“เมื่อความสัมพันธ์ที่มากกว่าเราสองคน” เมื่อถึงจุดหนึ่ง เธอต้องตัดสินใจ แต่หัวใจกลับไม่ยอมเลือก เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็น “ครึ่งหนึ่ง” ของสิ่งที่เธอต้องการ สูญเสียทั้งคู่, หรืออยู่ร่วมกันอย่าง “รักแบบเรา” เธอรู้สึกผิดเพราะเติบโตมาในสังคมที่สอนว่า “รักเดียวคือของแท้” แต่หัวใจกลับสั่นไหวกับคนมากกว่าหนึ่งคนพร้อมกัน ความรู้สึกที่แทรกซึมเข้ามาจนกลายเป็นความรักที่หาคำตอบไม่ได้ว่า… จะอยู่กันอย่างไรในโลกแห่งความจริง
Lihat lebih banyakเจตนิพัทธ์ขับรถกลับมาถึงบ้านหรูย่านพัฒนาการในตอนเย็น พร้อมกับพาแฟนสาวมาแนะนำตัวให้กับครอบครัวรู้จักเป็นครั้งแรก ที่จริงแล้วเขาคบเธอมาตั้งแต่ปีสอง แต่พึ่งจะได้พามาเมื่อเรียนปีสุดท้ายนี่เอง นั่นเพราะเธอบ่ายเบี่ยงและอยากให้คบหาจนแน่ใจเสียก่อน
“กว่าจะยอมมา ตื่นเต้นเหมือนกันนะ” พราวตะวันหัวเราะคิกพร้อมกับส่ายหน้า ขำเบาๆที่เขาทำเหมือนหนุ่มน้อยอายุสิบห้า “ก็มีแต่ผมที่รู้จักคุณแม่ของพราวนี่นา อยากให้มารู้จักทางนี้บ้าง พ่อแม่ก็ได้ยินเรื่องพราวตลอด ยังบอกว่าให้พามาหาหน่อย” ทั้งสองลงจากรถ เดินตรงเข้าไปในบ้านขนาดใหญ่ ที่เรียกว่าคฤหาสน์น่าจะถูกต้องกว่า “แม่ครับนี่พราวตะวัน แฟนเจตเอง พราว..นี่คุณแม่ผม เจตสุภา” สาวน้อยหน้าตาลูกครึ่งดวงตาสวยคม ปากอวบอิ่มโดยไม่ต้องพึ่งฟิลเลอร์ ใบหน้าเล็กรูปไข่ สะกดตาสะกดใจมาดามเจตสุภาทันที เธอถูกชะตากับเด็กสาวคนนี้อย่างประหลาด “สวัสดีค่ะ คุณเจตสุภา” พราวตะวันยกมือไหว้อย่างสุภาพ ท่าทางมั่นใจแต่ก็นอบน้อม “เรียกแม่หรือน้าภาก็ได้แล้วแต่สะดวกจ๊ะ เดี๋ยวหนูพราวทานขนมกับชารอคุณพ่อกับพี่คิณสักพักนะ จะได้อยู่พร้อมหน้ามื้อเย็นทีเดียว” ชายหนุ่มและหญิงสาวทานขนมไปได้นิดหน่อย เขาก็ชวนเธอไปเดินเล่นรอบๆบ้าน จนกระทั่งแม่บ้านได้มาตามหาให้ไปที่ห้องรับประทานอาหาร วินาทีที่ทั้งสองคนมาถึง ทุกคนล้วนมองมายังทั้งสอง แต่มีสายตาคู่หนึ่งมองหญิงสาวด้วยความรู้สึกพึงใจในทันที พราวตะวันยกมือไหว้ทุกคนพลางกวาดสายตาไปสะดุดที่คิณภัทรแว็บหนึ่ง แต่เธอเลือกไม่ใส่ใจและหันไปยิ้มให้แฟนหนุ่มที่กำลังเอ่ยแนะนำเธอให้กับพ่อและพี่ชายแทน “พราว นี่คุณพ่อผม..ภัทรกิจ นี่พี่ชาย..คิณภัทร” บนโต๊ะอาหารนั้น บรรยากาศเป็นไปอย่างเป็นกันเองพราวตะวันดูออกเลยว่าเจตนิพัทธ์เป็นลูกรักของแม่ ส่วนพี่ชายของแฟนหนุ่มดูสุขุมเหมือนพ่อ พวกเขานั่งติดกันและคุยกันเบาๆเรื่องงานบ้างบางช่วง “เจต คิดหรือยังว่าจะฝึกงานที่ไหน? เล็งไว้บ้างมั้ย?” “ก็คงฝึกที่บริษัทแหละพี่คิณ อยากไปฝึกที่บริษัทหลักทรัพย์ของพ่อ คนเก่งๆเยอะที่นั่น” พ่อปลื้มที่ลูกชายคนเล็กบอกแบบนั้น เขาอมยิ้มและพยักหน้าเล็กๆ “ดี พ่ออยากให้เจตไปอยู่ฝึกงานกับฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนนะ” “ครับพ่อ เอ้อ..พราว คุณอยากไปฝึกด้วยกันไหมล่ะ?” “ลืมไปเหรอว่าพราวเรียน Arts Management แต่ก็ดูๆไว้บ้างนะ มีที่หนึ่งอยู่แถวย่านอารีย์ ว่าจะส่งคำขอสมัครฝึกงานเอาไว้เลย” “หนูพราว เจตบอกว่าหนูเป็นลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศสเหรอจ๊ะ แล้วคุณพ่ออยู่ไทยมั้ย?” “คุณพ่ออยู่ปารีสค่ะ พวกท่านคงมีความเป็นศิลปินมากไปหน่อยเลยหย่ากันตอนหนูสิบขวบพอดี คุณแม่ก็เลยมาเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่มหาวิทยาลัยศิลปากร” “คุณพ่อของพราวเป็นเจ้าของแกลลอรี่งานศิลป์ที่ปารีสน่ะครับแม่” เจตนิพัทธ์รีบพูดข้อมูลเพิ่มเติมให้แม่ของเขาที่สนใจเอ็นดูเธอเป็นพิเศษ พราวตะวันรู้สึกได้ว่าคิณภัทรแอบมองเธอบ่อยจนรู้สึกอึดอัด แต่ทุกคนกลับไม่สังเกตเห็น แล้วอยู่ๆเขาก็อยากแสดงความเห็นเกี่ยวกับแฟนสาวของน้องชายขึ้นมา “ฝึกงานช่วงปิดเทอม ไม่คิดอยากไปฝึกงานที่แกลลอรี่ของคุณพ่อที่ปารีสบ้างเหรอครับ?” ถามจบพร้อมกับแววตาที่เหมือนเสือจ้องเหยื่อไม่มีผิด “ไม่แน่ใจค่ะ เพราะมันมีค่าใช้จ่ายเยอะ” “ผมช่วยได้นะ ถ้าคุณอยากไป ที่บริษัทมีน้องๆหลายคนที่ทำงานกับผมตอนนี้ เคยฝึกงานผ่านโครงการนานาชาติ บางโครงการก็มีทุนบางส่วนให้” “อืม…น่าสนใจดีนะคะ” “ใช่ น่าสนใจมาก” “ขอบคุณที่แนะนำนะคะ พี่คิณ” พอรับประทานอาหารเสร็จ พราวตะวันก็นั่งพูดคุยอยู่พักหนึ่ง จนได้เวลาขอตัวกลับ ระหว่างเดินไปที่รถของเจตนิพัทธ์ พี่ชายของเขาก็เดินตามมาด้วยหน้าตาเฉย พร้อมกับเอ่ยแซวน้องในไส้ “เปิดตัวแฟนครั้งแรกก็ว้าวเลยนะ ไปหาที่ไหนนะน่ารักขนาดนี้ ฉันล่ะอิจฉานายจริงๆ” พูดจบก็ยิ้มตาหวานให้พราวตะวันที่ทำหน้านิ่งเฉยและยิ้มมุมปากเท่านั้น “โห พี่พูดเหมือนไม่เคยมีสาวๆสวยๆเลยนะ” เจตนิพัทธ์โอบไหล่พี่ชายพร้อมกับตบบ่าเบาๆ “ก็ตกลงปลงใจเอาสักคนสิ จะสามสิบแล้ว หาแม่ของลูกแล้วมีหลานให้ป๊าเถอะ” น้องชายผละไปเปิดประตูรถให้แฟนสาวที่ยืนแชทกับใครสักคนอยู่โดยไม่มองมาทางเขาเลยสักนิด พราวตะวัน..ชื่อน่ารักมาก แต่เธอทำฉันเสียเซลฟ์ไปเลย ส่งสายตาให้ขนาดนี้ยังทำหน้าเฉยเมยเหมือนฉันเป็นอากาศธาตุ ชักน่าสนุกแล้วสิ..ปกติฉันกับน้อง ก็มักแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตด้วยกันเสมอๆอยู่แล้วเสียด้วยสิ…คิณภัทรกลับไปที่ห้องนอนของเขา นอนก่ายหน้าผากว่าจะโทรหาเธอดีไหม? ถ้าโทรไปเธอจะวีนใส่เขาหรือเปล่า? เขาตัดสินใจโทรไปซึ่งเธอไม่รับสาย จึงลองโทรอีกครั้งปรากฏว่าโทรไม่ติดอีกเลย ส่งข้อความก็ไม่มีการตอบรับใดๆโอ้โห..บล็อกกันเลยเหรอ? เด็ดขาดดีจริงๆ ไม่งั้นก็คงโดนเกลียดเข้าแล้วสินะ… แต่ทางด้านเจตนิพัทธ์ เขาส่งข้อความหาเธอเพื่องอนง้อขอโทษ พร่ำพรรณนาว่าคิดถึงเธอมากแค่ไหน พราวตะวันตอบมาแค่สั้นๆทำเอาเขาใจแป้ว “สำนึกผิดก็ดี นอนได้แล้วล่ะ”สำหรับเขาที่นิสัยไทป์หมาน้อยบวกกับความรักที่คลั่งไคล้ตามประสาวัยรุ่น ทำให้ตัดสินใจคว้ากุญแจรถแล้วออกไป คิณภัทรได้ยินเสียงปิดประตูห้อง จึงรีบเปิดประตูบ้างก็เห็นหลังน้องชายไวๆเดินลงบันไดไป เขารีบเดินตามไปและเอ่ยห้ามเอาไว้“เจต ยิ่งแกทำแบบนี้ พราวยิ่งหนีแกนะ ปล่อยให้เธออยู่เงียบๆคนเดียวสักพักดีกว่า”“เราไม่เคยทะเลาะกันเลย ไม่เคยตัดการติดต่อแบบนี้ อะไรจะให้แค่ส่งข้อความ เราเคยคุยกันว่าจะไม่เงียบมีอะไรต้องคุยกัน”คิณภัทรอ่อนใจที่เห็นน้องชายอ่อนไหวกับความสัมพันธ์เกินไปจนดูไม่โตเป็นผู้ใหญ่“นี่มันเป็นเพราะเราสองคนผิดต่อเธอ แล้วมันละเอียดอ่อนกระทบความรู้สึกของผู้หญิง เ
น้ำอุ่นๆร้อนๆทะลักออกมาเมื่อเจตนิพัทธ์เอาแก่นกายที่อ่อนแรงแล้วออกจากช่องทางรักของคนรักสาวสวย แต่เขาก็ยังอ้อยอิ่งอยู่บนร่างกายที่นุ่มนิ่มจนพราวตะวันต้องท้วงขึ้นมา”เจต..เลอะหมดแล้ว ขอพราวไปห้องน้ำหน่อย“”ถ้าไปส่งบ้านแล้ว คืนนี้ออกมาอยู่กับเจตที่นี่ได้ไหม? ใกล้เช้าจะไปส่งกลับบ้านเหมือนเดิม”“แล้วเจตจะไม่กลับบ้านได้ยังไง? บ้าแล้ว”“ไม่มีโอกาสได้อยู่สองคนนานๆเลยอ่ะ อยากกอดอยากได้ทั้งคืน”“เจตยังไม่ตอบพราวเลย ทำไมถึงคาสายให้พี่คิณฟังเรามีอะไรกัน?”“ก็เขาบอกไม่ต้องวาง แล้วตอนนั้นเจตใกล้เสร็จเลยลืมตัวไปหน่อย”คำตอบของเจตนิพัทธ์ทำเอาพราวตะวันแอบช็อกนี่แปลว่า…พี่คิณจงใจอยากฟังคนสองคนร่วมรักกันอย่างนั้นเหรอ? แล้วแฟนฉันก็บ้าจี้ทำตามที่พี่ชายสั่งอีกต่างหาก…พราวตะวันใช้แรงผลักเจตนิพัทธ์ให้ออกจากตัวเธอ พอเธอลุกขึ้นได้ก็กระฟัดกระเฟียด หยิบกางเกงชั้นในไปด้วยแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำอยู่พักหนึ่ง ”พราว..ที่รัก ออกมาหน่อยครับ โกรธอะไรอีกแล้วเหรอ?”เขาเคาะประตูห้องน้ำเบาๆเรียกเธออยู่แบบนั้น เงี่ยหูฟังก็ได้ยินแค่เสียงเหมือนอาบน้ำ สักพักพราวตะวันก็เปิดประตูออกมาโดยไม่มองหน้าเขา“พราว…เจตขอโทษ”“ไม่ต้องไปส่
เจตนิพัทธ์ออกจากบริษัทฝ่ารถติดไปที่แกลลอรี่เกือบไม่ทัน เพราะพราวตะวันกำลังจะออกไปเรียกแท็กซี่เพื่อกลับบ้านพอดี“ทำไมเจตเลิกงานไว? แล้วจะมาก็ไม่โทรบอก จริงๆไม่ต้องมารับก็ได้”“โกรธหรือเปล่า?”“คนที่เจตต้องขอโทษคือพี่คิณ พราวจะโกรธทำไมล่ะ ก็แค่เตือนเฉยๆ”เขารู้สึกได้ว่าแฟนสาวมีน้ำเสียงที่แข็ง พูดจาห้วนๆ สีหน้าตึงใส่ ส่วนพราวตะวันที่เก็บความไม่พอใจเรื่องที่เจตนิพัทธ์รับสายพี่ชายแล้วปล่อยให้ได้ยินว่าทั้งสองมีอะไรกันนั้น มันทำให้เธออึดอัดใจแต่ก็ไม่อยากพูด“เจตรู้สึกได้ว่าพราวไม่พอใจ แบบมากๆด้วย คบกันมาสองปี รู้สิ”“มารับกลับบ้านใช่มั้ย? งั้นก็ไปส่งพราว ขอไม่คุยอะไรตอนนี้นะเหนื่อยทั้งวันแล้ว”“โอเค”เขาตอบรับง่ายๆ แล้วคว้ากระเป๋าของเธอมาถือไว้เอง เดินนำไปที่รถและเปิดประตูให้ ระหว่างทางที่ขับรถเจตนิพัทธ์พยายามจับมือเธอแต่ก็โดนดึงมือกลับ “เดี๋ยวเจตโทรหาพี่คิณตอนนี้เลย พูดขอโทษต่อหน้าพราวก็ได้”“พราวไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องนี้นะ เรื่องขอโทษไม่ขอโทษมันเป็นสิ่งที่เจตคิดเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาบอก”“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ? เรามีอะไรก็เปิดอกคุยกันตลอดนะพราว เจตไม่อยากให้เป็นแบบนี้อ่ะ”“ไม่มีอะไรหรอก”พ
พราวตะวันกำลังพูดคุยบรรยายเกี่ยวกับภาพวาดให้กับผู้ที่เข้ามาชมงานศิลป์ โดยไม่รู้ตัวว่ามีใครคนหนึ่งมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆเธอ เขาแอบมองความงามนั้นอยู่ห่างๆเพราะทั้งแกลลอรี่นี้ งานศิลปะเดียวที่เขาสนใจคือ เธอ คิณภัทรยืนรอดูอยู่พักใหญ่เพราะพราวตะวันขยันเดินไปเทคแคร์ผู้ที่มาชมผลงาน เธอพูดเก่ง ดูมีพลังงานล้นเหลือ พลอยทำให้เขารู้สึกสดชื่นและไม่เบื่อเลยสักนิด จนกระทั่งเธอว่างแล้วและกำลังหันไปดูรอบๆก็สบสายตากันพอดี“พี่คิณ…”เธอพูดชื่อเขากับตัวเองเบาๆ เพราะไม่คิดว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ ทั้งที่พึ่งไปทานข้าวด้วยกันมา เธอยืนนิ่งอยู่แบบนั้นโดยที่เขาเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา“ตกใจเหรอ? ผมคิดไปคิดมาอยากซื้อภาพเพิ่มสักหน่อยน่ะ”“อ้อ..ค่ะ พี่คิณชอบแนวไหนคะ? เอ่อ..ลองไปดูทางนู้นดีไหมคะ? ราคาไม่สูงมาก เป็นของศิลปินหน้าใหม่แนวร่วมสมัย”“เหนื่อยมั้ย? คุณดูปวดขานะ”“ไม่ค่ะ พราวโอเค สบายมาก”เขาจับแขนเธอดึงเบาๆให้เดินตามมา แต่พราวตะวันขัดขืนนิดหน่อย “พี่คิณคะ พราวอยู่ในเวลางานค่ะ”“ผมเป็นลูกค้านะ คิดว่าผู้จัดการถ้าเห็นคุณอยู่กับผมคงไม่ว่าอะไรหรอก ผมยินดีซื้อภาพพวกนั้นเท่าไหร่ก็ได้ขอแค่ได้อยู่กับคุณนิดหน่อย มาเถอะ“เขาเป
คิณภัทรทำหน้านิ่งหลังจากเจอคำถามของพราวตะวัน จนเธอคิดว่าตัวเองเผลอถามคำถามที่เสียมารยาทใส่เขาทั้งที่พาเธอมาทานข้าว “ขอโทษค่ะ พราวไม่ได้ตั้งใจ ที่พราวถามแบบนี้เพราะเห็นว่าพี่คิณยังไม่ได้ลงหลักปักฐานกับใครเท่านั้นเองค่ะ““ผมไม่ซีเรียสนะ กินต่อเถอะ”แต่ท่าทางของคิณภัทรทำให้เธอรู้ว่าเขาปากไม่ตรงกับใจ ส่วนแฟนหนุ่มของเธอก็ยังคุยเก่งร่าเริงปกติ โดยไม่สนใจพี่ชายที่นั่งก้มหน้าก้มตากินเงียบๆ เมื่อจบมื้อกลางวันที่คิณภัทรรู้สึกกร่อยๆ เขาขับรถไปส่งพราวตะวันกลับไปที่แกลลอรี่ ระหว่างขับรถก็นั่งฟังคู่รักหนุ่มสาวที่นั่งเบาะหลังด้วยกัน คุยหัวเราะต่อกระซิกกันเบาๆตลอดทางเหมือนเขาไม่มีตัวตน “พี่คิณ..ขอบคุณที่มาส่งนะคะ เอ่อ..พราวขอโทษที่ทำให้พี่โกรธด้วยค่ะ”เธอยกมือไหว้เขาด้วยสีหน้าที่จริงจัง เจตนิพัทธ์จึงรีบพูดเพื่อปกป้องเธอตามประสา“พราวคิดมากไปแล้ว พี่คิณไม่คิดอะไรหรอก เก๊กไปงั้นแหละ ถ้าถามแค่นี้แล้วโกรธก็เกินไปแล้ว รักใครเป็นหรือเปล่าเถอะ”“อือ..ฉันมันไม่มีหัวใจสินะ”คิณภัทรพูดเสียงเนือยๆตอบน้องชายพร้อมกับเหลือบหางตามอง “เจต ทำไมต้องพูดแบบนั้นกับพี่คิณล่ะ พี่เขาทั้งช่วยซื้อภาพวาด ขับรถพาไปทานข้าว ต
สองพี่น้องเดินตามพราวตะวันที่มีพนักงานปลดรูปลงมาแล้วเดินนำไปอีกที เพื่อเอาภาพที่ถูกเลือกนั้นไปห่อด้วย Plastic wrap โดยรอบทั้งกรอบรูป รองมุมทั้งสี่ด้วยโฟมกันกระแทก ตามด้วยใส่กล่องกระดาษเป็นขั้นตอนสุดท้าย คิณภัทรยื่นกุญแจรถให้น้องชาย“เจตพาพนักงานไปที่รถสิ เอาแฟนไปด้วยเลยไหนๆก็ได้เวลาพักเที่ยงพอดี พี่จะจ่ายค่าภาพวาดนี่ก่อน สตาร์ทรถรอได้เลย”พอพวกเขาทั้งหมดไปกันแล้ว เขาจัดการรูดบัตรดำชำระค่าภาพวาดเสร็จ ตามด้วยคุยกับผู้จัดการแกลลอรี่ในอีกเรื่องหนึ่ง“เธอคนที่ขายภาพนี้ ผมต้องการโดเนทให้เธอเป็นการส่วนตัวนอกเหนือจากเปอร์เซ็นที่เธอจะได้”“เอ่อ คุณสามารถติดต่อเธอโดยตรงก็ได้นะคะ ถ้ากรณีให้ด้วยความเสน่หา”“ผมต้องการให้เธอมีกำลังใจในการทำงาน แต่อยากให้ในนามลูกค้าไม่ใช่จากส่วนตัว”“โอเคค่ะ คุณสามารถระบุรายละเอียดได้เลยค่ะ”“ผมจะโดเนทให้เธอเท่ากับราคาภาพในนามบริษัท Innova พวกใบเสร็จใบกำกับภาษีทั้งหมดขอให้ส่งไปที่ฝ่ายบัญชีของบริษัทนะครับ”ทำเอาผู้จัดการตาโตที่เขาให้เยอะขนาดนี้สำหรับนักศึกษาฝึกงาน แม้ราคาภาพวาดจะแค่ 12,000 บาทเท่านั้น“ขอถามได้มั้ยคะว่าอะไรที่ทำให้คุณอยากให้เธอมากขนาดนี้?”“แพชชั่นท
Komen