@ KIRA’S CONDO
“นิลลากูเข้าใจ แต่ทำไมต้องโรเซ่” มาโครมองภาพถ่าย 2 จาก 5 ในมือคิระที่เขายื่นมาให้แล้วตั้งคำถามออกไป คิระเองก็แค่มองมาแล้วตัดบทไป “ไปทำตามที่สั่ง” “แต่มึงไม่เคยทำผู้หญิง” “ครั้งนี้จะทำมีปัญหาอะไร” คิระสวนกลับมาโครที่พยายามจะห้าม ท่ามกลางหมอและพยาบาลที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำแผลให้เขาอย่างว่องไว “พี่เมียมึงท้อง เผื่อจำไม่ได้” “ก็ไอ้เวรนั่นมันต้องรู้ไง” คิระพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ เพราะยิ่งใกล้เวลาเลิกเรียนของลิซ่ามากเท่าไหร่ เขายิ่งกังวลว่าเธอจะกลับมาก่อนและทันเห็นเลือดเขาหยดเลอะเต็มพื้น เอาง่ายๆ...เรื่องจับตัว Nightshade’s Lady เป็นรองไปชั่วคราว ที่น่ากังวลกว่านั้นคือลิซกลับมาจะตกใจ “เมื่อไหร่เสร็จวะหมอ” ท่าทางหงุดหงิดก่อตัวขึ้นอีกครั้ง พอคิระเห็นหมอละเมียดละไมและใช้เวลานานเกินไปในขณะที่นาฬิกาก็เดินไม่หยุดแบบนั้น “เหลือแค่ปิดแผลก็เสร็จแล้วครับ” “แต่นิลลาก็ท้อง มึงจะให้เหตุผลกับเรื่องนี้ยังไง” “ไอ้ไคยะ เรียกแม่บ้านมาทำความสะอาด” “ครับนาย” “เชี่ยเหอะ ถ้ามึงจะฟังที่กูพูดสักนิดอ่ะนะ” มาโครมองคิระที่เปลี่ยนเรื่องไปเฉยๆ แถมยังสั่งไคยะข้ามหัวเขาไปเลย แล้วคิระก็หันกลับมา “เงียบเลยมึงอ่ะ จะงอแงไรนักหนา” “จ้า ขอให้เมียมึงกลับมาเห็นเหอะไอ้ห่า” แกร๊ก! แล้วก็จริงอย่างมาโครว่า เพราะทันทีที่พูดจบลิซ่าก็เปิดประตูเข้ามา โชคดีที่หมอปิดแผลเสร็จพอดี คิระเองก็รวบรูปบนโต๊ะทัน ส่วนรอยเลือดคิระที่หยดเลอะพื้นก่อนหน้านี้.... พรึ่บ! พรึ่บ! “หนูกลับมาแล้วค่าาา...” มาโครโยนแจ๊คเก็ตของตัวเองให้คิระ พร้อมกันกับที่มืออีกข้างโยนผ้าห่มสีน้ำตาลผืนเล็กที่มักจะพาดอยู่โซฟาเสมอของลิซ่าไปบังรอยเลือดที่พื้นได้ทันแบบพอดิบพอดี หมอและพยาบาลเลยอาศัยจังหวะนี้เก็บอุปกรณ์ทั้งหมดลงกระเป๋าและลุกออกไปได้ทันท่วงที “โอ๊ะ นั่นกระเป๋าคุณหมอ ใครเป็นไรหรอคะ???” ลิซ่าในยูนิฟอร์ม Treatise เลอะเทอะใช้ได้เดินผ่านประตูห้องเข้ามา และเห็นท่าทางแปลกๆของทุกคนตอนนี้เลยมองไปแบบงงๆ ส่วนนึงก็เพราะในห้องมีคนเยอะกว่าที่คิด แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบก็... “อ้าว ใครทำกับผ้าห่มผืนน้อยของหนูแบบนี้เนี่ย” “อ้าวววว กลับมาแล้วหรอคร้าบบบ นายหญิงงงง” จังหวะที่ลิซ่ากำลังจะก้มลงเก็บผ้าห่มตรงหน้า ไคยะที่เพิ่งเดินกลับจากไปโทรหาแม่บ้านก็เดินลิ่วๆเข้ามา “ค่ะพี่ไคยะ แป๊บนึงนะเดี๋ยวหนูเก็บผ้า...” “เสื้อไปเลอะไรมา” คิระเห็นท่าไม่ดีเลยทักออกไป แล้วน้องก็ยิ้มเขินๆ ก่อนจะเดินมานั่ง แถมยังลืมเรื่องเก็บผ้าห่มไปซะสนิทเพราะอยู่ๆเจ้าตัวก็หลุดขำ “คิกๆๆ เฮียอย่าทักสิหนูเขินนะคะ รู้กันแค่นี้นะคือว่าาาา... อ๋อพอดีหม้อแปลงที่ ม.หนูระเบิดอ่ะ แหะๆ =_=^” “หม้อแปลงระเบิด?” คิระทวนคำพูดนั้นแล้วเลิกคิ้วนิดหน่อย ส่วนลิซ่าก็พยักหน้ารัวๆ “ใช่ค่ะ เนี่ยคือตอนนั้นหนูนั่งอยู่หลังห้องนะ แล้วอาจารย์ก็กำลังสอนอยู่แต่ท้องมันดันร้องจ๊อกๆ ความรู้สึกคือหิวมว๊ากกกก” จังหวะที่ลิซ่าเริ่มเล่าเหตุการณ์ ทั้งคิระ มาโคร และไคยะก็เหลือบตาไปมองหน้ากันเองนิดๆอย่างพอรู้ถึงต้นเสียงนั้นแต่ไม่มีใครพูดอะไร “อ่ะ สงสัยกันใช่มั้ยล่ะว่าเสื้อเลอะได้ไง ก็เพราะที่จริงหนูแอบเอาโกโก้มิ้นท์ที่ซื้อจากคาเฟ่หลัง ม. ตอนเที่ยงขึ้นมากินด้วยไง ทีแรกดูดไปก็ไม่มีอะไร สักพักก็ปังงงงง!” ลิซ่าไม่พูดเปล่า เพราะพอถึงคำพูดสุดท้ายฝ่ามือเล็กก็ทุบโต๊ะประกอบจนมาโครที่พอเดาเหตุการณ์ได้หลุดขำ “หึ...” “แล้วก็นั่นแหละค่ะโอ๊ะโอววว หนูตกกะใจบีบแก้วโกโก้แตก กลิ่นมิ้นท์นี่หอมฟุ้งไปทั่วห้อง พื้นนี่คลุมโทนน้ำตาลฟ้าไปเลยจ้า ต้องช่วยป้าแม่บ้านถูกตั้งนานกว่าจะสะอาดอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ” “หึ...นายหญิง ผมขอขำนะนาย” ไคยะมองท่าทางลิซ่าแล้วหันไปหาคิระที่มองลิซ่าแบบอมยิ้มแล้วส่ายหัวเบาๆให้กับความไร้เดียงสาที่เธอแสดงออกไป “แล้วรู้ได้ไงว่าหม้อแปลงระเบิด?” “ก็อาจารย์ว่างั้นอ่ะค่ะ แต่หนูว่าหนูไปเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่า เพราะกลิ่นในห้องนี้มันเริ่มแปลกๆชอบกลนะ ฟุดฟิดๆๆ” ลิซ่าขยับตัวหันหน้าไปก้มๆเงยๆดมกลิ่นแปลกๆในห้องด้วยความไม่คุ้นเคยก่อนจะลุกออกไป แต่ยังเดินไม่ทันจะถึงห้อง... “เอ้อออ ว่าแต่ใครเป็นอะไรหรอคะ สองคนเมื่อกี๊ถือกระเป๋าคุณหมอนี่นา” “ไอ้แม็คมันปวดท้อง” “กู?” คิระชิงตอบออกไป ก่อนมาโครจะเลิกคิ้วอย่างกวนประสาทเพราะท่าทางเพื่อนเขาตอนนี้เหมือนจะกลั้นใจรักษาความลับน่าดูจนเลิ่กลั่กใช้ได้ “ก็...ตามนั้น” มาโครพยักหน้าส่งๆให้ลิซ่าที่มองมาที่เขาอย่างเป็นห่วงเป็นใย “อ้าว แล้วเป็นไรมากมั้ยคะเนี่ย โอ๋ๆ เฮียแม็คหายไวๆนะคะ” “ค่ะ หายไวๆนะคะ” มาโครทวนคำพูดลิซ่าแล้วหันไปมองคิระอย่างล้อเลียนก่อนจะโดนเขาเขวี้ยงหมอนบนโซฟาที่อยู่ใกล้มือมา ฟุ้บ! “เอ้าเฮียคิน! อย่าแกล้งคนป่วยสิคะ งั้นหนูไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะค้าาา” แล้วคล้อยหลังลิซ่าที่เดินพ้นไป มาโครก็ลุกไปคว้าเสื้อตัวเองที่คิระใส่ไม่ทันเลยเอามันพาดบ่าปิดแผลไว้คืนมา ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับรูปนิลลาและโรเซ่ที่คิระซ่อนมันไว้ในซอกโซฟา พรึ่บ! “เอาไงก็เอา แต่แม่เฒ่าซิลวาฝากบอกว่าจะไม่ย้ายไปไหน จนกว่าจะได้เจอมึง” พูดจบมาโครก็เดินออกไป ไคยะเองก็พยักหน้ายืนยันเหมือนจะสื่อเป็นนัยๆว่าเขาควรต้องไป…วันต่อมา...
“ฟินิกซ์จ๋าหนูมาล๊าววววว” ฉันตะโกนออกไปสุดเสียงท่ามกลางชาวเกาะทั้งหลายที่กำลังแบกอะไรเดินไปเดินมากันให้วุ่นจนบรรยากาศดูแปลกไป และใช่แล้วฉันอยู่ที่เกาะ ใช่แล้วโดดเรียนมาหนึ่งวันเด็กๆไม่ควรทำตาม ก็คนมันโหยหาทะเลอ่ะเนาะ ลัลล้าลัลลาาาา....หื้มมม กลิ่นลมทะเล กลิ่นแดด กลิ่นทรายมันชื่นนนนใจ.... “นายหญิงเสียงดังจัง” เพราะมัวแต่ดีใจไปหน่อยฉันเลยลืมสังเกตไปว่าใต้ต้นมะพร้าวใกล้ๆมีลาซานั่งอ่านหนังสืออยู่ “ดีจ้าลาซา นี่อ่านหนังสือดูดาวอีกแล้วใช่มั้ย” “เปล่า อ่านหลักสูตรที่จะเรียน...ครับ” “เดี๋ยวๆ หลักสูตรที่จะเรียน?” “ใช่ ก็ซาอยากเรียนเหมือนนาย แล้วนายหญิงล่ะเรียนอะไร” ลาซาตอบมาหน้าซื่อๆ เล่นเอาฉันงงไปเลย แต่อ่านหลักสูตรที่จะเรียนทั้งที่ยังสะกดคำได้แค่นิดหน่อยเนี่ยนะ นี่เด็กอายุ 6-7 ขวบแน่ใช่มั้ย? “พี่เรียน IT อ่ะ เกี่ยวกับคอมฯที่ลาซาอยากได้ไง เออนี่...แล้วลาซารู้ด้วยหรอว่าเฮียเรียนอะไร” ฉันถามไปเพราะนึกคาใจอยู่พอดี ที่ว่าเขาเรียนจบแล้วนี่เรียนอะไร แล้วเรียนที่ไหน ไม่เห็นเฮียเคยเล่าให้ฟัง “รู้สิครับ นายหญิงไม่รู้หรอ นายเรียน EP ไง” หืม...EP ? “แล้ว EP นี่คณะอะไรอ่ะ เอ๊ะหรือว่า... English Program ใช่มั้ย?” มิน่าล่ะเฮียคินเทพอิ้งใช้ได้ Speak English กรุบกริบ ลูกคนมีตังค์ก็ต้องเรียน 2 ภาษา.... “EPS ไม่ใช่ EP มั้ยล่ะ” พอลาซาพูดมา เฮียแม็คที่เดินมาจากไหนไม่รู้ก็โผล่มาแก้ชื่อหลักสูตรให้ แต่.... “EPS หรอคะ? แล้ว EPS นี่มันคณะอะไร แหะๆ - -*” ฉันส่งยิ้มแหยๆให้เฮียแม็คแล้วเขาก็ตอบกลับมา “Earth and Planetary Sciences ภาษาไทยก็คงประมาณ....” “ดาราศาสตร์ อะไรทำนองนั้นใช่มั้ย” ฉันชิงพูดไปเพราะเดาจากชื่อหลักสูตรที่มันดูโลกๆดาวๆอะไรพวกนั้น แต่โหยยย แจ๋วไปเลย เฮียต้องว่างขนาดไหนถึงไปนั่งดูดาวเป็นปีๆได้ แล้วเฮียแม็คก็พยักหน้าตอบมา “ใช่” ซึ่งคำตอบนั้นก็ทำให้ลาซาฮึกเหิมขึ้นมาเชียว “เนี่ย ซาจะเรียนเหมือนนายให้ได้” “เกาะติดมันเป็นลูกเลยนะ” “ก็ซาอยากเก่งแบบนาย” “ไว้มันมีลูกสาวก็ไปเป็นลูกเขยมันดิ” ฉันมองเฮียแม็คกับลาซาโต้ตอบกันแล้วแอบอมยิ้มในคำตอบนั้นคนเดียว ในขณะที่ลาซาก็ทำหน้างง มองเฮียแม็คสลับกับฉัน “ลูกเขยคืออะไร แต่ถ้านายมีลูกไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย ยังไงซาก็จะปกป้องลูกนาย” แม้จะเป็นคำพูดแบบเด็กๆ แต่แววตาก็ลาซาก็ดูจริงจัง ทำให้ฉันนึกชื่นชมอยู่ลึกๆ แล้วเฮียแม็คที่ยืนล้วงกระเป๋าก็โน้มตัวก้มหน้าไปยักคิ้วใส่ลาซาที่นั่งอยู่ใต้ต้นมะพร้าวแบบกวนๆใช้ได้ “ใช่ป่าว? ถามแม่เค้าก่อนดิ ว่าให้ปกป้องมั้ย” พอเฮียแม็คพูดแบบนั้น ลาซาเลยหันมาถามฉัน แต่แม่เลยหรอ ระ...เร็วไป =_=^ “นายหญิง...ให้ปกป้องมั้ย?” พูดจบมือเล็กก็วางหนังสือลงบนพื้นทราย แล้วลุกขึ้นมาทาบฝ่ามือนั้นบนท้องฉัน ก่อนจะจ้องมาอย่างคาดหวังในคำตอบโดยมีเฮียแม็คจ้องมองอยู่ทุกการกระทำ “เอ่อ...แหะๆ ก็ถ้ามีวันนั้นจริงๆ ลาซาก็อย่าทิ้งน้องนะ โอเคมั้ย?” และอาจเพราะซึมซับพฤติกรรมของคนรอบข้างมากไป พอได้ฟังในสิ่งที่ฉันพูด ลาซาก็เอามือออกจากหน้าท้องฉันแล้วก้มหัวลงอัตโนมัติ ก่อนจะพูดเสียงเข้ม “ครับ! รับทราบครับนายหญิง!” “หึ...” พอได้ฟัง...เฮียแม็คก็กระตุกยิ้มมุมปากออกมาก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วเดินแยกออกไป ฉันเลยเดินตามเพราะมองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร “เฮียคินไปไหนหรอคะ” “มันมีธุระ เลยให้เฮียมาอยู่เป็นเพื่อน” อ่าฮะ เมื่อวานเขาบอกฉันว่ามีธุระเลยพาฉันมาด้วย แต่ให้เฮียแม็คมาอยู่เป็นเพื่อน? “แล้วพี่ฟาเดีย...จะไม่มีปัญหาหรอคะ” ฉันพูดในจังหวะที่เงยหน้าขึ้นไปเห็นพอดี ในระเบียงห้องพักที่อยู่ห่างออกไป พี่ฟาเดียกำลังยืนมองเราทั้งคู่ที่เดินอยู่ข้างกันบนหาดทราย “...ไม่รอดหรอก สบายใจได้” เฮียแม็คตอบคำถามฉันเหมือนรู้ดีว่าตัวเองกำลังโดนจ้องมองแต่ก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ แต่ทำไมถึงได้เย็นชาจังเลยนะ ท่าทางของเขาที่มีต่อพี่ฟาเดียน่ะ...มันดูเย็นชาเกินไป “งั้นเฮียแม็คไปเดินห่างๆหนูเลยค่ะ” เพราะทั้งสายตาที่จ้องมาของพี่ฟาเดียกับคำพูดของเฮียทำให้บรรยากาศดูอึมครึมอย่างน่าประหลาด ฉันเลยพูดไปขำๆ “หึ...ไอ้คินก็มา ไม่น่าจะมีปัญหา…” “ที่ห่างจากเค้านี่โล่งใจหรือกระวนกระวายมากกว่าหรอคะ? อุ๊บ O_O!” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ฉันคิดอะไรแล้วหลุดปากพูดออกไป นั่นทำให้เฮียแม็คเงียบไปแล้วเขาก็มองมา “……” “อะ...เอ่อ ขอโทษค่ะ คือเฮียคินบอกหนูเรื่องเฮียแม็คกับพี่ฟาเดียแล้วก็.....” “อืม ฟาร์ดา เห็นว่าไปเจอกันมา” เฮียแม็คพูดมาเสียงเรียบ ฉันเลยเอามือตบปากตัวเองเบาๆ แล้วตอบไปเสียงเนือยๆ “...ค่ะ” “สบายดีนะ” แค่สี่คำสั้นๆ ไม่รู้ทำไมฉันรู้สึกได้เลย ถึงสิ่งที่เฮียต้องการจะถาม “อื้ม แต่เป็นผู้หญิงที่เก่งมากจริงๆนะคะ รุ่นพี่น่ะ” พูดไปฉันก็แอบมองพี่ฟาเดียที่ยิ่งจ้องเรามากขึ้นจากเดิม สายตาหงุดหงิดของเธอชวนให้รู้สึกเลิ่กลั่กใช้ได้ “อืม โหดสุดในหมู่บ้านแล้วนะ รายนั้นน่ะ” “ฮ่ะๆ เฮียแม็คพูดเหมือนรุ่นพี่เป็นแรมโบ้เลยค่ะ” ฉันฟังเฮียแม็คพูดถึงรุ่นพี่เฟรย่าแล้วหลุดขำออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ท่าทางที่ดูเย็นชาเริ่มดูดีขึ้น เขาอมยิ้มบางๆ แววตาก็ดูอ่อนโยนมาก แต่แปลกที่ในมุมมองของฉัน มันกลับอยากพูดอะไรบางอย่าง หลังจากได้หันสบตาพี่ฟาเดียที่กำลังฟึดฟัดอีกครั้ง “...เป็นผู้ชายที่น่าอิจฉาจังเลยนะคะเฮียแม็คน่ะ” “น่าอิจฉา?” “อื้ม” ฉันหยุดเดินและพยักหน้าออกไป นั่นทำให้เฮียแม็คหยุดเดินเหมือนกันแล้วเขาก็มองมาแบบไม่ค่อยเข้าใจ “หนูไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ดูนั่นสิคะ พี่ฟาเดียเธอก็ดูรักเฮียแม็คมากนะ รักมากซะจน....” “รักเกินรักมักทำลาย ….คนไทยใช้คำนี้บ่อย เคยได้ยินมั้ย” ราวกับเฮียแม็คจะรู้ว่าฉันอยากจะพูดอะไร เขาเลยชิงพูดกลับมาก่อน แล้วหันไปมองพี่ฟาเดียได้ตรงจุดเป๊ะๆ รักเกินรักงั้นหรอ.... “หนู...ขอพูดอะไรหน่อยได้มั้ย” ฉันหันมองพี่ฟาเดียไปพร้อมกันกับเฮียแม็ค แต่ปากก็พูดกับเขา เขาเองก็พยักหน้าเบาๆ และยังไม่หยุดมองเธอ ในแววตาของเฮียแม็ค...มันมีทั้งความสงสัย ความรัก ความอ่อนโยน และความเข้าใจ ยิ่งมองลึกลงไป ก็ยิ่งเห็นถึงความใส่ใจที่เขาแสดงออกไป แต่ที่มันดูโหดร้าย...คือแค่เฮียแม็คกะพริบตา ทั้งหมดที่ฉันกล่าวไปก็กลายเป็นความว่างเปล่าได้ง่ายๆ “เฮียแม็คคะ เราไม่มีวันรู้หรอกค่ะ ว่าในหัวคนอื่นกำลังคิดอะไร” “……” ฉันพูดออกไปแต่เฮียแม็คก็ยังคงเงียบ ทั้งเขาและพี่ฟาเดียจ้องกันเหมือนคนที่กำลังมีปัญหา และไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉัน...ถึงรู้สึกว่าพี่ฟาเดียในตอนนี้...ดูน่าสงสาร “โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว หนูว่าสิ่งที่ผิดพลาดในประโยคเมื่อกี๊ของเฮีย คือคำว่า ทำลาย นะคะ” ฉันพูดในสิ่งที่คิดออกไปอีกครั้ง นั่นทำให้เฮียแม็คละสายตาจากพี่ฟาเดียมองทอดไปบนผืนน้ำเงียบๆ แบบไม่พูดอะไรอย่างเดิมแบบนั้น แต่ที่มันแย่คือฉัน...เห็นพี่ฟาเดียมองตามเขาเหมือนใจจะสลาย มันดูเว่อร์มาก แต่ช่องว่างระหว่างความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ดูชัดเจนและซ้ำซ้อนมากจนฉันรู้สึกได้ “เฮียแม็ค... หากว่าเฮียจะลอง...” “พอเถอะลิซ” “หากว่าเฮียจะลอง...พิจารณาจากของใกล้ตัวเปรียบเทียบกันดูสักที จะเห็นว่าอาวุธที่ฆ่าคนได้บางที มันก็ไม่ใช่แค่มีดกับปืน ไม่ใช่แค่ของแข็ง หรือของอันตราย” คงเพราะติดลมหรืออะไรก็ไม่รู้ ทั้งที่เฮียแม็คเบรคฉันแล้ว แต่พอมองไปที่พี่ฟาเดียที่ดูเสียใจ ฉันกลับกล้าที่จะพูดออกไป แล้วเฮียก็ยืนฟังเงียบๆก่อนจะถอนหายใจเบาๆออกมา ฉันเลยพูดต่อไป… “การปล่อยวางต้องใช้ความกล้ามากกว่าการรั้งเอาไว้นะคะ อาวุธที่ร้ายแรงอย่างคำพูด บางทีก็อาจทำให้ใครคนนึงกล้าหาญมากพอที่จะหายไป…” ครั้งนี้เป็นฉันที่ถอนหายใจอย่างโล่งอกแทน ที่แม้จะล้ำเส้นเข้าไปมาก แต่เฮียแม็คก็ยังยืนฟังเงียบๆ แต่ใกล้แล้วล่ะ ใกล้ถึงประเด็นสำคัญที่ฉันอยากจะพูด “ลองถามตัวเองดีๆนะคะ ถ้าวันนึงพี่ฟาเดียหายไป เฮียแม็คจะไม่เสียใจใช่มั้ย? ถ้าตรงนี้ไม่มีใครเลย... ถ้าเฮียไม่เหลือ...ใคร” พอฉันพูดประโยคนี้ เฮียแม็คถึงกับหันหน้ามามองฉันอย่างพิจารณา สลับกับมองไปหาพี่ฟาเดีย ซึ่งท่าทางฟึดฟัดในตอนแรกของเธอ ตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นเศร้ามาก แววตาของเธอเจ็บปวดมาก แค่เพราะเฮียแม็คหันหน้าหนีไปเท่านั้น และฉันว่ามันอาจจะถึงเวลาแล้วแหละ... “ความรักมันใช้เป็นข้ออ้างในการทำเรื่องไม่ดีเสมอก็จริง แต่มันก็ซุกซ่อนความปรารถนาที่จะมีความรักดีๆเอาไว้ เพราะงั้น...เอาเวลาที่มาอยู่เป็นเพื่อนหนู ไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเธอสักนิดเถอะค่ะ มันไม่ได้ยากเกินกว่าที่เฮียจะทำได้ใช่มั้ย :)” แล้วพอสิ้นสุดคำพูดของฉัน ทั้งฉันและเฮียแม็คต่างก็เห็นมันพร้อมกัน...ภาพตรงหน้าที่พี่ฟาเดียปาดน้ำตานิ่งๆแล้วเดินกลับเข้าห้องไปอย่างคนไร้ความรู้สึก แต่แววตาเธอแฝงไปด้วยความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด จนแม้แต่ฉันเองก็ไม่อยากมองภาพนั้นนานๆ ทิ้งระยะไปไม่กี่วินาที เฮียแม็คที่ยืนนิ่งๆก็เริ่มก้าวขาเดินออกไป ฉันเองก็ได้แต่มองตามแผ่นหลังของเขาไปแบบ... หึ...โชคดีแค่ไหนแล้วนะ ที่เขาไม่ถือโทษที่เราเข้าไปวุ่นวายอีกด้านหนึ่ง...
“ไอ้แม็คมันบอกว่าป้าอยากเจอผม” คิระเข้าเรื่องทันทีที่เดินมาถึงบ้านแม่เฒ่าซิลวาโดยไร้ผู้ติดตาม แม่เฒ่าเห็นแบบนั้นก็เชิญให้เขานั่ง พร้อมกับทิ้งตัวนั่งฝั่งตรงข้าม “ใช่ค่ะ พอดีว่าป้ามีเรื่องอยากจะถาม” “(- -)(_ _)” คิระตอบกลับคำพูดนั้นด้วยการพยักหน้าและตั้งใจฟัง กลับกัน...แม่เฒ่าซิลวากลับดูลำบากใจที่จะสื่อสารในสิ่งที่ต้องการจะพูดออกไป “ในฐานะผู้ศึกษาดาราศาสตร์ คุณว่าพระอาทิตย์กับไฟ อะไรร้อนกว่ากันหรอคะคุณอคิราห์?” คำถามเชิงวิชาการนิดๆถูกส่งมา ทำให้คิระได้คำตอบตั้งแต่ยังไม่ทันจะหยุดคิด เพราะมันคือความรู้เบสิคที่หากเทียบกับกองไฟเล็กๆ พระอาทิตย์ก็ดูยิ่งใหญ่กว่า แต่ยังไม่ทันจะปริปากพูด... “คุณกำลังจะตอบว่าพระอาทิตย์... ทำไมล่ะคะ? เพราะตัวคุณเองก็คือพระอาทิ....” “เปล่าครับ…” ไม่รอให้แม่เฒ่าซิลวาพูดจบ คิระก็พูดสวนขึ้นมา “เพราะพระอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานที่สำคัญที่สุดของโลก เป็นดวงไฟให้ความร้อนและแสงสว่างขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับ....” “กองไฟ” แม่เฒ่าซิลวาพูดสวนกลับไปด้วยท่าทางสุขุมบ้าง คิระก็พยักหน้า “ครับ และนั่นบอกชัดว่ายังไงความร้อนของพระอาทิตย์ก็แผดเผาได้มากกว่า” “แต่คุณเพิ่งบอกว่าพระอาทิตย์คือ ดวงไฟ…” พอคิระพูดจบ แม่เฒ่าซิลวาก็พูดต่อราวกับคอยจับผิดในทุกคำพูดของเขา แถมยังตั้งคำถามจี้เข้าไปเรื่อยๆ “หรือเพราะว่าป้าไม่ได้จบสูง ถึงคิดว่ากองไฟกับดวงไฟก็คือไฟเหมือนกัน แม้ดวงไฟอย่างพระอาทิตย์จะมีขนาดใหญ่ แต่มันก็คงจะมี...กองไฟเล็กๆจำนวนมากเป็นส่วนประกอบข้างใน ที่คุณเรียนมามันไม่ใช่หรอคะ ที่จริงมันไม่เหมือนกันใช่มั้ย?” แม่เฒ่าซิลวาแม้จะทำหน้าซื่อเหมือนคนไม่รู้เรื่อง แต่เธอก็จดจ่อรอฟังว่าคิระจะตอบว่าอะไร และคิระก็ไม่ได้ซื่อบื้อขนาดที่จะไม่รู้ ทุกครั้งที่แม่เฒ่าซิลวาต้องการพบเขา เธอมักมีเรื่องที่ต้องการบอก แม้แต่คำถามเปรียบเปรยที่เธอเรียบเรียงมาอย่างดีในตอนนี้ ก็ชวนให้คิดถึงสิ่งที่ท่านย่าเคยพูด ซึ่งเขาก็จำมันได้ดี ใช่...พระอาทิตย์คือเขา ‘คิระ’ และไฟที่ว่าคือ ‘เตโช’ ชื่อที่เป็นความสว่างไสวของทั้งคู่ ผ่านการทบทวนมาอย่างดีแล้วจากบุคคลผู้เป็นย่า...หรือท่านผู้หญิงญาณิกา “ขอโทษนะครับป้า ผมมีเวลาไม่มาก ป้าช่วยพูดตรงๆ....” “พระอาทิตย์ที่สง่างามคือพระอาทิตย์ที่มีพลังความร้อนจากไฟหล่อเลี้ยงอยู่รอบกายค่ะคุณคิระ” เพราะรู้ว่าคนตรงหน้าจะมีปฏิกิริยาแบบนี้แน่นอน แม่เฒ่าซิลวาเลยชิงพูดขัดออกไปตั้งแต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ... “ไฟที่ลุกโชกโชนอย่างสมเกียรติเกินกว่าที่ใครจะจับต้องได้ คือไฟที่เผาไหม้บนแหล่งพลังงานที่ยิ่งใหญ่อย่างพระอาทิตย์ ทั้งคู่ควรอยู่อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย” พรึ่บ! “ถ้าป้าจะพูดเรื่องนี้ผม...” “คุณสาดความร้อนใส่กัน มีแต่จะยิ่งสร้างกองเพลิงเผาตัวเองและคนรอบข้างให้ล้มตาย” คิระลุกขึ้นอย่างเริ่มไม่พอใจและกำลังจะเดินออกไป แม่เฒ่าซิลวาที่ยังนั่งอยู่โต๊ะก็พูดเสียงเข้มเตือนสติ เขาเองก็สวนกลับอย่างไม่มีใครยอมใคร “ผมไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะชนะ” “แล้วคุณคาดหวังอะไรงั้นหรอคะ ถึงขนาดยอมเอาเมมเบอร์ของตัวเองเข้าไปเสี่ยงมากมาย” “……” คำพูดของแม่เฒ่าซิลวาทำให้คิระชะงักไป เพราะลึกๆเขาก็ตอบคำถามนั้นไม่ได้ ที่ตอบได้ก็เพิ่งตอบไป...ว่าถึงแม้หลังจากนี้จะตัดสินใจให้เกิดสงครามแล้ว แต่คิระก็ไม่ได้คาดหวังจริงๆ ไม่คาดหวังว่าตัวเองจะชนะ เขาแค่ต้องการสั่งสอนว่าที่ผู้นำบ้าอำนาจอย่างเตโชก็เท่านั้น แต่แม่เฒ่าซิลวาก็ยังไม่หยุด “คิดทบทวนอีกทีเถอะค่ะ อย่างน้อยไฟดวงนั้นก็เป็น...” “นับตั้งแต่วินาทีที่มันลั่นไก มันไม่ใช่พี่ผมอีกต่อไป!” ครั้งนี้คิระตะคอกออกไปอย่างลืมตัว แค่ลืมว่าคนตรงหน้าเป็นแม่เฒ่าซิลวายังไม่เท่าไหร่ แต่ลืมตัวว่าเคยปฏิเสธการนับญาติกับเตโชมาตลอด และครั้งนี้ยอมรับไปเต็มปากว่าผิดหวังในตัวคนที่ถูกกล่าวถึงมากแค่ไหน “แต่ถ้าคุณทำ ท่านผู้หญิงจะเสียใจ” แม่เฒ่าซิลวาพยายามจะห้าม เพราะเธอรู้ดีว่าสงครามครั้งนี้จะจบยังไง แต่คิระก็เลือกจะก้าวขาเดินหนี เพราะคิดว่าใช้เวลาที่นี่มามากเกินไป “อย่าลืมนะคะคุณอคิราห์...พระอาทิตย์อยู่ไม่ได้เมื่อไร้ไฟ” ประโยคเตือนสติดังตามหลังคิระที่ก้าวขาเดินหนีต่อไปไม่หยุดอีกครั้ง “คุณจะกลายเป็นพระอาทิตย์ที่มืดมิดไปทันที หากคุณจะละทิ้งกองไฟในมือที่โชคชะตากำหนดให้คุณต้องมี” ถึงตรงนี้แม้จะไม่ได้หยุดเดิน แต่คิระก็รับรู้โดยทันทีว่าหากเป็นไปตามที่แม่เฒ่าต้องการจะสื่ออย่างกำกวม คือเขา แพ้แน่ ในสงครามครั้งนี้… กึก! และนั่นทำให้คิระหยุดเดินเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันกลับไปพูดกับแม่เฒ่าซิลวาด้วยความแน่วแน่และมั่นใจที่สุดในชีวิตที่เขามี “ก็ถ้ามันมั่นใจว่าเอาชนะผมได้ ผมก็จะน้อมรับชัยชนะนั้นเหมือนกัน!”หลายชั่วโมงต่อมา..."กลับมาแล้วค่าาา U_U"ฉันยื่นซองเอกสารที่ใส่ทะเบียนสมรสเป็นหลักฐานให้เฮียติณณ์ดู แล้วก็เพิ่งสังเกตว่าในนี้มีทั้ง Nightshade และ Nightshade's Lady นั่งอยู่"เอ้าโรส! แล้วก็พวกเฮียๆด้วยนี่นา สวัสดีค่าทุกคน~ ^_^""ไง ได้ข่าวว่าไม่โสดแล้วหรอ ใช่ม้า~"โรสเอ่ยปากแซวฉันก็หันไปยิ้มกับเฮียโย แต่ไม่ได้การละ เฮียๆอยู่ที่นี่ทั้งที"หึ๊ยยย ฟ้องเฮียดีกว่า เฮียขะ...."กึก...แล้วพอก้าวขาจะไปโผล่ตรงกลางระหว่างเฮียโยกับเฮียพาย อยู่ๆขาฉันก็ชะงักไปเพราะสายตาผู้หญิงของเฮียพายที่มองมาพอดี"เอ่อคือ...""ขอโทษนะ...ลิซ ที่วันนั้นเข้าใจผิด"เอ๋??? รุ่นพี่เป็นฝ่ายขอโทษฉันงั้นหรอ เรื่องจริงหรอเนี่ย ฉันเลยหันไปมองหน้าเฮียพายสลับกับเฮียคิน นี่อย่าบอกนะว่ามีใครไปทำอะไรมาเนี่ย"อ๋อ เอ่อคือ...ไม่เป็นไรเลยค่ะเจ๊...นิลลา แหะๆ""ว่า?"จังหวะที่ฉันหันไปยิ้มแห้งๆ เฮียพายก็ถามมา โอ๊ะเกือบลืมแหนะฟุ้บ!"คือว่าเฮียขาาา~ อะแฮ่ม ลิซขอแทรกหน่อยน้า เฮียขา เฮียคินบังคับให้หนูไปจดทะเบียน โดยมีเฮียติณณ์! เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดค่าา... อะแฮ่มอีกที! เฮียช่วยกระทืบใครสักคนให้หน่อยได้มั้ยคะ หนูปวดร้าวหัวใจมากที่เค้ามาป
วันต่อมา..."ไม่สนค่ะ! ถ้าไม่ใช่รูปนกฟีนิกซ์ หนูจะไม่ยอมประทับตราเด็ดขาด >[]ฉันตะโกนออกไปแบบแน่วแน่สุดๆไปเลย ก็มีอย่างที่ไหนอ่ะ ตื่นเช้ามายังไม่ทันจะอาบน้ำแปรงฟัน เฮียคินก็มาขู่ให้คนอื่นเค้าเอาดาบไขว้มาประทับไว้บนตัว และให้เหตุผลว่าการประทับตราเป็นการบ่งบอกว่าเราคือ Dark Shadow แต่โหย! ตั้งมีดดาบเชียวนะ เกิดมันมีชีวิตแล้วแทงเข้าไปในเนื้อหนังอันละเอียดอ่อนของฉันจะว่าไงอ่ะ =[]="Dark Shadow ต้องประทับตราเดียวกัน -_-""ก็หนูไม่อยากเป็....""ถ้าพูดมันออกมาอีกครั้ง..."เสียงเข้มกับสายตาดุๆถูกส่งมาให้ฉัน ก่อนที่ฉันจะยอมอ่อนลงนิดนึง เชอะ! "อะไรคะ ที่จริงหมายถึงไม่อยากให้ตราประทับเป็นรูปมีดดาบต่างหากล่ะ -3-""เลือกตำแหน่งที่อยากประทับไว้เลย"พรึ่บ!พูดจบเฮียคินก็ลุกขึ้นจากเตียงเฉย เดี๊ยะๆ ทำเป็นมาสั่งเนาะ"ไม่! หนูไม่เลือก ไม่สนใจ ไม่ประทับตราแน่ๆจะบอกให้"ฟุ้บ!ฉันทิ้งตัวนอนแล้วดึงผ้าห่มคลุมโปงไปเลย ก็ไม่อยากได้มีดดาบ ไม่ชอบอ่ะมันคม กลัวมันแทงเข้าไปควักไส้ หยึ๋ยยยย =[]=! ซาหยองจาตายยย"จะดื้อจนนาทีสุดท้ายเลยรึไง""ไม่ดื้อ! หนูไม่ได้ดื้อ หนูแค่ไม่ชอบ...""อาบน้ำแต่งตัว เช้าบินไปจดทะเบียน
"แย่จริงๆ คุณเปิดตัวอลังการขนาดนี้ ลูกหลานได้หัวใจวายกันพอดี :)""ท่านย่า""ท่านแม่"กึก!สิ้นสุดคำพูดของท่านปู่ เฮียคินที่ยืนอึ้งก็พูดออกมาเสียงสั่น เขาก้าวขาจะเดินตรงเข้าไปหาท่านย่าเช่นเดียวกับเจ๊เฟรย์ที่น้ำตาคลอขึ้นมาแบบฉับพลัน แต่ทั้งเฮียและเจ๊ก็ต้องชะงัก คงเพราะเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังประคองร่างเฮียแม็คและรุ่นพี่เลโอที่อาการสาหัส ท่านย่าเลยหันมองทั้งคู่ และเงยหน้ามองรุ่นพี่เตโชที่สีหน้าเขาเองก็ทึ่งไม่จากพี่น้องคนอื่นเลยสักนิดกึก...กึก...กึก...ไม่รอให้ใครพูดอะไร ท่านย่าปรับสีหน้าให้ดูนิ่งเรียบ ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเฮียแม็คและรุ่นพี่เลโอที่ถูกประคองเอาไว้ เฮียแม็คพอเห็นแบบนั้น เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีขยับตัวให้หลุดจากการประคอง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งคุกเข่าก้มหัวต่อหน้าท่านย่า และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก"ผมขอโทษครับท่าน ขอโทษ...สำหรับทุกเรื่องครับ"ภาพตรงหน้าทำให้ฉันหันมองเจ๊เฟรย์ที่ยืนนิ่งทันทีที่ได้ฟัง ท่านย่าเองก็มองไปที่เธอ และค่อยๆยกฝ่ามือขึ้นวางบนบ่าเฮียแม็คที่ยังอยู่ในชุดเจ้าบ่าวที่ตนเองเป็นคนออกแบบ ก่อนจะตบบ่าเขาเบาๆ และพูดมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
วันทดสอบหัวใจของรักษาการ...“โอเคมั้ย?”เฮียแม็คในชุดแปลกตาที่นั่งตรงข้ามกันพูดกับฉัน คงเพราะฉันเริ่มจะเลิ่กลั่ก ก็นี่มันเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ฉันเลยส่ายหัวออกไปอย่างไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน“ใจเย็นๆลิซ"“หนูอาจไม่ใช่หนึ่งสตรีที่เค้าตามหากันก็ได้”นั่นสินะ... อย่าว่าแต่การเป็นหนึ่งสตรีเลย คนที่ร่ำลือว่าเป็นเนื้อคู่ตอนนี้ ฉันเห็นเขาแค่แว๊บเดียวเมื่อเช้าที่ห้องแต่งตัว แล้วเฮียคินก็เดินหนีหายไปไหนไม่รู้ มีแค่คำสั่งที่กำชับพี่ไคยะเอาไว้ว่าให้ฉันอยู่แต่ในห้องนี้“ไม่เห็นจะเกี่ยวกับการเป็นหนึ่งสตรีตรงไหน”เฮียแม็คทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มือก็เอื้อมมาหยิบสมุดโน้ตฉันไปเปิดดูสิ่งที่ฉันพอจะนึกอะไรได้แล้วโน้ตเพิ่มลงไป“เกี่ยวสิคะ ก็แค่ทดสอบยังทำไม่ได้ แถมหนูตะคอกใส่เฮียคินกับท่านปู่เสียงดังมากด้วย กับเฮียคินน่ะ...เราคุยกันน้อยลงมาก ช่วงวันสองวันนี้ U_U"“ไอ้คินมันยุ่งๆ อย่าคิดมาก ส่วนเรื่องในห้องประชุม คนเรามันก็ตกใจกันได้”“...เฮียแม็ค”“?”ฉันส่งเสียงเรียกคนตรงหน้าออกไปเสียงอ่อน เขาก็แค่เลิกคิ้วขึ้นนิดนึง แล้วก็นะ มันดูอ่อนแอมากเลยที่จะต้องพูดว่า...“หนูอยากกลับบ้านค่ะ"แล้วแค่นั้นเฮีย
หนึ่งชั่วโมงต่อมา...- ห้องทำงานคิระ -แกร๊กๆๆๆ“จิ๊!”“อย่าเครียดนักสิ”“มันอีกแค่นิดเดียวเองค่ะ เหมือน XVII ตั้งใจปั่นประสาทหนูน่าดู ย้ายโลเคชั่นทุกครั้งที่ออนไลน์เลยมั้ง โรคจิต!”“.......”ฉันตอบกลับเฮียคินทั้งที่มือยังคาอยู่บนคีย์บอร์ดโน้ตบุ๊คแบบนี้ แล้วเพราะโดนเฮียเงียบใส่นี่แหละ เลยทำให้ฉันหยิบมีดสั้นเล่มนึงใกล้ๆมือปาออกไปที่เป้าข้างหลังเขาแบบหงุดหงิดฉึก!หึ...มันดูแปลกใช่มั้ยล่ะ ที่มีเป้านิ่งให้ระบายอารมณ์ได้เต็มที่ แต่เป้านี้ยังถือเป็นอะไรที่เบสิคมากเลย เพราะในห้องเฮียคินไม่เหมือนห้องเจ๊เฟรย์เลยสักนิด เขาเอาอาวุธเยอะแยะมาวางเรียงเป็นของตกแต่งเหมือนที่ชอบเอาปืนซ่อนไว้ในทุกอาณาเขตของคอนโดไม่มีผิด“ยังปาแม่นเหมือนเดิมนี่ หนึ่งสตรี”“เฮียแม็ค~”เสียงที่คุ้นหูทำให้ฉันละสายตาจากเป้ามองคนที่เดินเข้ามาในห้องทันที แล้วเฮียคินนี่ออกตัวดุมาเชียว“ดีใจกว่าเจอหน้าผัวอีก -.-”ชิชะ! ไม่ต้องเลยนะ ทำมาเป็นพูดดี“เฮียแม็คไปไหนมาคะเนี่ย ไม่เจอตั้งหลายวันอ่ะ”“มันไล่”“อ้าว จับได้แล้วเจ้าตัวดี -3-”พอฟังเฮียแม็คตอบมา ฉันก็ส่งสายตาฟาดฟันไปให้เฮีย เขาก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ที่จริงเฮียคินก็บอกฉันแล้วล
หนึ่งชั่วโมงต่อมา...“ลิซ...จะไม่พูดไรหน่อยเลยหรอ?”นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ฉันนั่งฟังความจริงว่าพวกเขาเป็นใคร? Dark Shadow คืออะไร? จากปากเฮียคินและเจ๊เฟรย์ ซึ่งพี่เคนชินและพี่ไคยะเองก็อยู่ที่นี่และทุกคนกำลังจ้องมาแต่เฮียคินกับเจ๊ก็พูดไม่หมด ทั้งสองคนพูดถึงการทำความผิดของสภาก็จริง แต่ก็ไม่ได้พูดถึงวิธีน่ากลัวที่ใช้จัดการกับสภาไปแล้ว น้่นก็คือความโหดร้ายที่เฮียคินกับรุ่นพี่เตโชทำ ซึ่งอย่างที่รู้กัน ฉันเห็นภาพเหตุการณ์ตอนพิพากษาพวกนั้นเมื่อกี๊ ถึงจะไม่มีช่วงที่รุนแรงเลือดสาดมันก็พอจะรู้อยู่ดีและที่เล่ามามันก็มีเรื่องใหม่ๆที่ฉันไม่ได้รู้ลึกอย่างความสัมพันธ์ที่เคยมีปัญหาของเฮียคินกับรุ่นพี่ แต่บอกตามตรงนะฉันก็ยังแอบโกรธรุ่นพี่เตโชอยู่ดี แล้วก็กำลังสนใจเรื่อง XVII มากกว่าด้วยตอนนี้“หนูเข้าใจทุกอย่างเลยค่ะ”ฉันเลือกจะตอบคำถามท่ามกลางความเงียบในห้องแบบขอไปที เฮียคินพอเห็นฉันนิ่งก็มองมาและทำท่าจะพูดอะไร ฉันเลยชิงพูดไปก่อน“เจ๊คะ หนูขอยืมได้มั้ย โน้ตบุ๊คเครื่องนี้”ได้ฟังแบบนั้นเจ๊เฟรย์ไม่ได้อิดออดอะไร แถมยังหันไปพยักหน้าให้พี่เคนชินหยิบมันมาทันทีและพอได้มา สิ่งแรกที่ฉันอยากจะมั่นใจก่อน คือ X