ภายหลังการปะทะกับโจรป่า กองทัพของแม่ทัพใหญ่หลี่เหวินเจี๋ยยังคงเดินทัพต่อไปตามแนวชายแดน ความเหนื่อยล้าปรากฏบนใบหน้าของทหารทุกนาย แต่กระนั้นทุกคนยังคงเดินหน้าอย่างมุ่งมั่น ทว่าภายในกระโจมบัญชาการแห่งหนึ่ง กลับมีบรรยากาศตึงเครียดไม่แพ้สมรภูมิรบ
หลี่เหวินเจี๋ย นั่งอยู่หน้าโต๊ะไม้ที่เต็มไปด้วยเอกสารและแผนที่ ดวงตาคู่คมยังคงจับจ้องไปยังแผนที่อย่างพิจารณา แต่ในใจกลับครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งผ่านมา... ซูหนิงหนิง
“นางช่วยทหารบาดเจ็บได้อย่างชำนาญยิ่งนัก” หลิวหรง รองแม่ทัพคู่ใจเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบในกระโจม “ราวกับฝึกฝนมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ”
หลี่เหวินเจี๋ยพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่... นั่นคือสิ่งที่ทำให้ข้าสงสัย”
“สงสัยอันใดหรือขอรับท่านแม่ทัพ?” หลิวหรงเลิกคิ้ว
“นางเป็นบุตรีของหมอหลวงซูอัน ความรู้ด้านการแพทย์ย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่ความกล้าหาญและความเชี่ยวชาญในการช่วยเหลือผู้คนกลางสมรภูมิเช่นนั้น... หาได้ยากยิ่งในสตรีทั่วไป” หลี่เหวินเจี๋ยกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หรือนี่คือการพยายามสร้างความดีความชอบ? หรือเป็นทักษะที่ถูกฝึกฝนมาเพื่อวัตถุประสงค์อื่น?”
“ท่านแม่ทัพยังคงไม่ไว้ใจนางหรือขอรับ?” หลิวหรงถามตรงไป
“ความไว้ใจในยามศึกสงครามนั้นต้องแลกมาด้วยชีวิต” หลี่เหวินเจี๋ยเงยหน้าขึ้นมองหลิวหรง ดวงตาของเขาลุ่มลึกยากจะหยั่งถึง “เจ้าก็รู้ดีว่าหมอหลวงซูอันบิดาของนางยังคงเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีกบฏเบื้องหลัง แม้จะยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ความใกล้ชิดกับบุตรีของเขาเช่นนี้ ยิ่งทำให้ข้าต้องระมัดระวังให้มากที่สุด”
“แต่กระผมเชื่อว่านางมิได้เป็นภัยต่อท่าน” หลิวหรงกล่าวอย่างมั่นใจ “ตลอดการเดินทาง นางมิได้แสดงพิรุธใดๆ เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังช่วยชีวิตทหารไว้มากมาย”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องพิสูจน์” หลี่เหวินเจี๋ยกล่าวเสียงเย็น “การกระทำที่บริสุทธิ์อาจเป็นเพียงฉากบังหน้าเพื่อซ่อนเร้นความจริงที่โหดร้ายกว่านั้น”
ความคิดของหลี่เหวินเจี๋ยยังคงวนเวียนอยู่กับความสงสัย นางถูกจับหมั้นหมายกับเขาด้วยราชโองการในช่วงเวลาที่อ่อนไหวที่สุด ยามที่แผ่นดินเต็มไปด้วยไส้ศึกและขุนนางกบฏ เขามิอาจปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวมาบดบังหน้าที่ของตนได้ เขาจะเฝ้าจับตามองนางทุกฝีก้าว จนกว่าความจริงจะปรากฏ
ในกระโจมพยาบาลชั่วคราว ซูหนิงหนิง กำลังจัดเรียงสมุนไพรและอุปกรณ์ทำแผลให้เข้าที่ นางเพิ่งเสร็จจากการดูแลทหารที่บาดเจ็บจนดึกดื่น แสงเทียนส่องกระทบใบหน้าของนาง ทำให้เห็นความอ่อนล้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความมุ่งมั่น
“หนิงหนิง เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ?” เสียงนุ่มนวลของ มู่หลัน ดังขึ้น มู่หลันตัดสินใจติดตามซูหนิงหนิงมาด้วยความเป็นห่วง นางแม้จะมิได้มีความรู้ด้านการแพทย์มากเท่าสหาย แต่ก็คอยช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้ซูหนิงหนิงอยู่เสมอ
“ข้ายังคงมีเรื่องให้ต้องสะสางอีกมากมู่หลัน” ซูหนิงหนิงตอบ พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เจ้ากำลังกังวลเรื่องที่แม่ทัพหลี่สงสัยเจ้าอยู่ใช่หรือไม่?” มู่หลันถามอย่างตรงไปตรงมา
ซูหนิงหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “เขามองข้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความระแวง ทุกการกระทำของข้าล้วนอยู่ในสายตาของเขา ราวกับกำลังรอคอยให้ข้าเผยพิรุธ”
“แต่เจ้ามิได้ทำสิ่งใดผิดนี่หนิงหนิง” มู่หลันกล่าวปลอบใจ “เจ้าเพียงแค่ทำหน้าที่ของเจ้าในฐานะบุตรีหมอหลวง”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าหวังว่าเขาจะเข้าใจ” ซูหนิงหนิงตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “ข้าไม่รู้ว่าท่านพ่อของข้าเกี่ยวข้องกับเรื่องกบฏหรือไม่ แต่ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายท่านพ่อของข้าเป็นอันขาด”
ความคับข้องใจและความอัดอั้นในใจของซูหนิงหนิงระบายออกมา นางถูกจับหมั้นหมายกับบุรุษผู้ที่น่าจะกำลังตามสืบเรื่องราวของบิดาตน แถมเขายังมองนางด้วยสายตาของศัตรู นี่คือความอัปยศที่นางต้องแบกรับไว้เพียงลำพัง
“แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อไป?” มู่หลันถาม
“ข้าจะทำหน้าที่ของข้าให้ดีที่สุด” ซูหนิงหนิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางฉายแววแห่งความเด็ดเดี่ยว “และจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าข้าบริสุทธิ์ ข้ามิใช่สายลับของใคร”
นางหยิบตำราสมุนไพรเล่มเก่าขึ้นมาเปิดอ่าน นางต้องเพิ่มพูนความรู้ให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้คนได้อย่างเต็มที่ และเพื่อเป็นเกราะป้องกันตนเองจากการถูกกล่าวหา
วันรุ่งขึ้น กองทัพเคลื่อนทัพผ่านหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ถูกโจรป่าปล้นสะดมจนแทบไม่เหลือสิ่งใด ผู้คนอดอยากและเจ็บป่วยจำนวนมาก
“ท่านแม่ทัพขอรับ เราควรช่วยเหลือพวกเขาหรือไม่?” หลิวหรงถามขึ้น เมื่อเห็นสภาพของหมู่บ้าน
“เรามิอาจหยุดทัพได้ เวลานี้เป็นช่วงสำคัญในการไล่ล่าโจร” หลี่เหวินเจี๋ยตอบเสียงเรียบ แต่ดวงตาของเขากลับฉายแววความเห็นใจเพียงชั่วครู่ “ทหารบาดเจ็บของเราก็มีไม่น้อย”
แต่ก่อนที่หลี่เหวินเจี๋ยจะออกคำสั่งให้เดินทัพต่อ ซูหนิงหนิงก็ก้าวออกมาจากแถว “ท่านแม่ทัพขอรับ” นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าขออนุญาตอยู่ช่วยรักษาชาวบ้านที่นี่ก่อนเจ้าค่ะ”
หลี่เหวินเจี๋ยหันมามองนางด้วยความประหลาดใจ “เจ้ากำลังจะขัดคำสั่งข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ข้ามิได้ขัดคำสั่งเจ้าค่ะ” ซูหนิงหนิงตอบอย่างนอบน้อมแต่เด็ดเดี่ยว “แต่ในฐานะบุตรีของหมอหลวง ข้ามิอาจทอดทิ้งผู้คนที่กำลังทุกข์ทรมานได้ หากท่านแม่ทัพอนุญาต ข้าจะนำทหารส่วนหนึ่งที่มีความรู้ด้านการแพทย์ และมู่หลันอยู่ช่วยที่นี่ แล้วจะรีบตามไปให้เร็วที่สุดเจ้าค่ะ”
หลี่เหวินเจี๋ยจ้องมองนางนิ่งนาน เขามองเห็นแววตาที่มุ่งมั่นและจริงใจในดวงตาของนาง แววตาที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิตเพื่อผู้อื่น
“ท่านแม่ทัพขอรับ ให้คุณหนูซูอยู่ช่วยชาวบ้านเถิดขอรับ” หลิวหรงเอ่ยสนับสนุน “พวกเขากำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน”
หลี่เหวินเจี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ได้...แต่เจ้าต้องระวังตัวให้ดี อย่าให้เรื่องนี้สร้างปัญหาให้กองทัพ”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ!” ซูหนิงหนิงกล่าวด้วยความโล่งใจ นางรีบนำมู่หลันและทหารบางส่วนที่มีความรู้ด้านการแพทย์เข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านทันที
หลี่เหวินเจี๋ยยืนมองแผ่นหลังของซูหนิงหนิงที่กำลังเดินหายเข้าไปในหมู่บ้าน ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขา...ความรู้สึกที่นอกเหนือจากความสงสัย
หลายวันต่อมา ซูหนิงหนิงและมู่หลันทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน นางใช้ความรู้ทางการแพทย์ทั้งหมดที่นางมี รักษาบาดแผล เยียวยาความเจ็บป่วย มู่หลันก็คอยช่วยเหลือ จัดหาน้ำและอาหารให้แก่ชาวบ้านอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ในขณะเดียวกัน กองทัพของหลี่เหวินเจี๋ยก็สามารถไล่ต้อนโจรป่าไปจนถึงถ้ำที่ซ่อนตัวอยู่ได้สำเร็จ แต่การต่อสู้ในถ้ำนั้นยากลำบากยิ่งนัก โจรป่าใช้ความคุ้นเคยกับภูมิประเทศในการต่อต้าน ทหารของหลี่เหวินเจี๋ยบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
ข่าวความสูญเสียในแนวหน้าเดินทางมาถึงหมู่บ้าน ซูหนิงหนิงรู้สึกเป็นห่วงทหารของหลี่เหวินเจี๋ยเป็นอย่างมาก
“หนิงหนิง เราควรจะไปช่วยพวกเขานะ” มู่หลันเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “พวกเขาต้องการความช่วยเหลือด้านการแพทย์อย่างเร่งด่วน”
ซูหนิงหนิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ใช่...เราต้องไปช่วยพวกเขา”
นางรวบรวมสมุนไพรและอุปกรณ์เท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่สมรภูมิในถ้ำ โดยมีมู่หลันและทหารบางส่วนติดตามไปด้วย
เมื่อไปถึงปากถ้ำ ภาพที่เห็นทำให้ซูหนิงหนิงถึงกับตกตะลึง ทหารบาดเจ็บนอนกระจัดกระจายไปทั่ว เลือดสีแดงฉานย้อมพื้นดิน เสียงร้องครวญครางดังระงม
ซูหนิงหนิงรีบรุดเข้าไปช่วยเหลือทันที นางวิ่งจากทหารนายหนึ่งไปยังอีกนายหนึ่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แม้จะหวาดกลัวและอ่อนล้าเพียงใด แต่นางก็มิได้แสดงออกมาเลยแม้แต่น้อย
ภายในถ้ำ หลี่เหวินเจี๋ยกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับหัวหน้าโจรป่า เขาใช้กระบี่คู่กายฟาดฟันศัตรูอย่างเด็ดขาด แต่ก็ได้รับบาดเจ็บที่แขนข้างซ้ายจากคมดาบของหัวหน้าโจร
“ท่านแม่ทัพ! ท่านบาดเจ็บ!” หลิวหรงร้องขึ้นด้วยความตกใจ
หลี่เหวินเจี๋ยไม่สนใจบาดแผล เขายังคงต่อสู้ต่อไปอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งสามารถสังหารหัวหน้าโจรป่าลงได้สำเร็จ
เมื่อการต่อสู้สงบลง หลี่เหวินเจี๋ยทรุดตัวลงกับพื้น แขนซ้ายของเขาปวดร้าวอย่างรุนแรง
“ท่านแม่ทัพ!” หลิวหรงรีบรุดเข้ามาดูอาการ
ในขณะนั้นเอง ซูหนิงหนิงก็ปรากฏตัวขึ้น นางวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อเห็นบาดแผลของหลี่เหวินเจี๋ย
“ท่านแม่ทัพ!” นางคุกเข่าลงข้างๆ เขา ตรวจดูบาดแผลอย่างรวดเร็ว
หลี่เหวินเจี๋ยจ้องมองนางด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่านางจะมาถึงที่นี่
“บาดแผลค่อนข้างลึก ต้องรีบห้ามเลือดและใส่ยาเจ้าค่ะ” ซูหนิงหนิงกล่าวอย่างรวดเร็ว มือของนางเปิดถุงสมุนไพร เตรียมอุปกรณ์อย่างคล่องแคล่ว
ซูหนิงหนิงฉีกชายเสื้อของตนเองออก ใช้ห้ามเลือดที่แขนของหลี่เหวินเจี๋ยอย่างเบามือ ในจังหวะที่นางโน้มตัวลงมาใกล้เพื่อพอกสมุนไพรนั้นเอง นางก็เซเล็กน้อยจากความเหนื่อยล้าจนเกือบจะล้ม หลี่เหวินเจี๋ยที่เห็นดังนั้นก็รีบใช้แขนอีกข้างที่ยังไม่บาดเจ็บดึงร่างของนางเข้ามาประคองไว้โดยสัญชาตญาณ
ร่างของซูหนิงหนิงปะทะเข้ากับอกแกร่งของเขาอย่างจัง ใบหน้าของนางแนบชิดกับชุดเกราะเย็นเฉียบ กลิ่นไอของความเหนื่อยล้าผสมกับกลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ จากตัวนางลอยอบอวลเข้าสู่โสตประสาทของเขาอย่างไม่ตั้งใจ ซูหนิงหนิงเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ สบตากับดวงตาคู่คมกริบของเขาที่มองมาอย่างลึกซึ้ง ความรู้สึกที่ร้อนผ่าวแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าของนาง หลี่เหวินเจี๋ยเองก็รู้สึกถึงจังหวะหัวใจของตนที่เต้นแรงขึ้นอย่างประหลาด
"ท่านแม่ทัพ...ปล่อยข้าเถิดเจ้าค่ะ" ซูหนิงหนิงกล่าวเสียงแผ่ว พยายามขยับตัวออกห่าง
แต่หลี่เหวินเจี๋ยกลับไม่ยอมปล่อย เขายิ่งกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย "เจ้าทำอะไรของเจ้า ซูหนิงหนิง! บาดแผลของข้ายังต้องได้รับการรักษา" เสียงของเขาดุดัน แต่แฝงไว้ด้วยความกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ซูหนิงหนิงเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง น้ำเสียงของนางเริ่มแข็งขึ้น "ข้ามิได้จะหนีไปที่ใด ข้าเพียงแค่เซเล็กน้อย...ท่านแม่ทัพไม่ต้องถึงกับจับข้าไว้เยี่ยงนี้"
คำพูดของซูหนิงหนิงทำให้หลี่เหวินเจี๋ยชะงักไปครู่หนึ่ง เขามองนางนิ่งๆ ก่อนจะค่อยๆ คลายอ้อมแขนออกอย่างช้าๆ ราวกับไม่เต็มใจนัก เขาจำคำพูดของตนเองในอดีตได้ที่ว่า 'เจ้าคือว่าที่พระชายาของข้า ย่อมต้องจับตามองเป็นธรรมดา' แต่ในยามนี้เขากลับไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นมิได้มีเพียงแค่ 'จับตามอง' อีกต่อไปแล้ว
"ไปทำแผลให้เรียบร้อย" หลี่เหวินเจี๋ยสั่งเสียงเรียบ ก่อนจะหันหน้าหนีไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าดวงตาของเขามิได้มีเพียงความสงสัยอีกต่อไป แต่มีความรู้สึกที่ซับซ้อนกว่านั้น...ความรู้สึกที่ยังมิอาจระบุได้ แต่เป็นความรู้สึกที่ทำให้กำแพงน้ำแข็งในใจของเขาสั่นคลอนไปอย่างไม่อาจปฏิเสธ
“เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ” ซูหนิงหนิงกล่าวขณะที่นางกำลังพันผ้าพันแผลให้เขาอย่างแน่นหนา
หลี่เหวินเจี๋ยไม่ตอบ เขามองนางอย่างไม่กะพริบตา เขานึกย้อนไปถึงคำพูดของหลิวหรง “บางทีคุณหนูซูอาจจะมิได้เป็นเช่นที่เราคิดก็เป็นได้”
ตอนนี้เขากำลังเริ่มเชื่อในคำพูดนั้น... หมอหลวงผู้นี้ หรือสายลับที่เขาเคยสงสัย กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา ช่วยเหลือชีวิตเขาโดยไม่ลังเล
หลังจากซูหนิงหนิงทำแผลให้หลี่เหวินเจี๋ยเสร็จ นางก็รีบไปช่วยเหลือทหารนายอื่นๆ ทันที ทิ้งให้หลี่เหวินเจี๋ยและหลิวหรงอยู่ด้วยกัน
“ท่านแม่ทัพ...ดูเหมือนความสงสัยของท่านอาจจะลดน้อยลงแล้วกระมังขอรับ” หลิวหรงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
หลี่เหวินเจี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “บางที...ข้าอาจจะมองนางผิดไป”
แต่ถึงกระนั้น ความสงสัยในตัวหมอหลวงซูอัน บิดาของนาง ก็ยังคงเป็นหนามยอกใจของหลี่เหวินเจี๋ย หากบิดาของนางเกี่ยวข้องกับการกบฏจริง แล้วซูหนิงหนิงจะรู้เรื่องนี้หรือไม่? นางจะเลือกข้างผู้ใด?
นี่คือคำถามที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจของแม่ทัพใหญ่ผู้เย็นชาผู้นี้
เสียงห่าธนูที่ปลิวว่อนดุจฝนห่าใหญ่ยังคงดังสนั่น คมดาบกระทบกันดังแคว้งคว้างไม่ขาดสาย สมรภูมิรบระหว่างกองทัพของหลี่เหวินเจี๋ย และ เฉินกวง ได้ทวีความรุนแรงถึงขีดสุด กองทัพของต้าเหลียงกำลังเผชิญหน้ากับคลื่นมนุษย์ของข้าศึกที่โหมกระหน่ำเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง หลี่เหวินเจี๋ย นำทัพเข้าปะทะอย่างกล้าหาญ ดาบในมือของเขาสาดประกายฟาดฟันศัตรูอย่างไร้ความปราณี ใบหน้าคมคายของเขาเปื้อนคราบเขม่าดินและโลหิต แต่ดวงตาคู่คมกริบยังคงฉายแววความมุ่งมั่นและไม่หวั่นไหวซูหนิงหนิง ทำหน้าที่หมอศึกอยู่ที่แนวหลัง นางวิ่งไปมาระหว่างทหารที่บาดเจ็บ ปฐมพยาบาลอย่างรวดเร็วและแม่นยำ มือที่เคยบอบบางบัดนี้แข็งแกร่งและเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น เลือดสีแดงฉานเจิ่งนองพื้นดินในกระโจมพยาบาล เสียงร้องครวญครางของทหารดังระงมไปทั่ว เป็นดั่งเสียงเพลงแห่งความเจ็บปวดที่ไม่มีวันสิ้นสุด“คุณหนูซู! ทหารนายนี้ถูกระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัสขอรับ!” นายทหารนายหนึ่งร้องบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน เมื่อหามร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะเข้ามาซูหนิงหนิง
เสียงคำรามของปืนใหญ่ยังคงดังก้องผสานกับเสียงกรีดร้องของความตาย การต่อสู้ระหว่างกองทัพของ หลี่เหวินเจี๋ย และ เฉินกวง เข้าสู่ขั้นวิกฤต เมืองหลวงต้าเหลียงสั่นคลอนภายใต้เงาของสงคราม แต่ในใจกลางความโกลาหลนั้น...ความผูกพันระหว่างแม่ทัพใหญ่และหมอหญิงกลับเบ่งบานอย่างเงียบงันหลังจากเหตุการณ์ในป่าที่หลี่เหวินเจี๋ยยอมขัดราชโองการเพื่อช่วย ซูหนิงหนิง และคำสารภาพที่ว่า "สนามรบไม่ใหญ่เท่าใจข้า...และในใจของข้า...เจ้าสำคัญกว่าสิ่งใด" ก็ได้หลอมรวมสองหัวใจที่เคยห่างเหินเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์กลางสมรภูมิที่เต็มไปด้วยเลือดและคมดาบ ซูหนิงหนิงยังคงทำหน้าที่หมอศึกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มือเรียวสวยที่เคยบอบบางบัดนี้เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจากการรักษาชีวิตผู้คน นางวิ่งไปมาระหว่างทหารที่บาดเจ็บ ปฐมพยาบาลอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทุกวินาทีคือการต่อสู้กับความตาย“หมอหญิง! ทหารนายนี้ถูกระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัสขอรับ!” นายทหารนายหนึ่งร้องบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรน เมื่อหามร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะเข้ามาซูหนิงหนิงรีบเข้าไ
รุ่งอรุณของวันใหม่มาเยือนพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดและควันไฟที่ยังคงอบอวลไปทั่วสมรภูมิ ค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นดั่งฝันร้ายที่มิอาจลืมเลือน การโอบกอดของ หลี่เหวินเจี๋ย ในกระโจมพยาบาลยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของ ซูหนิงหนิง มันคือความอบอุ่นท่ามกลางความหนาวเหน็บของสงคราม เป็นดั่งคำสัญญาที่มิได้เอ่ย แต่กลับลึกซึ้งเกินกว่าถ้อยคำใดจะบรรยายแต่ความสงบสุขนั้นช่างสั้นนัก เสียงกลองศึกที่ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่ากองทัพของ เฉินกวง กำลังจะระดมพลโจมตีครั้งใหญ่ที่สุด หลี่เหวินเจี๋ยยืนอยู่บนกำแพงค่าย สายตาคมกริบจับจ้องไปยังทัพศัตรูที่เคลื่อนเข้ามาดุจมังกรดำทะมึน ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมกว่าครั้งใดๆ เพราะเขารู้ดีว่านี่คือการตัดสินชะตา“ท่านแม่ทัพ! กองทัพเฉินกวงระดมพลเต็มอัตราศึกแล้วขอรับ!”หลิวหรง รองแม่ทัพคนสนิทรายงานด้วยน้ำเสียงร้อนรนหลี่เหวินเจี๋ยพยักหน้าช้าๆ “เตรียมพร้อมรับมือ! ให้ทหารทุกคนเข้าประจำตำแหน่ง! ค่ายกลห้าธาตุต้องแข็งแกร่งที่สุด!”เสียงแตรศึกดังก้องไปทั่วค่าย
สมรภูมิอันดุเดือดยังคงดำเนินไปอย่างไม่หยุดหย่อน กองทัพของหลี่เหวินเจี๋ย และ เฉินกวง ปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเสียงแตรศึกและเสียงโหยหวนแห่งความตาย แต่ในหัวใจของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ บัดนี้มิได้มีเพียงหน้าที่ หากแต่มีเงาของสตรีผู้หนึ่งทาบทับอยู่... ซูหนิงหนิง ผู้ที่เขายอมเอาตัวเข้าบังคมธนู เพื่อปกป้องนางจากอันตรายหลังจากการโจมตีระลอกล่าสุดซาลงไปชั่วขณะ หลี่เหวินเจี๋ยถูกนำตัวกลับมายังกระโจมบัญชาการชั่วคราว เสื้อเกราะของเขาเต็มไปด้วยรอยบุบและรอยขีดข่วนจากคมธนู แต่โชคยังดีที่เกราะหนาได้ช่วยรับแรงปะทะไว้ ทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างไรก็ตาม ความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้และแรงกระแทกก็ทำให้เขารู้สึกปวดร้าวไปทั้งกายซูหนิงหนิง รีบรุดเข้ามาในกระโจมทันที ใบหน้าของนางยังคงซีดเผือดด้วยความกังวล เมื่อเห็นสภาพของหลี่เหวินเจี๋ย“ท่านแม่ทัพ! ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่เจ้าคะ!” ซูหนิงหนิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางรีบเข้าไปตรวจดูสภาพของเขาอย่างเร่งร้อนหลี่เหวินเจี๋ยส่ายหน้าเล็กน้อ
สนามรบยังคงคุกรุ่นไปด้วยควันไฟและเสียงโหยหวนของความตาย กองทัพของ หลี่เหวินเจี๋ย และ เฉินกวง ยังคงปะทะกันอย่างดุเดือด แผ่นดินต้าเหลียงต้องเผชิญกับบททดสอบที่หนักหน่วงที่สุด แต่ท่ามกลางเปลวเพลิงแห่งสงครามนั้น ความผูกพันระหว่างแม่ทัพใหญ่และหมอหญิงกลับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นหลังจากที่ ซูหนิงหนิง ได้ช่วยชีวิตหลี่เหวินเจี๋ยจากพิษธนูและคำสั่งให้ "อยู่ข้างข้าตลอดศึกนี้" ก็เป็นดั่งโซ่ตรวนทองคำที่ผูกมัดหัวใจของคนทั้งคู่เข้าด้วยกันอย่างมิอาจแยกจาก ซูหนิงหนิงยังคงทำหน้าที่หมอศึกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย โดยมีหลี่เหวินเจี๋ยคอยเฝ้ามองและปกป้องอยู่ห่างๆ อย่างเงียบเชียบในคืนหนึ่งที่แสงจันทร์สลัว สนามรบชั่วคราวเต็มไปด้วยเสียงครวญครางของทหารบาดเจ็บ ซูหนิงหนิงกำลังดูแลทหารนายหนึ่งที่อาการหนัก ใกล้จะหมดลมหายใจ มือของนางเปื้อนเลือดและรอยแผลเป็นมากมายจากความตรากตรำ“คุณหนูซู…ข้า…ข้าคงไม่รอดแล้วขอรับ” ทหารนายนั้นเอ่ยเสียงแผ่ว ใบหน้าซีดเซียว“อย่าเพิ่งหมดหวังนะเจ้าคะ!” ซูหนิงหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียง
หลังจาก ซูหนิงหนิง ได้ช่วยชีวิต หลี่เหวินเจี๋ย จากพิษธนูและคำสั่งให้ “อยู่ข้างข้าตลอดศึกนี้” ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แน่นแฟ้นขึ้นท่ามกลางสมรภูมิอันดุเดือด กองทัพของต้าเหลียงถอยร่นอย่างมีระเบียบตามแผนของแม่ทัพใหญ่ มายังจุดยุทธศาสตร์ที่แข็งแกร่งกว่า เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรบครั้งสำคัญที่จะตัดสินชะตาของแผ่นดินภายในกระโจมบัญชาการชั่วคราวอันเรียบง่าย กลิ่นสมุนไพรคละคลุ้งไปทั่ว หลี่เหวินเจี๋ย นอนพักผ่อนอยู่บนเตียงไม้ชั่วคราว บาดแผลจากธนูพิษที่ต้นแขนยังคงถูกพันด้วยผ้าขาวสะอาด แต่อาการของเขาดีขึ้นมากแล้วจากการดูแลอย่างใกล้ชิดของซูหนิงหนิงซูหนิงหนิง นั่งอยู่ข้างกายเขา มือเรียวสวยกำลังบดสมุนไพรอย่างตั้งใจ ใบหน้าของนางแม้จะซีดเผือดด้วยความอ่อนล้าจากการตรากตรำในสมรภูมิ แต่ดวงตากลับฉายแววความมุ่งมั่นและห่วงใยอย่างที่สุด“เจ้าควรจะพักผ่อนบ้างซูหนิงหนิง” หลี่เหวินเจี๋ยเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว ดวงตาคู่คมที่ปกติจะปิดนิ่ง บัดนี้กลับลืมขึ้นจ้องมองนางอย่างไม่กะพริบตา เขาสังเกตเห็นรอยคล้ำใต