จากท่านหญิงสูงศักดิ์ต้องกลายมาเป็นเด็กสาวบ้านป่าฐานะยากจนแถมยังเป็นกำพร้า แรกเริ่มหลัวจืออจื่อที่มาเกิดใหม่ในร่างของหลินหลีฮวาก็คิดว่าตนเองจะใช้ชีวิตให้ดีไม่คิดว่าสุดท้ายพอนางตัดสินใจแต่งงานจะพบหายนะ!
View Moreแสงอาทิตย์ยามอัสดงทอดยาวเหนือแนวเขา ดุจม่านสุดท้ายของโชคชะตาลาลับขอบฟ้า ขบวนทูตจากเผ่าเจียงเคลื่อนผ่านผืนป่าเข้าสู่เขตชายแดนแคว้นต้าฉู่ อาภรณ์สีสด พู่ธงไหวลู่ตามลม ราวกับเป็นขบวนเกียรติยศ
หากแท้จริงแล้ว ภายนอกที่ผู้คนรู้คือเผ่าเจียงส่งท่านหญิงหลัวจือจื่อบุตรสาวคนโตของทู่ป๋าอ๋องเผ่าเจียงมาเป็นทูตสันถวไมตรี ทว่าภารกิจลับคือการส่งตัว หลัวจือจื่อ ไปอภิเษกกับ ไท่จื่อจ้าวจื่อหาน องค์รัชทายาทของต้าฉู่ เพื่อสานพันธไมตรีลับระหว่างสองดินแดนตามข้อตกลงทางการทหารของไท่หมิงฮ่องเต้กับทู่ปาอ๋องหลัวเจิงหนาน
แต่นี่คือสิ่งที่ราชสำนักบางฝ่ายไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะ องค์ชายสาม จ้าวจื่อเฉิน ผู้มองการแต่งงานนี้เป็นภัยอำนาจโดยตรงของตนเอง
เขาจึงส่งมือสังหารฝีมือฉกาจในคราบ “โจรป่า” ซุ่มดัก ณ เส้นทางลับ หวังสังหารหลัวจือจื่อตั้งแต่ก่อนนางจะข้ามพรมแดน
เสียงฝีเท้าม้ากระแทกพื้นดินอย่างรุนแรง สะเทือนจนฝุ่นปลิวว่อน เงาดำมากมายพุ่งออกจากแนวไม้หนาทึบ ประกายดวงตาแต่ละคู่ฉายแววกระหายเลือด เหล็กในมือพวกมันส่องแสงเย็นเฉียบยามกระทบแสงสุดท้ายของวัน
"ศัตรู! ปกป้องท่านหญิง!!"
เสียงตะโกนขององครักษ์ดังลั่น พวกเขาชักดาบออกจากฝัก โลหะปะทะกันดังกึกก้อง เสียงลมหายใจขาดห้วง เสียงเลือดพุ่งสาด ดังก้องแทนบทเพลงอำลาชีวิต
ในขบวนรถม้า หลัวจือจื่อ ท่านหญิงวัยเพิ่งจะครบสิบห้าปี เข้าสู่วัยแรกรุ่นเบิกตากว้าง นางสัมผัสถึงคลื่นอันตรายที่ซัดเข้าหัวใจราวพายุพัด นางไม่เคยคาดคิดว่าวันที่ควรเป็นการเริ่มต้นของชีวิตแต่งงาน จะกลายเป็นจุดจบของการมีชีวิต
แต่…นางไม่ใช่เด็กสาวผู้อ่อนแอ
หลัวจือจื่อ ผู้เคยดื้อดึงตามท่านอาออกศึกตั้งแต่ยังเยาว์ แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมรบอย่างเปิดเผย แต่นางกลับเรียนรู้การต่อสู้จากข้างสนาม และฝึกเพลงกระบี่ พระจันทร์คู่ เพลงกระบี่ที่มีเพียงทหารม้าเกราะเหล็กของเผ่าเจียงเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ฝึกฝนได้ นางก็จนช่ำชอง เป็นดั่งจันทราทรงพลังคู่หนึ่งในเงามืดของสงคราม
นางกระชากดาบคู่จากข้างเอว ร่างบางกระโจนลงจากรถม้าอย่างสง่างาม เงาดาบในมือนางวูบไหวดั่งแสงจันทร์เฉือนเมฆ หมุนฟันเข้าใส่ศัตรูอย่างแม่นยำ
ฉัวะ!
ดาบซ้ายเฉือนไหล่ ดาบขวาตวัดกรีดเอ็นข้อมือของอีกคน เสียงร้องโหยหวนดังลั่น เลือดสาดกระเซ็นเปื้อนอาภรณ์สีขาวจนย้อมแดง
นางกัดฟันแน่น แม้หัวใจจะเต้นระรัว แต่มือไม่สั่น ความกลัวถูกกลบด้วยความตั้งใจแน่วแน่
"เจ้าจะฝึกกระบี่เพื่ออะไร…ในเมื่อสุดท้ายก็ยังเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ คิดว่าจะรอดไปได้หรือ เพ้อฝันเสียจริง!"
เสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากเงามืด หัวหน้าโจร ในชุดดำสนิทก้าวออกมาช้าๆ แววตาของมันไร้ความปรานี ดาบในมือเคลือบประกายสีเขียวคล้ำวาววับกลิ่นของ “พิษ” ร้ายลอยแตะปลายจมูก
หลัวจือจื่อรู้ทันที…มันไม่ใช่ศัตรูธรรมดาเสียแล้ว
นางพุ่งเข้าใส่ด้วยกระบี่คู่ โจมตีเป็นจังหวะรวดเร็ว ราวระบำแห่งดวงจันทร์ ทั้งอ่อนช้อยและแม่นยำ แต่ดาบของมันกลับรับไว้ได้ทั้งหมด ด้วยพลังที่ไม่สมควรเป็นของมนุษย์
และในจังหวะหนึ่ง…เพียงครึ่งกระพริบตา
ฉึก!
กระบี่ซ้ายในมือนางหลุดจากการควบคุม ร่างของนางชะงักไปทั้งร่าง บาดแผลเล็กๆ ที่ต้นแขนลึกเพียงปลายมีด แต่กลับแล่นความเจ็บจนถึงไขสันหลัง ดวงตาของนางเบิกกว้างเมื่อรู้สึกถึงพิษที่ไหลผ่านกระแสเลือด
มือเริ่มสั่น ความร้อนแผ่ซ่านจากภายในสู่ภายนอก
องครักษ์ของนางร่วงลงไปทีละคนถูกหั่น ถูกเฉือน ร่างแหลกเหลวไร้ชิ้นดี เสียงของพวกเขากลายเป็นเสียงร้องขอชีวิตสุดท้ายก่อนจะเงียบงัน
"ท่านหญิง! หนี…"
เสียงสุดท้ายขาดสะบั้นเมื่อดาบของโจรตวัดเฉือนกลางร่างขององครักษ์ผู้ภักดี ร่างนั้นทรุดลงกับพื้น มือที่ยื่นมาหานางสั่นเทา ก่อนจะหยุดนิ่งตลอดกาล
นางกู่ร้องอย่างโกรธเกรี้ยว พุ่งเข้าหาหัวหน้าโจรในความมืดอีกครั้ง แม้ร่างจะอ่อนแรง แม้พิษจะแล่นไปทั่วกาย
แต่…
ฉึก!
ดาบของมันเสียบทะลุร่างของนางอย่างโหดเหี้ยม ความเจ็บแล่นพล่านเกินทานทน เลือดไหลทะลักจากปากแผล ดวงตาของนางพร่าเลือน
ก่อนสติจะดับลง ภาพสุดท้ายที่เห็น…
คือ ชายในอาภรณ์สีแดงเข้มโดดเด่นท่ามกลางแสงจันทร์ เขาเคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยอาชาตัวใหญ่กับคนติดตามกลุ่มหนึ่ง
ใคร…กัน?
แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลงพร้อมชื่อของนาง ที่เริ่มถูกลืมเลือนจากประวัติศาสตร์ของเผ่าเจียงในวินาทีนั้น…
เสียงฝีเท้าม้าดังสนั่น พัดฝุ่นแดงฟุ้งขึ้นทั่วแนวป่าลำแสงสุดท้ายของอาทิตย์จางหายแทนที่ด้วยแสงจันทร์คืนเพ็ญตกกระทบกับชายอาภรณ์แดงเข้มที่สะบัดไหวกลางสายลม
ราวกับเลือดที่ยังไม่แห้งบนผืนผ้าใบของสนามรบ
ซ่งไป๋เซียว ปรากฏตัวขี่ม้าดำทะมึน มือข้างหนึ่งจับกระบี่ยาวที่บรรจงสวมปลอกไว้แน่น กระบี่เล่มนั้นคือนามแห่งตำนานของ จ้งฉี หน่วยองครักษ์ลับของไท่หมิงฮ่องเต้แห่งต้าฉู่!
-กระบี่แสงเมฆา-
อาวุธประจำตัวที่มีเพียงองครักษ์ระดับสูงขั้นสองขึ้นไปซึ่งผ่านการคัดเลือกหน้าพระที่นั่งเท่านั้นจะครอบครองได้
เขาคือหัวหน่วยจ้งฉีที่ไท่หมิงฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยที่สุดคือมือขวาของไท่จื่อจ้าวจื่อหาน
และคือผู้ที่ได้รับคำสั่งเร่งด่วนให้ รีบเดินทางปกป้องหลัวจือจื่อ ไม่ว่าแลกด้วยสิ่งใด!"นายท่าน! ทางนี้ขอรับ!! "
เสียงของ หลินลู่เฟย ดังขึ้นนำทางเข้าไปกลางป่าลึก
เมื่อกลุ่มจ้งฉีทั้งแปดนายควบม้าผ่านแนวไม้รกทึบเข้าสู่ลานโล่งสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือ…
นรกบนดิน
ซ่งไป๋เซียวกระตุกบังเหียนม้าจนหยุดนิ่งทันที ดวงตาคมใต้คิ้วเข้มเบิกกว้างน้อย ๆ
ท่ามกลางหมอกเลือดคละคลุ้งศพของขบวนทูตจากเผ่าเจียงนอนเกลื่อนกลาดหญิงสาวในชุด ขาวปัดลวดลายสีทองนอนแน่นิ่งอยู่กลางวงศพองครักษ์ของเผ่าเจียง
..เขามาช้าไปจริง ๆ
หลินลู่เฟยกัดฟันแน่น
"บัดซบ... เรามาช้าไป!"
ซ่งไป๋เซียวไม่พูดสิ่งใด แต่กระบี่แสงเมฆาในมือถูกชักออกอย่างเงียบงันเสียงของโลหะขัดผ่านปลอกดาบ ดังต่ำจนลมหายใจของเหล่าศัตรูสะดุด
"พวกมันยังอยู่! รีบจับกุมพวกมันให้ได้ ข้าต้องการรู้ว่าคือผู้ใดคิดสังหารท่านหญิงทูตจากเผ่าเจียง!"
กลุ่มโจรซึ่งแท้จริงคือมือสังหารขององค์ชายสาม ยังไม่ทันหลบหนี ก็ต้องเผชิญกับจ้งฉีทั้งแปดนายการประทะเริ่มต้นทันทีเสียงดาบฟาดฟันกระหน่ำเหมือนพายุฤดูเหมันต์ เลือดสาดกระเซ็นราวสายฝน ฝีเท้าม้ากระแทกพื้นจนดินกระจาย
ซ่งไป๋เซียวเคลื่อนไหวเร็วราวสายลม กระบี่แสงเมฆาในมือเขาตวัดออกในทุกจังหวะที่แม่นยำ ร่างของศัตรูร่วงลงทีละคน...ทีละคน จนเหลือเอาไว้สอบสวนเพียงห้าชีวิต
เมื่อศึกสงบ ซ่งไป๋เซียวเป็นผู้รีบเข้าไปตรวจดูร่างของท่านหญิงหลัวอจื่อในจังหวะนั้นเอง...
หนึ่งในโจรที่แสร้งทำเป็นตายก็พุ่งตัวขึ้นมาพร้อมดาบที่เคลือบยาพิษ
ฉึก!!!
ดาบเล่มนั้นพุ่งตรงไปที่กลางหลังของซ่งไป๋เซียวแต่ หลินลู่เฟย เห็นเข้าเสียก่อนจึงพุ่งร่างเข้ารับดาบนั้นไว้แทน
เลือดสีแดงฉานทะลักจากร่างที่เคยยืนหยัดเคียงข้างเขาทุกสนามรบมาตลอดสองปีเศษ
"อาลู่!!! "
ซ่งไป๋เซียวประคองร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน ทั้งโลกในยามนี้เหมือนหยุดนิ่ง
ไม่มีเสียงกระบี่…
ไม่มีเสียงลม…
มีเพียงลมหายใจสุดท้ายของสหายรัก…
"นายท่าน…" หลินลู่เฟยฝืนพูดทั้งที่เลือดไหลไม่หยุด เขายังมีห่วง
"ข้า…ยังไม่ได้บอกลาท่านย่ากับน้องสาว…"
ดวงตาเขาแผ่วเบา แต่แววแน่วแน่
"ขอ…นายท่าน…พาเถ้ากระดูกข้ากลับบ้านที… ขอนายท่านนำเงินที่ข้าจะได้…ไปมอบให้…อาหลี…น้อย…ฝาก…"
ซ่งไป๋เซียวกัดฟันแน่นจนเลือดซึมที่ริมฝีปาก
"ข้าสาบาน…จะพาเจ้ากลับบ้านด้วยมือของข้าเอง ข้าจะนำเงินและสิ่งที่เจ้าสมควรได้ไปมอบให้ท่านย่ากับน้องสาวของเจ้าเอง!"
ลู่เฟยยิ้มออกมาทั้งที่น้ำตาไหล เขาพยายามจะพูดบางสิ่งแต่ สุดท้ายเขาก็จากไปในอ้อมแขนของซ่งไป๋เซียวทั้งที่ดวงตามิอาจปิดลง!…
แสดงให้เห็นว่าผู้ตายคงมีบางสิ่งที่เขายากจะปล่อยวาง ไป๋เซียวเจ็บปวดนัก!
หลังจากนั้นซ่งไป๋เซียวเดินไปยังร่างของหลัวจือจื่อที่ไร้ลมหายใจชุดขาวของนางเปรอะเปื้อนเลือดทั่วร่าง กระบี่พระจันทร์คู่วางตกอยู่ข้างมือเล็กที่เย็นเฉียบบอกได้ว่าเด็กสาวก็นับเป็นนักรบคนหนึ่งของเผ่าเจียง
เขาทรุดตัวลงเงียบ ๆ มือที่ฆ่าคนนับร้อยในสนามรบ กลับสั่นเล็กน้อยขณะเอื้อมไปปิดเปลือกตาของนาง
"ข้ามาช้า...เพียงก้าวเดียว…"เสียงเขาเบาจนแทบเป็นเสียงลม วันนี้เขาสูญเสียมากไปแล้ว
"แม้จะเป็นคำสั่งจากฮ่องเต้...แม้จะเป็นความหวังของไท่จื่อ…แต่ข้าก็ยัง…ช่วยท่านหญิงเอาไว้ไม่ได้"
เขาหลับตาลงชั่วครู่และพูดกับลมหายใจสุดท้ายของเธอว่า
"ชาติหน้า…หากท่านหญิงได้เกิดใหม่…ข้าจะไม่ยอมให้ใครพรากลมหายใจของท่านไปอีกแน่!"
สายลมยามราตรีพัดผ่านชายอาภรณ์สีแดงเข้มของเขาสะบัดพลิ้วอยู่ใต้แสงจันทร์ ราวกับเปลวเพลิงที่เงียบงัน แต่ยังคงลุกไหม้ไม่สิ้นสุด
…ก่อนที่ซ่งไป๋เซียวจะเอื้อมมือปิดเปลือกตาของนางสายตาของเขากลับเหลือบไปเห็นเครื่อประดับเล็ก ๆ
ที่ตกอยู่ใกล้ตัวของท่านหญิงตัวน้อยปิ่นหยกจันทรา ซึ่งหักครึ่งหนึ่งเขารู้ทันทีว่านี่คือเครื่องหมายประจำตระกูลของเผ่าเจียง เป็นของสำคัญของผู้มีสายเลือดราชวงศ์
เขานิ่งไปครู่หนึ่งจากนั้นควัก ผ้าแพรสีแดงเข้มที่ปักตรากิเลนเพลิงแห่งจ้งฉี
ออกมาจากอกเสื้อ และพันครึ่งหนึ่งของปิ่นหยกไว้อย่างแน่นหนาเขาวางมันแนบไว้ในอุ้งมือของหลัวจือจื่อเอาไว้
ราวกับฝากคำสัญญาอะไรบางอย่างไว้กับนาง
"ข้าไม่เชื่อในปาฏิหาริย์"
เสียงของเขาแหบพร่าต่ำ
"แต่หากสวรรค์ยังมีเมตตา หากท่านมีชาติหน้ายังได้เกิดใหม่ ขอให้ท่านจงรู้เอาไว้ ข้าผิดต่อท่านที่มาช้าไป หากชาติได้พวกเราได้พบกัน ข้าสัญญาจะปกป้องท่านให้ดี"
ปลายนิ้วเขาสัมผัสแผ่วเบาบนหลังมือนาง เป็นสัมผัสสุดท้ายที่เย็นเฉียบก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและหันหลังให้นางพร้อมคำสั่งให้คนของตนเองจัดการศพของท่านหญิงให้ดีเตรียมส่งกลับเผ่าเจียง เขาตรงไปอุ้มร่างของหลินลู่เฟยขึ้นหลังม้าเตรียมพาสหายร่วมรบไปทำพิธีเผาเพื่อจะนำเถ้ากระดูกกลับไปส่งให้กับครอบครัวของเขาที่คงเฝ้ารออยู่…
ม่านราตรีคลี่คลุมผืนป่า เสียงลมพัดแผ่วผ่านชายอาภรณ์สีแดงเข้มของซ่งไป๋เซียวสะบัดในเงามืด
ละลายหายไปในม่านเงาแห่งราตรี…ทว่าในแววตาเย็นชาคู่นั้นกลับมีร่องรอยของคำว่า เสียใจอย่างสุดซึ้งปราก
ตอนที่ 30|| ท่านหมอซ่งบาดเจ็บ!คืนหนึ่งในฤดูหนาว...สายลมเย็นพัดผ่านเรือนอวี้หลัน เสียงกิ่งไม้เสียดสีกันไปมาตามแรงลมส่งเสียงแผ่วเบา บรรยากาศรอบด้านมืดสนิท ทว่าภายในห้องนอนของหลินหลีฮวากลับยังคงมีแสงไฟจากตะเกียงเล่มน้อยที่จุดไว้บนโต๊ะ นางกำลังอ่านตำราแพทย์เงียบ ๆ ช่วงนี้ชีวิตของเด็กสาวสงบราบเรียบดียิ่ง หรืออาจเพราะนางไม่เคยใส่ใจผู้ใดที่คิดไม่ดีกับนางและชิงชัง หลินหลีฮวาให้ค่าก็แค่คนที่ดีกับนางและเอ็นดูนางจากใจจริงเท่านั้นแต่แล้ว…ปัง!เสียงเปิดประตูดังขึ้นอย่างแรงจนเด็กสาวสะดุ้งเฮือกพอหันไปมอง ก็เห็นร่างสูงของซ่งไป๋เซียวโซเซเข้ามาภายในเรือนฝั่งของนาง อาภรณ์ของเขาหากไม่สังเกตให้ดีจะมองไม่เห็นว่ามันเปื้อนเลือดและขาดวิ่น ดวงหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิดปกติไม่จากเดิมพอสมควรอาหลีที่อยู่ให้ชิดกับเขามาร่วมสิบเดือนแยกออกในทันใด"ท่านหมอซ่ง!"อาหลีรีบถลาเข้าไปหาเขาด้วยความตกใจ นางประคองร่างสูงใหญ่ของเขาไว้ก่อนที่เขาจะล้มลงกับพื้น ทว่าสุดท้ายนางก็ล้มลงเพราะขนาดร่างกายของนางกับเขาต่างกัน ยังดีเฉียงเว่ยโผล่ตามมาเขาจึงช่วยนางพยุงท่านหมอซ่งลุกขึ้นได้โดยง่าย"เจ้า… ยังไม่นอนหรือ?" น้ำเสียงของซ่งไ
ตอนที่ 29|| พาศิษย์รักไปผ่าศพผ่านพ้นวันครบรอบอายุเต็มสิบสี่ไปแล้วชีวิตของหลินหลีฮวาก็ยังคงเหมือนเดิม ดังเช่นวันนี้ภายในห้องปรุงยาของเรือนอวี้หลัน หลินหลีฮวากำลังอ่านตำราแพทย์อย่างตั้งใจ แต่ไม่นานนักเสียงฝีเท้าหนักแน่นแสนจะคุ้นเคย ก็ดังขึ้นทางด้านหลัง นางเงยหน้าขึ้นก็พบกับซ่งไป๋เซียวที่ยืนอยู่ตรงประตู ดวงตาของเขามองนางนิ่ง ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ"อาหลี ตามข้ามา"เด็กสาวพับตำรา ก่อนจะรีบเดินตามหลังเขาโดยไม่เอ่ยถามว่ากำลังจะไปที่ใดซ่งไป๋เซียวเดินนำออกจากเรือนอวี้หลัน ผ่านทางเดินยาวของจวนสกุลซ่ง ก่อนจะมาหยุดที่เรือนหลังหนึ่งที่เงียบสงัด บรรยากาศรอบด้านต่างจากส่วนอื่นของจวนโดยสิ้นเชิงเมื่อบ่าวรับใช้เปิดประตูออก กลิ่นสมุนไพรฉุนจัดปะทะเข้าจมูกทันที ทำให้หลินหลีฮวาต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย นางมองเข้าไปภายใน เห็นเตียงไม้ยกสูงตั้งอยู่กลางห้อง บนเตียงนั้นคลุมบางสิ่งคล้ายร่างของผู้เสียชีวิตด้วยผ้าขาวสะอาดเด็กสาวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองอาจารย์ของตน"ท่านหมอซ่ง...""วันนี้ข้าจะสอนเจ้าเรื่องร่างกายของมนุษย์ "เขากล่าวเรียบ ๆ ตลอดมาสามเดือนนับจากอาหลีมาเป็นศิษย์ติดตาม เขาก็สอนให้น
ตอนที่ 28 || วันนี้อาหลีของพวกเราอายุสิบสี่แล้วภายในเรือนอวี้หลันวันนี้อบอวลไปด้วยบรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากทุกวันตั้งแต่เช้าตรู่ บ่าวไพร่ในเรือนต่างขะมักเขม้นจัดเตรียมสิ่งของอย่างขยันขันแข็ง อาจิ่วกับอาหนิววิ่งวุ่นอยู่ในครัว อาจ้านเองก็ดูเหมือนจะรู้ว่าเป็นวันพิเศษ กระโดดไปมาอยู่รอบขาของอาหลีอย่างอารมณ์ดี"ฮูหยินเจ้าคะ! อยู่นิ่ง ๆ ก่อนเจ้าค่ะ!"อาหลีที่กำลังถูกอาจิ่วกับอาหนิวช่วยกันจัดแต่งทรงผมให้ถึงกับหัวเราะเบา ๆ นางไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ แต่ก็ดีใจที่ทุกคนดูจะใส่ใจวันเกิดครบรอบอายุสิบสี่ของนางมากเช่นนี้"วันนี้เป็นวันเกิดของฮูหยินรอง ทุกคนต้องทำให้ท่านงดงามที่สุด!"อาหนิวกล่าวเสียงจริงจัง ขณะที่อาจิ่วก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างแข็งขัน"จริงเจ้าค่ะ! วันนี้ท่านหมอซ่งยังเป็นคนออกคำสั่งให้เราดูแลฮูหยินรองให้ดีห้ามท่านไปซุกซนที่ใดเด็ดขาด!"อาหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย "ท่านหมอซ่งหรือ?""ใช่เจ้าค่ะ!" อาจิ่วยิ้มกว้าง"และไม่ใช่แค่นั้นนะเจ้าคะ ท่านหมอซ่ง… ท่านหมอซ่งกำลังทำอาหารในครัวเจ้าค่ะ!""หา?!"อาหลีเบิกตากว้างทันที นางแทบจะลุกพรวดขึ้นมา แต่สองสาวใช้รีบกดไหล่นางให้นั่งนิ่ง ๆ"ข้าคิดว่าหู
ตอนที่ 27|| เหตุใดท่านจึงชอบสวมอาภรณ์สีแดงหรือเจ้าค่ะหลินหลีฮวาสังเกตมานานแล้ว…ซ่งไป๋เซียวมักจะสวมอาภรณ์สีแดงเข้มหรือแดงสดเสมอ ไม่ว่ายามปกติหรือยามออกเดินทาง แม้แต่ยามอยู่บ้านชุดคลุมของเขาก็มักมีสีแดงเป็นหลักนางเคยคิดว่าคงเป็นเพียงความชอบส่วนตัว หรืออาจเป็นสีที่ขับให้บุคลิกของเขาดูสง่างามขึ้น ทว่าวันนี้… นางกลับได้รับคำตอบที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงในบ่ายวันหนึ่ง หลังจากฝึกฝนวิชาแพทย์จนเสร็จสิ้น หลินหลีฮวาเดินไปยังลานฝึกซ้อมวรยุทธ์ของซ่งไป๋เซียว ไม่ใช่ว่านางอยากเห็นว่าเขาฝึกฝนเช่นไรจากปตินางจะไม่เฉียดใกล้เพราะกลัวจะถูกเขาบังคับให้นางฝึกฝนกระบี่อีก แต่นางมีข้อสงสัยเกี่ยวตำราแพทย์อยากจะถามให้รอก็คงอีกนานจึงจำใจมาหาเขาที่ลานฝึกเมื่อมาถึง นางก็พบว่าชายหนุ่มกำลังฝึกเพลงกระบี่กลางลานกว้างปลายกระบี่เคลื่อนไหวราวกับมังกรพิโรธ เส้นทางของกระบี่รวดเร็วจนมองตามแทบไม่ทันพริบตาเดียว ร่างของซ่งไป๋เซียวก็พุ่งทะยานขึ้น หมุนตัวกลางอากาศและฟาดกระบี่ลงกับหุ่นไม้ที่ถูกตั้งไว้ฉึก!หุ่นไม้ถูกตัดขาดเป็นสองท่อนในพริบตา!"..."หลินหลีฮวาเผลอกลืนน้ำลาย ดูจากท่าทางอ่อนโยนของเขายามเป็นหมอ นางนึกไม่ถึงเลยว่า
ตอนที่ 26|| ติดตามท่านหมอซ่งไปตรวจผู้ป่วยครั้งแรกหลังจากที่ซ่งไป๋เซียวแต่งตั้งให้นางเป็นผู้ช่วยและลูกศิษย์ของเขา หลินหลีฮวาก็ทุ่มเทฝึกฝนตำราแพทย์อย่างจริงจังมาหลายวันจากที่ซ่งไป๋เซียวนั้นมีงานยุ่ง แต่การอ่านตำราเพียงอย่างเดียวไม่อาจทำให้นางเป็นผู้ช่วยที่ดีได้วันนี้ นางจึงได้มีโอกาสติดตามท่านหมอซ่งไปตรวจผู้ป่วยเป็นครั้งแรกเช้าวันนี้ ท้องฟ้าสดใส อากาศเย็นสบาย ขบวนรถม้าของซ่งไป๋เซียวแล่นออกจากจวน โดยมีหลินหลีฮวานั่งอยู่ข้างในกับเขา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นปนกังวล"ท่านหมอซ่ง วันนี้พวกเราจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?"ซ่งไป๋เซียวปิดตำราแพทย์ในมือ ก่อนตอบเรียบ ๆ"โรงหมอหลวงที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเหยียนจิ่ง""โรงหมอหลวง?" หลินหลีฮวาตาโต"ใช่ ฝ่าบาทได้เปิดโรงหมอสำหรับรักษาผู้ป่วยที่ไม่มีเงินทองมากพอจะจ่ายให้หมอในวังหรือหมอประจำตระกูลใหญ่ พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา หากเจ็บป่วยก็ได้แต่พึ่งหมอพื้นบ้าน ซึ่งบางครั้งก็รักษาไม่ได้ผล""เช่นนั้น นอกจากท่านจะเป็นหมอหลวงแล้วยังต้องออกมาตรวจรักสาชาวบ้านยากจนที่โรงหมอหลวงด้วยหรือเจ้าค่ะ"หลินหลีฮวาพูดเสียงเบา นางรู้สึกชื่นชมเขาโดยไม่รู้ตั
ตอนที่25|| เป็นนักปรุงเครื่องหอมเจ้าต้องถ่องแท้สมุนไพรแสงแดดยามสายส่องลอดผ่านผ้าม่านโปร่งแสงของเรือนอวี้หลัน ลำแสงสีทองอ่อนโยนกระทบลงบนร่างของเด็กสาวที่นั่งอยู่บนตั่งข้างหน้าต่าง อาหลีพิงหมอนใบเล็ก สวมอาภรณ์สีอ่อน ผมยาวถูกรวบไว้หลวม ๆนี่เป็นวันที่สิบห้านับตั้งแต่นางหายจากไข้หนัก และบาดแผลของนางก็เกือบหายดีแล้ว แม้ฝ่ามือยังคงมีร่องรอยแดงจาง ๆ อยู่บ้าง แต่นางสามารถขยับมือได้อย่างคล่องแคล่วดังเดิมอาหลีนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง นางเพิ่งรู้ตัวว่า ตนเองมาอยู่เมืองหลวงได้เกือบสี่เดือนแล้ว และนับตั้งแต่แต่งเข้าสกุลซ่ง นางแทบไม่ได้ออกจากจวนเลย...ชีวิตของนางในช่วงหลายเดือนมานี้ ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวายจนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องของตนเอง แต่เมื่อบาดแผลของนางเริ่มหายดี นางก็เริ่มคิดได้ว่า...นางต้องมีชีวิตของตัวเองเด็กสาวเผลอกำตำราในมือแน่นขึ้น ก่อนจะก้มลงมองกระดาษเบื้องหน้า บนกระดาษมีสูตรปรุงเครื่องหอมที่นางจดบันทึกไว้ นางเคยปรุงเครื่องหอมมาตั้งแต่เด็ก ได้รับการถ่ายทอดวิชาเหล่านี้มาจากท่านแม่ที่ล่วงลับ นางเชี่ยวชาญเรื่องการปรุงน้ำหอม การผสมเครื่องหอมสำหรับจุด และแม้แต่การปรุงโอสถหอมที่ช่วยรักษ
Comments