ใต้น้ำลึกในโพรงหินริมอ่าวมูนไวท์ นีร่านอนนิ่งอยู่บนหินเย็น
แต่หัวใจกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ นางไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมถึงว่ายเข้าไปช่วยเขา? มนุษย์คนนั้น…เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งแต่ดวงตาของเขาในน้ำนั้น—มันสั่นไหวเหมือนกับว่า เขา กลัวความตาย เหมือนกับว่า…เขา ต้องการนาง เงือกในท้องทะเลไม่เชื่อใจมนุษย์ ยิ่งเป็นเงือกหางทองอย่างเธอ—ที่ถูกสั่งไว้ชัดว่า "อย่าให้มนุษย์เห็นเด็ดขาด" แต่ครั้งนี้นางได้ทำลายกฎนั้นไปเรียบร้อย มือขาวของเธอ…แตะต้องมนุษย์แล้ว อีกฝั่งหนึ่ง บนเรือ เรนยืนห่มผ้าเปียก มองผืนน้ำเบื้องล่างอย่างอึ้ง ๆเขาไม่พูดกับใครทั้งวัน ไม่กิน ไม่ดื่ม เอาแต่นั่งที่ท้ายเรือ เฝ้าดูผิวน้ำเงียบ ๆ เหมือนรออะไรบางอย่าง > “นางมีอยู่จริง” เขาพึมพำอีกครั้ง และในหัว…ภาพหญิงสาวผมทองสยายยาวลงมากลางหลัง ผิวซีด หางทอง เป็นภาพเดียวที่ชัดที่สุด เขาไม่ได้กลัวนาง แต่รู้สึกเหมือน "อยากเจออีก" เหมือนคนที่เคยจมน้ำ…แต่กลับอยากลงไปอีกครั้ง แม้รู้ว่าอาจไม่มีใครช่วยไว้ได้เหมือนเดิม คืนนั้น นีร่ายังไม่หลับนางว่ายขึ้นมาจากโพรงหินอีกครั้ง ดวงตาสีเทาเงยขึ้นมองแสงจากโคมเรือไกล ๆ ไม่รู้ทำไม แสงสลัวนั้นถึงดูอบอุ่นกว่าคืนไหน ก่อนนางจะค่อย ๆ ว่ายเข้าใกล้เรือ…อีกครั้งโดยไม่รู้ตัวเลยว่า หัวใจของนาง...กำลังแล่นตามมนุษย์ที่นางไม่ควรไว้ใจ กลางดึกอ่าวมูนไวท์สงบไร้คลื่น แสงโคมบนเรือสลัวเรืองในความมืด เงาสะท้อนบนผิวน้ำสั่นเบา ๆ ตามสายลม นีร่าว่ายช้า ๆ ใต้น้ำ สายตานางจับจ้องไปที่หัวเรือแค่เงียบ ๆ ดูจากไกล ๆ แค่ให้แน่ใจว่าเขายังอยู่…และไม่เป็นอะไร นางควรจะหนีจากสิ่งนี้ แต่มือกลับวางแนบบนแผ่นไม้ใต้ท้องเรืออย่างลังเล นางไม่เคยรู้ว่าหัวใจตัวเองจะเต้นแรงได้ขนาดนี้ เหมือนคลื่นในอกกำลังซัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่นางคิดถึงดวงตาของเขา บนเรือ เรนนั่งพิงลำเรือ ดวงตาเหม่อลอยมองทะเล เสียงทุกอย่างเงียบสนิทจนเขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง เขาคิดว่าภาพของนางคงเป็นแค่ความฝัน แต่ในใจกลับเฝ้าภาวนา “ถ้านางมีอยู่จริง…กลับมาอีกสักครั้งเถอะ” แล้วในวินาทีนั้นเอง เขารู้สึกได้ถึงเงาบางอย่างใต้เรือ เหมือนอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวเเละมองขึ้นมา เรนรีบโน้มตัวลงมอง แต่น้ำก็ยังเงียบสงบเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเลย…นอกจากความเงียบที่บอกไม่หมดว่า มีใครบางคนกำลังรอให้เขาเชื่อ เสียงหัวใจของชายหนุ่มยังเต้นไม่เป็นจังหวะ หลังจากเมื่อคืน…เขาแทบมั่นใจว่านางกลับมา > ข้าไม่ได้ฝันไปแน่…” เขาพึมพำ ขณะยืนมองผิวน้ำที่เงียบเชียบ บ่ายนั้นเขาแอบหลบจากลูกเรือเอาเบ็ดกับสมุดสเก็ตช์ไปนั่งที่ท้ายเรือ มือเขาวาดเงาร่างนางลงกระดาษอย่างใจจดใจจ่อ ใบหน้าเรียว ผิวขาวซีดกับหางทองแวววาว ทุกเส้นสายเกิดจากความทรงจำเพียงไม่กี่วินาทีที่เขาเห็นเธอในน้ำนั้น ราวกับถูกแกะสลักขึ้นจากหยดน้ำผึ้งและไข่มุก ผิวพรรณขาวนวล เปล่งประกายราวไข่มุกใต้แสงจันทร์ เย็นเยียบแต่น่าหลงใหล เรือนผมยาวสลวยสีทองอร่ามพลิ้วไหวไปตามกระแสน้ำ ราวกับแสงอาทิตย์ที่หล่นละลายลงใต้ทะเลลึก ดวงตากลมโตสีเทาเรื่อหม่นลึกลับราวหมอกเช้า สะท้อนทั้งความเศร้า ความเงียบงัน และความลึกลับของห้วงมหาสมุทร “เจ้าจะหมกมุ่นกับปลานางเงือกหรือไง” เสียงลูกเรือคนหนึ่งหัวเราะลั่นตอนเดินผ่าน แต่เขาไม่ตอบ เพราะในใจ เขารู้ดีว่า นางไม่ใช่แค่เงือก ไม่ใช่แค่เรื่องเล่า ในใต้ทะเลลึก นีร่ายังกลับมา—ทุกคืน นางซ่อนอยู่หลังก้อนหิน ห่างจากเรือไม่ถึงสิบเมตร แต่คืนนี้ต่างจากเดิม…นางเห็นเขานั่งเพียงลำพังนางเห็นว่าเขาเอาภาพของนางไปวาด หัวใจนางสั่น ทั้งตกใจ…ทั้งแปลกใจมนุษย์คนนี้ไม่เหมือนมนุษย์ที่นางเคยได้ยินในนิทาน เขาไม่ล่า ไม่ไล่ตาม แต่กลับ “เฝ้ามอง” นางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และบางอย่าง…ที่นางไม่กล้าตั้งชื่อ นีร่าว่ายเข้าใกล้ขึ้นอีกนางอยากรู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ แต่เมื่อเข้าใกล้ถึงระยะที่เห็นแววตาเขาชัดเจนจากใต้น้ำ... จู่ ๆ เรนก็เอื้อมมือไปทางเธอ พลั่ก! เสียงสะเทือนเบา ๆ เมื่อนีร่าถอยกลับทันที หัวใจนางกระตุก นางไม่ควรเข้ามาใกล้ขนาดนี้ เสียงของผู้เฒ่าเงือกดังขึ้นในหัว — “มนุษย์คือภัยพิบัติ” นีร่ารู้ดี ถ้าใครรู้ว่านางฝ่าฝืนกฎ นางอาจถูกลงโทษ หรือแย่กว่านั้น…ถูกจับขังไว้ใต้หินมืดที่ไม่มีแสงลอด นางหันหลังจะว่ายหนี แต่เขากลับพูดขึ้น — เสียงเบา ๆ ที่ทะลุลงมาถึงน้ำ > “ได้โปรด…อย่าหายไปอีก” นีร่าหยุดว่าย…เพียงชั่วครู่เดียวก่อนจะหายวับลงในเงาน้ำอีกครั้ง คืนนั้นเรนนอนไม่หลับ เขารู้ว่านางอยู่ใกล้มาก มากเกินจะหลอกตัวเอง และเขาก็ตัดสินใจ… > “ถ้านางไม่กล้าขึ้นมา ข้าจะลงไปหาเจ้าเอง” กลางดึก…ที่เงียบสงัด เขาถอดเสื้อออกทีละชิ้น เหลือเพียงกางเกงเปียกแนบลำตัว เท้าเปล่าเหยียบไม้เรือที่เย็นเฉียบ เขาไม่กลัวแล้ว มีเพียงเสียงในหัว ที่ดังวนซ้ำ… > “ได้โปรด…แค่มาให้เห็นอีกสักครั้งก็ยังดี” มือเขาแตะน้ำช้า ๆ แล้วก้าวลง ความเย็นกัดเนื้อ แต่หัวใจกลับอุ่นแปลก ๆ เขาดำดิ่งลงไป ไม่มีทุ่น ไม่มีแสง มีเพียงเงาสะท้อนจากความรู้สึกในใจที่เขาไม่เคยเข้าใจ นีร่าเห็นเขาแล้ว ร่างสูงสง่า บ่าแผ่กว้างได้รูป เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนแซมประกายทอง ลู่ไปตามลมราวกับเส้นไหมต้องแสง ดวงตาสีฟ้าเข้มราวท้องฟ้าก่อนพายุ สะท้อนทั้งความมุ่งมั่นและอดีตอันลึกลับ จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากได้สัดส่วนที่หากเผลอมองนานเกินไป จะรู้ตัวอีกทีก็คือหัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ รอยเคราบาง ๆ บนแนวกรามเสริมเสน่ห์ให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่และอันตรายในคราเดียวกัน วินาทีที่เขากระโจนลงมา หัวใจเธอก็เหมือนหยุดเต้น > "เขาบ้าไปแล้ว..." แต่นางกลับว่ายเข้าหาเขาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้น้ำทะเลระหว่างพวกเขาค่อย ๆ บางลง จนสายตาทั้งสองประสานกันอีกครั้ง เรนเอื้อมมือออกไป…ช้า ๆ นางควรจะหนี ควรจะกลับลงไปในเงามืดที่ปลอดภัย แต่ไม่รู้เพราะอะไร…นีร่ายื่นมือออกไปเช่นกัน ปลายนิ้วของเขาแตะหลังมือนาง—เบามาก เหมือนกลัวว่าแค่แตะแล้วนางจะหายไป มือของเขาอุ่นกว่าน้ำทะเล และมือของนาง…ก็นิ่มกว่าฝันไหน ๆ ที่เขาเคยมี > “ข้าไม่รู้ชื่อเจ้า…” เขาพูดเสียงเบาในน้ำ “แต่เสียงเจ้ามันอยู่ในหัวข้าทั้งวัน…” นีร่าไม่ได้ตอบ แต่สายตานางไหว นางไม่เคยรู้เลยว่าเสียงของมนุษย์…จะทำให้ใจสั่นขนาดนี้ เรนขยับเข้ามาใกล้อีกนิด หัวใจเขาเต้นดังจนตัวสั่น เขาไม่ได้ต้องการจูบ ไม่ได้ต้องการคำสัญญา แต่แค่ “สัมผัส” นั้น…มันมากพอจะทำให้เขารู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และเมื่อปลายหน้าผากของเขาแนบกับหน้าผากนางเบา ๆ ในน้ำ ความเงียบทั้งหมดก็หายไป เหลือแค่เสียงหัวใจสองดวง…ที่โหยหากันอย่างไม่รู้ตัวมานานเกินไปอุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด
ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดินคาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือแต่แล้ว...พรึ่บ!เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่านเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขามดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า“เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!”ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ---ห้องขังใต้โถงพิพากษาแสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้องคาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง
หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยามเพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา“ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำเสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามาทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล“พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!”“ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้วอีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง”ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?”อีธานพยักหน้าฟิ้ว!ลูกศ
เปลวไฟจากคบไฟกระพริบสั่นไหวตามแรงลมทะเล ชาวบ้านกำลังช่วยกันกางแผงไม้เสริมแนวป้องกันรอบหมู่บ้าน หลายคนขุดดินทำคูน้ำหรือผูกตาข่ายลวดไว้กับทุ่นลอยตามแนวชายป่าไอล่าใช้มีดเล็กฝนปลายไม้แหลมอยู่ตรงลานหน้าบ้านอีธาน เสียงขูดเบาๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงลมหอบ“ข้างศาลนั่น มีอะไรไหม?” เธอถามขณะตัดไม้โดยไม่มองหน้าเขาอีธานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “มีเศษเปลือกหอย...แบบที่ไม่ควรอยู่บนฝั่ง และก็มีสิ่งนี้”เขายื่นชิ้นไม้แตกหักที่มีลวดลายแกะสลักคล้ายเกล็ดปลามนุษย์ บางส่วนถูกเผาจนดำ ไอล่ารับมาแล้วขมวดคิ้ว“นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสมดุล” เธอพึมพำ “แต่กลับหัว”“เหมือนมีใครเจตนาให้คำอวยพรกลับกลายเป็นคำสาป” อีธานว่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ จะดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหอบหายใจ หน้าเปื้อนฝุ่นดิน“อีธาน! ข้า...ข้าฝันแปลกๆ”อีธานลุกขึ้นทันที “ฝันอะไร ไค?”เด็กชายชื่อไคส่ายหน้าแล้วพูดเสียงสั่น “มีหญิงคนหนึ่ง...ผมยาวถึงเอว ตัวสีน้ำเงินเหมือนเงาในน้ำ เธอร้องเพลงเรียกข้า บอกให้...บอกให้กลับไปที่ทะเล”ไอล่ากับอีธานสบตากันโดยไม่พูด เด็กชายยังพูดไม่หยุด“ข้าตื่นขึ้นมาเจอน้ำเปียกที่ปลา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบของไอล่าหยุดลงหน้าประตูไม้ผุบ้านหลังหนึ่งที่ปลายหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงยามเย็นสีทองอ่อน เธอยืนมองแผ่นไม้ที่เคยมีตราครอบครัวตรึงอยู่ แต่ตอนนี้เหลือแค่รอยไหม้ดำสนิทเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้า“ที่นี่มันเคย...?” ไอล่าถามเสียงเบาอีธานพยักหน้า “บ้านของฉันเอง ถูกเผาเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกโจรสลัดบุกมาปล้นครั้งใหญ่”ไอล่าหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าลงช้าๆ “ขอโทษที่ถาม...”“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” เขายิ้มบางๆอย่างฝืน ก่อนหันกลับเดินไปยังลานกลางหมู่บ้านชาวบ้านเริ่มออกมารวมตัวกันหลังเสียงระฆังเตือนภัยเงียบสงบลง เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามซอกทางแคบที่ปูด้วยหินเรียงตัวไม่เสมอ ผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงข่าวลือเรื่องเรือโจรสลัดที่มีครีบปลาแหลมยื่นออกจากใต้ท้องเรือ“พวกมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว...” ชาวประมงแก่คนหนึ่งกระซิบ “ฉันเห็นเองกับตา! มันว่ายอยู่ใต้น้ำ แล้วขึ้นมายืนบนเรือเหมือนผีทะเล!”“บ้าแล้ว แกเมาเหล้าต่างหาก!” ชาวบ้านอีกคนแย้ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะตาม ทุกคนสีหน้าหนักเครียด ไม่เหมือนครั้งก่อนจู่ๆ เสียงเคร้งคร้างของโลหะก็ดังขึ้นที่ชายป่าด้านนอกหมู่บ้าน แล้วมีใครบางคนเดินโผล่ออกมาจา
กลางคืนในหมู่บ้านชาวประมงที่พักชั่วคราวของพวกอีธาน ทะเลเบื้องหน้าเงียบสงัด ลมพัดโชยกลิ่นเค็มของเกลือ อีธานนั่งอยู่นิ่ง ๆ ริมฝั่ง จุดไฟไว้ข้างตัว เสียงเปลวไม้แตกดังเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่นซัดฝั่งที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ“ยังไม่หลับเหรอ?” ไอล่าเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดของเธอเปียกน้ำเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งล้างตัวจากทะเลอีธานหันไปมองแล้วผงกหัวให้ เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อยเป็นเชิงชวนให้นั่งด้วยกัน “นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”“ก็ใช่…” ไอล่าพูดเสียงเบา เธอนั่งลงข้าง ๆ ห่างจากเขานิดหน่อย “วันนี้ทั้งวันมันเงียบแปลก ๆ เหมือนพายุจะมา...แต่พอเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับไม่มีเมฆเลย”“พายุที่เราไม่เห็น… มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดนะ” อีธานพูดช้า ๆ ดวงตาสะท้อนเปลวไฟ เขาดูนิ่งมากกว่าปกติ“พูดเหมือนนักปรัชญาเลย” ไอล่าหัวเราะนิด ๆ พลางกอดเข่าตัวเอง “นายเคยมีคนรักไหม?”คำถามนั้นทำเอาอีธานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบในทันที ไอล่าเห็นเขาเงียบไปก็ก้มหน้าหลบสายตา รีบพูดกลบเก้อ “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้วงอะไรส่วนตัว”“มี…” เขาตอบเบา ๆ แต่ออกมาในโทนเสียงที่อบอุ่นอย่างประหลาด “เธอชื่อ…นีร่า”ไอล่าเงียบไปชั่วครู่ หัวใจเธอรู้ส