ซุยหลันซีทะลุมิติมายังปี 1985 อยู่ในร่างของคุณหนูตกอับที่ไร้ทั้งทรัพย์สินและครอบครัว เธอต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ท่ามกลางความยากลำบาก พร้อมทั้งสร้างอนาคตและความรักครั้งใหม่กับชายหนุ่มผู้แสนเย็นชา เขาจะกลายเป็นแสงสว่างในยุคมืดของเธอ..ได้ไหม?
View More“คุณหนู คุณหนู ตื่นครับ รถไฟมาถึงแล้ว เร็วเข้า ถ้าพลาดเที่ยวนี้ต้องรออีกสามวันเลยนะครับ” เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังขึ้น ร่างของซุยหลันซีถูกเขย่าเบาๆ ทำให้เธอเกิดความรำคาญเล็กน้อยจึงใช้มือปัดออก พูดกับคนที่มาปลุกเธอให้ตื่นจากนิทราอันแสนสุขด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“เพ่ยเพ่ย อย่ามากวนได้ไหม ฉันง่วง จะนอน วันนี้วันหยุดไม่ต้องไปทำงาน” พูดจบก็พลิกตัวไปอีกด้านหนึ่ง แต่แทนที่จะคว้าเอาเจ้าขนฟูมากอดเหมือนวันอื่นๆ กลับกลายเป็นว่าร่างของเธอหล่นลงพื้นเสียงดังตุ๊บ
“โอ๊ย เพ่ยเพ่ย ยัยบ้า ไม่ตื่นแค่นี้ถึงกับถีบฉันตกเตียงเลยเหรอ!”
ซุยหลันซีลูบบั้นท้ายตนเองป้อยๆ ก่อนจะลืมตาตื่นเต็มที่หวังจะจัดการเพื่อนสาวคนสนิทที่แกล้งกันได้ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะสภาพแวดล้อมที่ซุยหลันซีเห็นอยู่เต็มสองตาตอนนี้ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ทั้งเก่าและทรุดโทรม ที่สำคัญคือมีเสียงดังจอแจเต็มไปหมด ซุยหลันซีเหลียวมองไปรอบๆ ก็ยิ่งตกตะลึงตาค้าง เพราะห่างออกไปไม่เกินห้าสิบเมตร เธอเห็นผู้คนกำลังหลั่งไหลไปขึ้นรถไฟขบวนหนึ่ง
“รถไฟ สถานีรถไฟเหรอ แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ?”
ซุยหลันซีพึมพำกับตัวเองด้วยความงงงวย กำลังคิดว่าฝันไปอยู่หรือเปล่า ซุยหลันซีหยิกเนื้อที่ขาตัวเอง
“ซี๊ด...” ก็เจ็บนี่นา ไม่ได้ฝันไปเสียหน่อย
“คุณหนู เราต้องไปขึ้นรถไฟแล้วครับ” เสียงของชายคนเดิมเอ่ยเตือนขึ้นอีกครั้ง ช่วยให้ซุยหลันซีรู้สึกตัวหลุดออกจากภวังค์ ถึงแม้จะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่พอตั้งสติได้ก็เอ่ยถามออกไป
“นี่คุณ ไปไหน ฉันต้องไปไหน”
“คุณหนู ลืมไปแล้วหรือครับ พวกเราต้องเดินทางไปกว่างโจวกัน ตอนนี้รถไฟมาแล้ว ถึงเวลาต้องไปขึ้นรถไฟแล้วครับ”
ชายหนุ่มบอกพลางลุกขึ้นสำรวจดูกระเป๋าของตนเองและของภรรยา เขาหิ้วกระเป๋าเดินทางขึ้นด้วยสองมือ พลางปรายตามองมายังซุยหลันซีที่ทำสีหน้างงงวยอยู่บนพื้น
“ไปเถอะเราต้องเดินทางกันอีกสองวัน”
“เอ่อ...” ซุยหลันซีตกใจลุกพรวดขึ้นยืน ก้มลงจัดเสื้อผ้าด้วยความเคยชิน ขณะที่ใช้มือจัดเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็ถึงกับอึ้งเป็นครั้งที่สองของวัน เพราะเสื้อผ้าที่เธอสวมอยู่นั้น มันช่างล้าสมัย ที่สำคัญเธอสวมกระโปรงกับรองเท้าคัชชูสีดำมีสายรัดเหมือนกับรองเท้านักเรียนอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันนี่นะสวมรองเท้าคัทชู กับกระโปรง” ซุยหลันซีเปรยกับตนเองเบาๆ พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายคนนั้นกำลังก้าวขึ้นรถไฟ
ซุยหลันซีกลัวจะหลงกับผู้ชายคนนั้น คนที่เรียกเธอ คล้ายกับรู้จักกัน ในสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจ เธอจึงเลือกที่จะเชื่อชายหนุ่มคนนี้ไปก่อน แล้วปัดทุกความสงสัยทิ้งไป
เมื่อมองไปรอบๆ เห็นกระเป๋าถือวางอยู่บนม้านั่งก็คิดว่าน่าจะเป็นกระเป๋าของตนเอง จึงรีบคว้ากระเป๋าถือขึ้นมาแล้วเดินจนเกือบจะวิ่งเพื่อตามชายตรงหน้าให้ทัน
“เดี๋ยวนะขึ้นรถไฟก็ต้องมีตั๋ว แล้วฉันมีตั๋วหรือเปล่า?”
ซุยหลันซีระหว่างเดินตามชายคนนั้นก็นึกเอะใจขึ้นมา จึงลองล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงก็เจอกับกระดาษแข็งสีขาวใบหนึ่ง เมื่อหยิบออกมาดูก็ปรากฏว่าเป็นตั๋วรถไฟ ในนั้นระบุว่า
ต้นทางคือปักกิ่ง ปลายทางคือกว่างโจว
วันที่บนตั๋วระบุว่า วันที่ 10 เมษายน 1985
นอกจากนี้ก็ยังมีหมายเลขรถไฟ ประเภทที่นั่งและราคาตั๋ว
ข้อมูลทุกอย่างซุยหลันซีอ่านแค่เพียงผ่านตา แต่มาสะดุดแทบหัวคะมำเมื่อเห็นวันที่บนตั๋ว
“หนึ่ง เก้า แปด ห้า ตายแน่ฉัน ฉันกำลังฝันไปแน่ๆ ตื่นสิ ตื่น” ซุยหลันซีหยุดเดินแล้วยกมือตบหน้าตนเองไปสองสามที ทำให้ผู้โดยสารที่เดินตามหลังมาถึงกับอารมณ์เสีย
“นี่ คุณ หน้าตาก็ดี ไม่น่าเสียสติ ถ้าไม่ไปก็ขยับให้คนอื่นเดินสิ”
หญิงสาวคนหนึ่งที่เดินตามหลังซุยหลันซีมาตั้งแต่หัวขบวนพูดขึ้นมาเสียงดัง น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่พอใจ คนอื่นๆ ที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังต่างก็ยื่นหน้าเบี่ยงตัวพากันมองมาที่เธอเป็นตาเดียว
“อะ...เอ่อ ขอโทษค่ะ” ซุยหลันซีได้ยินดังนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าออกสองสามทีก่อนจะหันไปขอโทษคนข้างหลังและเดินตามหาตู้รถไฟที่ปรากฏบนตั๋ว ซึ่งระบุไว้ว่าเป็นตู้นอนส่วนตัวสองที่นั่งผ่านไปไม่ถึงห้านาทีเธอก็มาถึงตู้ขบวนรถไฟของเธอ พอมาถึงก็พบว่าชายคนที่เธอไล่ตามมานั่งอยู่ที่นั่น
“อ้าว คุณนั่งตรงนี้เหรอ” ซุยหลันซีเอ่ยถามพลางนั่งลงแล้ววางกระเป๋าถือไว้ข้างตัว
“คุณหนู เราเดินทางด้วยกัน ที่นั่งก็ต้องด้วยกันอยู่แล้ว”
“หา? ฉันว่าจะถามคุณหลายครั้งแล้ว คุณรู้จักฉันด้วยเหรอ?” ซุยหลันซีจ้องไปยังใบหน้าคมคร้าม พลางพิจารณาชายตรงหน้าอย่างละเอียด เขาเป็นคนที่สูงมาก น่าจะสูงเกือบๆหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ใบหน้าคมคาย ผิวขาวคล้ายกับดาราจีนที่เธอชอบ ใบหน้าเย็นชา เหมือนจะมีอยู่หน้าเดียว เธอมองเขาเงียบๆ
หล่อไม่เบา เสียแต่ขี้เก๊กไปหน่อย
“คุณหนู ผมไม่ตลกด้วยนะครับ”
เติ้งเว่ยหมิงใช้หางตามองเธอกลับ คุณหนูที่เมื่อก่อนเอาแต่กลั่นแกล้งและรังแกเขา ด้วยถือว่าเขาเป็นเพียงแค่เด็กในบ้าน เป็นลูกไล่ของเธอตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงไม่มีวันไหนที่จะไม่ถูกเธอกลั่นแกล้ง
แต่สายตาชื่นชมนั่นมันคืออะไร? ร้อยวันพันปีคุณหนูผู้เย่อหยิ่งและสูงส่งไม่เคยมีสายตาเช่นนี้มองเขาสักครั้ง เติ้งเว่ยหมิงได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ
“ฉันก็ไม่ตลก เห็นเรียกฉันว่าคุณหนูๆ ตั้งหลายครั้งแล้ว ฉันแค่สงสัยก็เลยถามดู” น้ำเสียงจริงจังของหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าล้อเล่น ทำให้เติ้งเว่ยหมิงถึงกับขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
คุณหนูผู้เอาแต่ใจคนเก่าหายไปไหน? หรือว่าหลังจากที่ต้องแต่งงานกับเขา เธอก็เสียใจจนเสียสติไปแล้ว?
“คุณหนูจำไม่ได้เหรอครับว่าเราแต่งงานกันแล้ว และกำลังจะเดินทางไปกว่างโจว” เสียงทุ้มๆ ของเขาตอบเธอด้วยน้ำเสียงราบเรียบทำให้ซุยหลันซีถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปที่ชายตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“นายว่าไงนะ นะ...นายกับฉัน แต่งงานกันแล้ว ไม่จริง! นายโกหกใช่ไหม มันจะเป็นไปได้ยังไง?” ซุยหลันซีตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้นเป็นรอบที่สาม ความจริงที่ออกจากปากคนที่เธอคิดว่าน่าจะบอกเรื่องราวต่างๆ ได้ แต่กลับไม่คิดว่าเรื่องราวจะกลายมาเป็นแบบนี้
“ผมรู้ว่าคุณหนูเกลียดผม ไม่ชอบขี้หน้าผม แต่จะให้ทำยังไงได้ ตอนนี้คุณหนูไม่ใช่คุณหนูผู้สูงส่งลูกสาวท่านนายพลอีกต่อไปแล้ว แต่คุณหนูคือภรรยาของผม คนงานในบ้านที่ต่ำต้อยคนนี้”
เติ้งเว่ยหมิงตอบคำถามที่เดียวจบทุกคำ ซุยหลันซีถึงกับไปไม่เป็น เธอกำลังช็อกกับข้อมูลที่ได้รับ
เติ้งเว่ยหมิงเห็นแบบนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ เขากลับแปลกใจว่าเมื่อเห็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายนั่งทำหน้างงงวย แทนที่จะรู้สึกดีใจ มีความสุขที่สามารถเอาคืนเธอได้ แต่ลึกๆ ในใจกลับเกิดความสงสารและเห็นใจขึ้นมา
เติ้งเว่ยหมิงสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะเอ่ยออกมา
“นี่ก็เย็นมากแล้ว ผมจะไปตู้อาหาร คุณหนูจะไปด้วยกันไหม หรือจะให้ผมซื้อกลับมาให้”
“ฉันยังไม่หิว นายไปเถอะ” ซุยหลันซีเอ่ยตอบด้วยอาการเหม่อลอย พลางล้มตัวลงนอนหันหลังให้ เหมือนกับไม่ต้องการคุยด้วยอีกต่อไป
เติ้งเว่ยหมิงเห็นดังนั้นก็ไม่เซ้าซี้ เขาเดินออกจากตู้นอนไปยังตู้อาหาร
“หลันหลัน ลุงรู้จักพ่อของหนูมาตั้งแต่ครั้งที่พวกเรายังเป็นทหารรุ่นหนุ่มๆ” ท่านนายพลหยุดไปครู่หนึ่ง ดวงตาฉายแววระลึกถึงความหลัง“ตอนนั้นพวกเราถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจที่ชายแดนด้านตะวันตก มีครั้งหนึ่งที่หน่วยของลุงถูกโจมตีอย่างหนัก ลุงได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกตัดขาดจากกองกำลังหลัก พ่อของหนูเสี่ยงชีวิตฝ่าแนวข้าศึกเข้ามาช่วย แบกลุงเดินทางข้ามเขาสามวันสามคืนจนกลับมาถึงฐานที่มั่นได้”ซุยหลันซีนั่งฟังอย่างตั้งใจ เมื่อได้ยินเรื่องราวของบิดา เติ้งเว่ยหมิงที่นั่งข้างๆ ค่อยๆ เลื่อนมือมาจับมือภรรยาไว้อย่างให้กำลังใจ“ตอนนี้ลุงไม่ได้นิ่งนอนใจเลยนะ” ท่านนายพลกุ้ยเอ่ยต่อน้ำเสียงจริงจัง “ที่เงียบไปหลายเดือนเพราะไม่อยากให้เรื่องกระเทือนไปถึงพวกที่คอยจับตาดูอยู่ แต่ลุงได้ติดต่อกับหลิวป๋อไปรับหลักฐานสำคัญจากคนของเราที่ชายแดน หลักฐานชิ้นนี้จะพิสูจน์ได้ว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดเป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นมา”“จริงหรือคะ...?” ซุยหลันซีเอ่ยถามเสียงมีความหวัง“คุณพ่อจะได้กลับมาจริงๆ หรือคะ?”ท่านนายพลพยักหน้า “ใช่ ลุงสัญญาว่าไม่เกินสี่เดือน พ่อของหนูจะต้องได้รับอิสรภาพ ทุกข้อก
ห้องบันทึกรายการโทรทัศน์เงียบลงชั่วขณะเหรินหย่าเฟยถูกลากตัวออกไปจากงาน เสียงฝีเท้าของเจ้าหน้าที่ค่อยๆ เงียบหายไป ทิ้งความเงียบงันไว้ชั่วครู่ ก่อนที่พิธีกรสาวจะได้รับสัญญาณจากท่านรัฐมนตรีพิธีกรหญิงหัวไวสมกับที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ เมื่อท่านรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมได้ส่งสัญญาณมาให้ พิธีกรสาวจึงได้หันไปทางท่านประธานคณะกรรมการที่ยืนอยู่บนเวทีแล้ว“ท่านประธานคณะกรรมการคะ เรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายแล้ว ทางท่านประธานและคณะกรรมการมีคำตัดสินเป็นอย่างไรคะ” พิธีกรสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงชัดเจนประธานคณะกรรมการหญิงหันไปมองคณะกรรมการที่นั่งอยู่ด้านข้างเวที สายตาของเธอกวาดมองไปทีละคนอย่างช้าๆ เมื่อเห็นทุกคนพยักหน้าเห็นพ้องต้องกัน จึงหันกลับมาที่ไมโครโฟน ก่อนจะประกาศเสียงดังฟังชัด“ทางคณะกรรมการขอตัดสินให้โรงงานเฟิงหยุนเป็นผู้ชนะในการแข่งขันในวันนี้ค่ะ”เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วห้องส่ง พิธีกรสาวรอให้เสียงปรบมือเบาลงก่อนจะเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม“เรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้ว ดังนั้น ฉันขอถือโอกาสนี้เริ่มการมอบรางวัลชนะเล
“แล้วหลักฐานล่ะ?” ท่านรัฐมนตรีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “มีเพียงคำให้การของพยานคนเดียวไม่อาจยืนยันได้ว่าโรงงานหย่งเจิ้นเป็นผู้ว่าจ้างหญิงคนนี้ ในทางกลับกัน คุณอาจจะเป็นคนจ้างหญิงคนนี้มาใส่ร้ายโรงงานหย่งเจิ้นก็อาจเป็นไปได้”เติ้งเว่ยหมิงค้อมศีรษะให้กับท่านรัฐมนตรีอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุม “ท่านรัฐมนตรีพูดถูกครับ หญิงคนนี้เป็นเพียงแม่บ้านทำความสะอาด คำพูดของหล่อนอาจจะไม่น่าเชื่อถือ อาจจะจริงอย่างที่ท่านว่า อาจจะเป็นผมที่จ้างหญิงคนนี้มาใส่ร้ายโรงงานหย่งเจิ้น”เขาหยุดชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มบางๆ “แต่ว่า... ถ้าพยานเป็นท่านผู้นี้ ท่านรัฐมนตรียังคิดว่าคำพูดของท่านไม่น่าเชื่อถืออยู่อีกไหมครับ?”เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังก้องในห้องที่เงียบกริบทุกสายตาหันไปมองประตูทางเข้า ที่ซึ่งชายสูงวัยในเครื่องแบบทหารยศนายพลกำลังก้าวเข้ามา ดวงตาคมกริบของเขาจ้องมองไปที่เหรินหย่าเฟยนิ่ง จนเธอถึงกับถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความตกใจ“ท่าน...ท่านนายพลกุ้ย!” ท่านรัฐมนตรีอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจแรง การปร
เมื่อครบหนึ่งชั่วโมง ผู้เข้าร่วมงานทุกคนทยอยกลับเข้าสู่ห้องโถงใหญ่อีกครั้ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความคาดหวัง เสียงพูดคุยที่ดังอยู่เบาๆ ค่อยๆ เงียบลงเมื่อพิธีกรก้าวขึ้นเวที“สวัสดีทุกท่านอีกครั้งค่ะ” พิธีกรสาวในชุดกี่เพ้าสีแดงเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “หลังจากที่คณะกรรมการได้พิจารณาผลงานทั้งหมดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว บัดนี้ถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอย นั่นคือการประกาศผลการประกวดค่ะ”เธอหยุดชั่วครู่ ก่อนจะหยิบซองสีทองขึ้นมา “สำหรับการประกวดในครั้งนี้ จากโรงงานที่เข้าร่วมทั้งหมดเจ็ดโรงงาน ทางคณะกรรมการจะมอบรางวัลดังนี้ รางวัลชนะเลิศหนึ่งรางวัล รางวัลรองชนะเลิศหนึ่งรางวัล และที่เหลือเป็นรางวัลชมเชยโดยไม่มีการจัดอันดับ”หวงเสี่ยวเหมยกุมมือซุยหลันซีไว้แน่น ในขณะที่เสี่ยวน่าและเสี่ยวจูก็ไม่ต่างกันอยู่ด้านหลัง“ก่อนที่จะประกาศผลรางวัลชนะเลิศ ฉันขอเรียนให้ทราบว่า รางวัลรองชนะเลิศนั้นจัดไว้ในกรณีที่ผู้ชนะไม่สามารถส่งผลงานเข้าร่วมการเดินแบบในงานเทศกาลแฟชั่นและวัฒนธรรมนานาชาติฮ่องกงที่ฮ่องกงได้”พิธีกรอธิบายด้ว
เมื่อสิ้นสุดการนำเสนอของโรงงานที่หก ก็ได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้องเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้นของทางโรงงานเฟิงหยุน ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวน่าที่จะต้องเดินแบบทั้งที่ชุดนั้นมีตำหนิ หวงเสี่ยวเหมยที่ลุ้นถึงผลลัพธ์ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด ซึ่งมันต่างจากที่วาดภาพไว้มาตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมาตอนนี้ซุยหลันซีต้องกลายเป็นคนมานำเสนอผลงานแทนหวงเสี่ยวเหมยเมื่อซุยหลันซีเดินออกไปเพื่อไปเตรียมตัวรอที่จุดรอขึ้นเวที เหรินหย่าเฟยที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดส่งยิ้มเยาะมาให้ ซุยหลันซีสะดุดการก้าวเดินเล็กน้อย แต่เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วทำเป็นไม่ใส่ใจ ก้าวออกไปยังจุดเตรียมตัวอย่างเชื่อมั่น“ต่อไปขอเชิญตัวแทนจากโรงงานเฟิงหยุนค่ะ”เมื่อเสียงดนตรีดังคลอขึ้นพร้อมกับเสี่ยวน่าเดินออกมาจากหลังฉาก ซุยหลันซีที่ขึ้นไปยืนในตำแหน่งผู้นำเสนออยู่แล้ว เริ่มการนำเสนอด้วยน้ำเสียงมีเสน่ห์ เธอพูดอย่างมีจังหวะสอดรับกับการเดินของเสี่ยวน่า“สวัสดีท่านคณะกรรมการและผู้ร่วมงานทุกท่าน ฉันซุยหลันซี จากโรงงานเฟิงหยุนบนจอภาพตรงหน้าท่าน คือชุด ‘กำเนิดหงส์ทอง’ ท
ทุกคนเข้ามาที่ห้องประชุมเล็กกันอย่างพร้อมเพรียง เสี่ยวน่ากับเสี่ยวจูหอบหิ้วชุดที่ถูกทำลายมาด้วยตามมาเป็นคนสุดท้าย เมื่อมาถึงท่านประธานก็ให้นำชุดนั้นไปวางไว้บนโต๊ะตรงกลาง เสี่ยวน่าวางชุดลง หลังจากนั้นคณะกรรมการก็ไปมุงดูชุดที่ถูกทำลาย และมีการสอบถามกับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลห้องเก็บชุดด้วย โดยตัวแทนจากโรงงานเฟิงหยุนทุกคนไม่มีใครพูดอะไรออกมา ยังคงรออย่างสงบเวลาผ่านไปกว่าสิบนาที คณะกรรมการก็กลับไปนั่งที่ ท่านประธานเป็นคนเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก“ทางผู้กำกับรายการบอกมาว่าเราต้องใช้เวลาให้เร็วที่สุด เพราะจะต้องทำการอัดรายการอยู่ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ทางคณะกรรมการได้มีมติเห็นชอบว่า การที่ชุดของทางผู้เข้าร่วมการแข่งขันถูกทำลายให้เสียหาย เป็นความรับผิดชอบโดยตรงของทางผู้จัดงาน ทางเราจึงขอสอบถามว่า ทางผู้เข้าร่วมการแข่งขันจะให้ทางเรารับผิดชอบยังไง?”ทางโรงงานเฟิงหยุนหลังจากที่ได้รับฟังคำอธิบายก็หยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หวงเสี่ยวเหมยจะเป็นคนที่แสดงความต้องการออกไป“ทางโรงงานเฟิงหยุนต้องการนำเสนอชุดต่อไปตามปกติค่ะ”“หือ เพราะอะไรเหรอ&r
Comments