฉีกยิ้มซ้ายทีขวา
หลังจากชายาตนกลับมาพูดดีด้วย จิ่นหรงก็เริ่มหันมาหารือกับขุนนางทั้งสามต่อ “วันพรุ่งข้าจะให้หัวหน้าองครักษ์จินอู่ตรวจสอบว่าตำหนักใดเลี้ยงนก รวมถึงคนที่มีบาดแผลขีดข่วน คาดว่าไม่เกินสามวันคงได้ความ เพราะช่วงนี้ในวังตรวจตราเข้มงวดขึ้น เราก็อาศัยเรื่องนี้ตรวจหนอนบ่อนไส้เสียเลย”“มันคงนึกไม่ถึงว่าเราจะสืบรู้การวางแผนของพวกมัน ไม่แน่ยามนี้อาจกำลังติดต่อวางแผนการใหม่อีกก็ได้” อินหลางเอ่ย“เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเราหาตัวผู้สมรู้ร่วมคิดในวังได้ เราจะได้ซ้อนแผนพวกมันเสียเลย” จิ่นหรงยกยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอา ส่งคนสืบหาตัวซูเหวินอี้ที ข้าอยากรู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ใด และอีกเรื่อง ข้าไม่อยากให้ข่าวลือบ้า ๆ นั่นแพร่ไปถึงพระกัณฑ์เสด็จอา เกรงว่าพระองค์จะทรงร้อนพระทัยจนอยู่ไม่เป็นสุข แค่แก้ปัญหาภัยแล้วมันก็หนักหนาพอแล้ว ข้าไม่อยากให้เสด็จอากังวลพระทัยเพราะเรื่องนี้อีก”“กระหม่อมจะรีบทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” อินหลางรับคำ“ประเดี๋ยวเพคะ รัชทายาทอยากได้คนสืบข่าว เช่นนั้นให้คนของสำนักมู่ตานช่วยอีกแรงนะเพคะ เรามีคนอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ให้พวกเขาช่วยสืบและขจัดข่าวลือตามเมืองต่าง ๆ น่าจะง่ายกว่า
หลังจากนั้นคนร้ายก็ถูกพาตัวกลับไปขังตามเดิม และยังคงคุมเข้มเพื่อไม่ให้สองคนนี้คิดสั้นปลิดชีพตน เพราะต้องเอาทั้งคู่ไว้เป็นพยานเอาผิดซูเหวินอี้ก่อนภายในห้องรับรองของคุกหลวง…กลุ่มขุนนางยังคงหารือกันต่อ แม้จะมีคำสั่งออกมาบ้างแล้ว ทว่าคนที่ออกไปทำงานก็ล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาระดับล่าง เพราะจิ่นหรงไม่อยากให้เรื่องมันกระโตกกระตาก “นึกไม่ถึงว่ามันจะใช้พ่อค้าธรรมดามาลอบสังหารคนในวัง ความคิดช่างแยบยลนัก ใช้ชาวบ้านที่เคยขายโคมทุกปีมาทำเรื่องชั่วแทน ชั่วช้านัก!” ใต้เท้าเจิ้นเอ่ยถึงสิ่งที่ได้ฟังเมื่อครู่ “มันคงวางแผนไว้นานแล้ว จึงได้อาศัยช่วงเวลาทดลองโคมไฟของเหล่าพ่อค้าที่ทำกันเป็นประจำ พวกมันใช้วิธีนี้หลอกล่อสายตาผู้คน และยังใส่พิษไว้ในโคม เมื่อมันถูกความร้อนมันก็แพร่กระจายตกเป็นละอองลงมาทำให้คนที่สูดดมเข้าไปหมดแรง ช่างเจ้าแผนการนัก” อินหลางเอ่ยอย่างแค้นใจ“ถึงว่า คนในตำหนักรอบบริเวณ รวมถึงด้านนอกตามระยะเส้นทางของโคม ผู้คนถึงได้นอนเกลื่อนเต็มทาง เอ๋! แล้วเหตุใดโคมถึงมาตกแต่ที่ตำหนักไทเฮาล่ะเจ้าคะ ตำหนักอื่นได้ยินว่าไม่เสียหายมิใช่หรือ” ตันหยางมองหน้าทุกคนสลับกันไปมา
ต่อมา…รถม้าที่เคลื่อนมาตลอดทางก็หยุดลง ณ สถานที่ที่ไม่มีใครอยากก้าวเข้าไป หากไม่มีธุระคงไม่มีใครอยากเฉียดเข้ามาใกล้ เพราะเกรงสิ่งอัปมงคลจะติดตัวออกไปด้วยเมื่อรถม้าหยุด จิ่นหรงก็ขยับดันร่างอรชรที่เขากอดออกห่างตัว แล้วเอ่ยถามเสียงอ่อน “แน่ใจหรือว่าจะเข้าไป”“เพคะ” คนตัวเล็กตอบรับโดยไม่เงยหน้ามองเขา จึงถูกมือเรียวเชยคางขึ้นเพื่อให้ได้สบตากัน“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้มีท่าทางเขินอายเช่นนี้นี่”“ขะ… เขินอะไร อายอะไรเพคะ ไม่มี๊…”“ไยเจ้าต้องทำเสียงสูง” จิ่นหรงแสร้งเย้านาง“ไม่ได้เสียงสูงนะเจ้าคะ” ตันหยางรีบเถียงเพราะเกรงเขาจะจับได้ นางปัดมือเขาหนีก่อนจะรีบลุกออกมาจากรถม้า คนด้านหลังลุกตามพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ช้าก่อน ประเดี๋ยวข้าให้คนนำตัวคนร้ายออกมาให้เจ้าสอบสวนที่ห้องขังด้านนอก เจ้าไม่ต้องเข้าไปด้านใน”“เจ้าค่ะ” รับคำโดยไม่มองหน้าเขาอีกแล้ว ผู้เป็นสามีจึงอดที่จะยิ้มเอ็นดูนางไม่ได้ เพราะปกติตันหยางนางมักจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาเสมอ สุขุม นิ่ง ราวกับคนไร้ใจทว่าเขาเพิ่งรู้วันนี้เองว่า แท้ที่จริงนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ที่รู้จักเขินอาย และมีมุมออดอ้อนอันแสนน่ารักแฝงไว้ด้วย
จิ่นหรงขบกรามแน่น เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่ากู้อิงเถาจะกล้าเอ่ยวาจาบิดเบือนจากข้อเท็จจริงเหล่านี้ออกมา ทั้งที่เขาเองก็ย้ำนักย้ำหนาว่ามันคือการตอบแทนบุญคุณ มิได้มีเรื่องความรู้สึกใด ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยเรื่องที่เขาเคยพึงใจนาง ก็แค่เอ่ยถึงเรื่องเก่าก่อนในช่วงเวลาสั้น ๆ มายามนี้เขาไม่ได้รู้สึกอันใดกับนางแม้เพียงนิด ที่ยอมพบหน้าก็เพื่อต้องการตอบแทนบุญคุณให้มันจบสิ้นเท่านั้นเพราะเหตุนี้กระมัง มู่ตันหยางจึงได้เอ่ยว่าเขาไม่ทันคน “ข้าไม่ได้เอ่ยเช่นที่นางว่า” เขาหันมาหาชายาตน พร้อมกับมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย เพราะอยากรู้ว่านางจะเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวหรือไม่ และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ยังเป็นยิ้มอ่อนเช่นเคย“น้องเชื่อท่านพี่เจ้าค่ะ” เอ่ยจบร่างอรชรก็หันมาหาผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก่อนจะยอบกายลงแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะไม่อยู่เฉยแล้วนะคุณหนูกู้” คำพูดไม่กี่ประโยค กลับทำให้ร่างของกู้อิงเถาหยุดชะงักทันที“ขะ… ข้า” แววตาอิงเถาดูหวาดกลัวไม่น้อย“หยุดความคิดของเจ้าเสีย แล้วอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเช่นนี้อีก เพราะหากมีคราวหน้าข้าจะไม่เอาเจ้าไว้แน่”“ขะ…ข้า ข้าเปล่านะ”







