ใต้น้ำลึกในโพรงหินริมอ่าวมูนไวท์ นีร่านอนนิ่งอยู่บนหินเย็น
แต่หัวใจกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ นางไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมถึงว่ายเข้าไปช่วยเขา? มนุษย์คนนั้น…เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งแต่ดวงตาของเขาในน้ำนั้น—มันสั่นไหวเหมือนกับว่า เขา กลัวความตาย เหมือนกับว่า…เขา ต้องการนาง เงือกในท้องทะเลไม่เชื่อใจมนุษย์ ยิ่งเป็นเงือกหางทองอย่างเธอ—ที่ถูกสั่งไว้ชัดว่า "อย่าให้มนุษย์เห็นเด็ดขาด" แต่ครั้งนี้นางได้ทำลายกฎนั้นไปเรียบร้อย มือขาวของเธอ…แตะต้องมนุษย์แล้ว อีกฝั่งหนึ่ง บนเรือ เรนยืนห่มผ้าเปียก มองผืนน้ำเบื้องล่างอย่างอึ้ง ๆเขาไม่พูดกับใครทั้งวัน ไม่กิน ไม่ดื่ม เอาแต่นั่งที่ท้ายเรือ เฝ้าดูผิวน้ำเงียบ ๆ เหมือนรออะไรบางอย่าง > “นางมีอยู่จริง” เขาพึมพำอีกครั้ง และในหัว…ภาพหญิงสาวผมทองสยายยาวลงมากลางหลัง ผิวซีด หางทอง เป็นภาพเดียวที่ชัดที่สุด เขาไม่ได้กลัวนาง แต่รู้สึกเหมือน "อยากเจออีก" เหมือนคนที่เคยจมน้ำ…แต่กลับอยากลงไปอีกครั้ง แม้รู้ว่าอาจไม่มีใครช่วยไว้ได้เหมือนเดิม คืนนั้น นีร่ายังไม่หลับนางว่ายขึ้นมาจากโพรงหินอีกครั้ง ดวงตาสีเทาเงยขึ้นมองแสงจากโคมเรือไกล ๆ ไม่รู้ทำไม แสงสลัวนั้นถึงดูอบอุ่นกว่าคืนไหน ก่อนนางจะค่อย ๆ ว่ายเข้าใกล้เรือ…อีกครั้งโดยไม่รู้ตัวเลยว่า หัวใจของนาง...กำลังแล่นตามมนุษย์ที่นางไม่ควรไว้ใจ กลางดึกอ่าวมูนไวท์สงบไร้คลื่น แสงโคมบนเรือสลัวเรืองในความมืด เงาสะท้อนบนผิวน้ำสั่นเบา ๆ ตามสายลม นีร่าว่ายช้า ๆ ใต้น้ำ สายตานางจับจ้องไปที่หัวเรือแค่เงียบ ๆ ดูจากไกล ๆ แค่ให้แน่ใจว่าเขายังอยู่…และไม่เป็นอะไร นางควรจะหนีจากสิ่งนี้ แต่มือกลับวางแนบบนแผ่นไม้ใต้ท้องเรืออย่างลังเล นางไม่เคยรู้ว่าหัวใจตัวเองจะเต้นแรงได้ขนาดนี้ เหมือนคลื่นในอกกำลังซัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่นางคิดถึงดวงตาของเขา บนเรือ เรนนั่งพิงลำเรือ ดวงตาเหม่อลอยมองทะเล เสียงทุกอย่างเงียบสนิทจนเขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง เขาคิดว่าภาพของนางคงเป็นแค่ความฝัน แต่ในใจกลับเฝ้าภาวนา “ถ้านางมีอยู่จริง…กลับมาอีกสักครั้งเถอะ” แล้วในวินาทีนั้นเอง เขารู้สึกได้ถึงเงาบางอย่างใต้เรือ เหมือนอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวเเละมองขึ้นมา เรนรีบโน้มตัวลงมอง แต่น้ำก็ยังเงียบสงบเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเลย…นอกจากความเงียบที่บอกไม่หมดว่า มีใครบางคนกำลังรอให้เขาเชื่อ เสียงหัวใจของชายหนุ่มยังเต้นไม่เป็นจังหวะ หลังจากเมื่อคืน…เขาแทบมั่นใจว่านางกลับมา > ข้าไม่ได้ฝันไปแน่…” เขาพึมพำ ขณะยืนมองผิวน้ำที่เงียบเชียบ บ่ายนั้นเขาแอบหลบจากลูกเรือเอาเบ็ดกับสมุดสเก็ตช์ไปนั่งที่ท้ายเรือ มือเขาวาดเงาร่างนางลงกระดาษอย่างใจจดใจจ่อ ใบหน้าเรียว ผิวขาวซีดกับหางทองแวววาว ทุกเส้นสายเกิดจากความทรงจำเพียงไม่กี่วินาทีที่เขาเห็นเธอในน้ำนั้น ราวกับถูกแกะสลักขึ้นจากหยดน้ำผึ้งและไข่มุก ผิวพรรณขาวนวล เปล่งประกายราวไข่มุกใต้แสงจันทร์ เย็นเยียบแต่น่าหลงใหล เรือนผมยาวสลวยสีทองอร่ามพลิ้วไหวไปตามกระแสน้ำ ราวกับแสงอาทิตย์ที่หล่นละลายลงใต้ทะเลลึก ดวงตากลมโตสีเทาเรื่อหม่นลึกลับราวหมอกเช้า สะท้อนทั้งความเศร้า ความเงียบงัน และความลึกลับของห้วงมหาสมุทร “เจ้าจะหมกมุ่นกับปลานางเงือกหรือไง” เสียงลูกเรือคนหนึ่งหัวเราะลั่นตอนเดินผ่าน แต่เขาไม่ตอบ เพราะในใจ เขารู้ดีว่า นางไม่ใช่แค่เงือก ไม่ใช่แค่เรื่องเล่า ในใต้ทะเลลึก นีร่ายังกลับมา—ทุกคืน นางซ่อนอยู่หลังก้อนหิน ห่างจากเรือไม่ถึงสิบเมตร แต่คืนนี้ต่างจากเดิม…นางเห็นเขานั่งเพียงลำพังนางเห็นว่าเขาเอาภาพของนางไปวาด หัวใจนางสั่น ทั้งตกใจ…ทั้งแปลกใจมนุษย์คนนี้ไม่เหมือนมนุษย์ที่นางเคยได้ยินในนิทาน เขาไม่ล่า ไม่ไล่ตาม แต่กลับ “เฝ้ามอง” นางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย และบางอย่าง…ที่นางไม่กล้าตั้งชื่อ นีร่าว่ายเข้าใกล้ขึ้นอีกนางอยากรู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ แต่เมื่อเข้าใกล้ถึงระยะที่เห็นแววตาเขาชัดเจนจากใต้น้ำ... จู่ ๆ เรนก็เอื้อมมือไปทางเธอ พลั่ก! เสียงสะเทือนเบา ๆ เมื่อนีร่าถอยกลับทันที หัวใจนางกระตุก นางไม่ควรเข้ามาใกล้ขนาดนี้ เสียงของผู้เฒ่าเงือกดังขึ้นในหัว — “มนุษย์คือภัยพิบัติ” นีร่ารู้ดี ถ้าใครรู้ว่านางฝ่าฝืนกฎ นางอาจถูกลงโทษ หรือแย่กว่านั้น…ถูกจับขังไว้ใต้หินมืดที่ไม่มีแสงลอด นางหันหลังจะว่ายหนี แต่เขากลับพูดขึ้น — เสียงเบา ๆ ที่ทะลุลงมาถึงน้ำ > “ได้โปรด…อย่าหายไปอีก” นีร่าหยุดว่าย…เพียงชั่วครู่เดียวก่อนจะหายวับลงในเงาน้ำอีกครั้ง คืนนั้นเรนนอนไม่หลับ เขารู้ว่านางอยู่ใกล้มาก มากเกินจะหลอกตัวเอง และเขาก็ตัดสินใจ… > “ถ้านางไม่กล้าขึ้นมา ข้าจะลงไปหาเจ้าเอง” กลางดึก…ที่เงียบสงัด เขาถอดเสื้อออกทีละชิ้น เหลือเพียงกางเกงเปียกแนบลำตัว เท้าเปล่าเหยียบไม้เรือที่เย็นเฉียบ เขาไม่กลัวแล้ว มีเพียงเสียงในหัว ที่ดังวนซ้ำ… > “ได้โปรด…แค่มาให้เห็นอีกสักครั้งก็ยังดี” มือเขาแตะน้ำช้า ๆ แล้วก้าวลง ความเย็นกัดเนื้อ แต่หัวใจกลับอุ่นแปลก ๆ เขาดำดิ่งลงไป ไม่มีทุ่น ไม่มีแสง มีเพียงเงาสะท้อนจากความรู้สึกในใจที่เขาไม่เคยเข้าใจ นีร่าเห็นเขาแล้ว ร่างสูงสง่า บ่าแผ่กว้างได้รูป เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนแซมประกายทอง ลู่ไปตามลมราวกับเส้นไหมต้องแสง ดวงตาสีฟ้าเข้มราวท้องฟ้าก่อนพายุ สะท้อนทั้งความมุ่งมั่นและอดีตอันลึกลับ จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากได้สัดส่วนที่หากเผลอมองนานเกินไป จะรู้ตัวอีกทีก็คือหัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ รอยเคราบาง ๆ บนแนวกรามเสริมเสน่ห์ให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่และอันตรายในคราเดียวกัน วินาทีที่เขากระโจนลงมา หัวใจเธอก็เหมือนหยุดเต้น > "เขาบ้าไปแล้ว..." แต่นางกลับว่ายเข้าหาเขาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้น้ำทะเลระหว่างพวกเขาค่อย ๆ บางลง จนสายตาทั้งสองประสานกันอีกครั้ง เรนเอื้อมมือออกไป…ช้า ๆ นางควรจะหนี ควรจะกลับลงไปในเงามืดที่ปลอดภัย แต่ไม่รู้เพราะอะไร…นีร่ายื่นมือออกไปเช่นกัน ปลายนิ้วของเขาแตะหลังมือนาง—เบามาก เหมือนกลัวว่าแค่แตะแล้วนางจะหายไป มือของเขาอุ่นกว่าน้ำทะเล และมือของนาง…ก็นิ่มกว่าฝันไหน ๆ ที่เขาเคยมี > “ข้าไม่รู้ชื่อเจ้า…” เขาพูดเสียงเบาในน้ำ “แต่เสียงเจ้ามันอยู่ในหัวข้าทั้งวัน…” นีร่าไม่ได้ตอบ แต่สายตานางไหว นางไม่เคยรู้เลยว่าเสียงของมนุษย์…จะทำให้ใจสั่นขนาดนี้ เรนขยับเข้ามาใกล้อีกนิด หัวใจเขาเต้นดังจนตัวสั่น เขาไม่ได้ต้องการจูบ ไม่ได้ต้องการคำสัญญา แต่แค่ “สัมผัส” นั้น…มันมากพอจะทำให้เขารู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และเมื่อปลายหน้าผากของเขาแนบกับหน้าผากนางเบา ๆ ในน้ำ ความเงียบทั้งหมดก็หายไป เหลือแค่เสียงหัวใจสองดวง…ที่โหยหากันอย่างไม่รู้ตัวมานานเกินไปเมืองคอร์เซียร์...เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือดเรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมืองกลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน“ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วนลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมืองที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีกภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่“เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน”แบร์กตันโบกมือผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น“ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้องเขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอ
สายลมจากทะเลพัดโชยผ่านใบไม้หนาทึบ กลิ่นเกลือและไอชื้นของป่าไหลเข้าปะทะจมูก แต่นีน่าไม่แม้แต่จะหายใจลึก หัวใจเธอมีเพียงความเร่งรีบ"มาริเบล...ต้องรอด"น้องสาวของนางนอนอยู่ในถ้ำเล็กริมชายหาด ดวงตาร้อนผ่าว ผิวที่เคยสดใสเริ่มซีดจางจากพิษของบาดแผลขณะหลบหนี แม้นีร่าจะใช้ความรู้จากเผ่าตนรักษาเบื้องต้น แต่สมุนไพรที่ต้องการมีเฉพาะในป่าภายในเกาะ ซึ่งแปลกและไม่คุ้นเคยนางจำตำราได้ว่า ใกล้ภูเขาใจกลางเกาะนี้เคยมี “ดอกวารีทอง” — ดอกไม้ขนาดเล็กที่มีกลีบสีเงินสลับทอง ผสมกับราก "เฟินน้ำเที่ยงคืน" แล้วบดกับเกลือ จะถอนพิษจากบาดแผลลึกได้“นางจะต้องไม่เป็นอะไร…” นีร่าพึมพำในใจ ขณะฝ่าไผ่รกและเลื้อยไม้ขึ้นสู่แนวเขาเล็กแต่ทันทีที่นางไปถึงลำธารกลางป่า...เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น—เสียงเพลงแผ่วเบา แฝงความเศร้าโศก ราวเสียงร้องของหญิงสาวใต้ผิวน้ำนีน่าหยุดชะงัก หางตากวาดไปรอบ ๆ — ไม่มีใครแต่ผิวน้ำสั่นเบาเหมือนมีบางสิ่งตื่นขึ้นจากก้นลึก> “...ผู้หลงทางในความมืด… กลิ่นเลือดเจ้าช่างหวานนัก…”เสียงนั้นกระซิบในหัว ไม่ใช่เสียงมนุษย์ ไม่ใช่เงือกธรรมดาทันใดนั้น ผิวน้ำก็แตกกระจาย ร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมา—เงือกสาวผิวซีดจ
แสงจันทร์ส่องลงมากระทบลานหินกลางป่าลึก เงาไม้โยกไหวตามแรงลม คืนนี้เงียบผิดปกติ—เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของผู้ถูกจับไอล่าและรัฟเฟอร์นั่งอยู่กลางวงพิธี แขนทั้งสองข้างถูกมัดด้วยเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณ พวกเขาไม่ได้ถูกทำร้าย ไม่แม้แต่รอยขีดข่วนบนร่างกาย...แต่หัวใจกลับสั่นสะท้านด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นเพราะรอบตัวพวกเขา...ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลยมีเพียง "เงา" — เงาบางเบาของสิ่งที่เคยมีชีวิตเสียงสวดมนต์ต่ำ ๆ ดังขึ้นจากทุกทิศ เสียงนั้นไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นเสียงกระซิบของลมหายใจในอดีต เสียงของวิญญาณที่เคยมีเลือดเนื้อ และบัดนี้...หลงเหลือเพียงเศษความตายที่ยังไม่สงบ"พวกมัน...ไม่มีร่าง" รัฟเฟอร์กระซิบเบาไอล่าหันมามอง สีหน้าซีดเผือด "แต่ยังมีเจตจำนง"จู่ ๆ อากาศรอบกายเย็นวาบ ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ก่อนที่แสงสีฟ้าหม่นจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของหญิงชราโบราณ ใบหน้าซีดเผือดดั่งกระดูก ห้อยลอยอยู่เหนือพื้นเพียงนิ้วเดียว ดวงตาขาวขุ่นไร้แววชีวิต แต่มองตรงมาราวกับมองทะลุหัวใจ“เจ้าจะเป็นสะพาน...” เสียงนั้นดังกังวานโดยไม่มีปากขยับ“สะพานเพื่อพวกข้า...จะกลับมาอีกครั้ง”แท่นหิ
เปลวแดดยามสายส่องทะลุม่านเมฆครึ้ม ปลายหางเรือเล็กแหวกผืนน้ำอย่างเงียบงัน อีธานนั่งนิ่งบนหัวเรือ สายตาคมใต้คิ้วเข้มทอดมองไปยังผืนป่าแน่นทึบบนเกาะร้างเบื้องหน้า"ตรงนี้แหละ" เสียงไอล่าเอ่ยพลางหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นดู เธอชี้ไปยังฝั่งที่มีโขดหินเรียงตัวคล้ายประตูธรรมชาติ "ฉันเห็นรอยเท้า...มันมุ่งเข้าไปด้านใน"อีธานพยักหน้า รอยแผลบนแขนยังไม่ทันแห้งดี แต่เขาไม่อาจรอให้บาดแผลสมานก่อน รอยเลือดของพวกโจรสลัดยังเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้า กลิ่นคาวยังติดปลายจมูก — มันคือเครื่องเตือนใจว่าเขาต้องเร็วขึ้นอีก ก่อนจะสายเกินไปลูกเรืออีกคนที่ยังเหลือ—ชายร่างสูงชื่อรัฟเฟอร์—เป็นคนเงียบขรึม แต่ซื่อสัตย์ เขาหิ้วสัมภาระตามหลัง ไม่เอ่ยถ้อยคำใด นอกจากพยักหน้าอย่างพร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่สามคนขึ้นฝั่ง ใต้ร่มไม้เงียบงัน เย็นยะเยือกผิดกับแสงแดดข้างนอก เสียงใบไม้แห้งลั่นกรอบใต้เท้า พร้อมกลิ่นดินชื้นที่คละเคล้ากลิ่นเกลือทะเล"หยุดก่อน..." เสียงอีธานเบาและกดต่ำ ขณะเขาย่อตัวลง มือหนาแตะบางสิ่งบนพื้นมันคือหยดเลือด...เล็กแต่ยังสดไอล่าถลาเข้ามาอย่างเร็ว "เลือดเหรอ?"อีธานไม่ตอบ เขายืนนิ่ง ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเขาสั่นไหว.
แสงจันทร์สาดสีเงินลงเหนืออ่าวลับ เงาน้ำพลิ้วไหวใต้ผืนฟ้ายามค่ำคืน ท่ามกลางความเงียบงันที่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ข้าค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากแอ่งน้ำข้างหาด ดินเหนียวเปรอะขา เท้าของข้าเหยียบลงไปบนผืนทรายที่เย็นชื้นเท้า—ไม่ใช่หางเงือกอีกต่อไปข้ามองปลายขาตัวเองอย่างอึ้งงัน ผิวเนื้อที่เคยเป็นเกล็ดทองสะท้อนแสงบัดนี้กลายเป็นผิวมนุษย์เรียบเนียน ซีดขาวด้วยไอเย็นของน้ำและความเหน็ดเหนื่อยข้าไม่รู้ว่าสิ่งใดเปลี่ยนร่างข้ากับน้อง…บางที อาจเป็นเวทมนตร์ของโพรงน้ำใต้เกาะ หรือบางสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจ> “พี่…” เสียงเบาเรียกจากข้างหลัง ข้าหันไปเห็นมาริเบลกำลังพยายามพยุงตัวลุกขึ้นเช่นกัน“ข้า…ข้าก็มีเท้าเหมือนเจ้าแล้ว”ข้าประคองนางขึ้นจากน้ำ ดวงตานางเบิกโพลง ขณะจ้องมองปลายเท้าตัวเองเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งเห็นโลกเป็นครั้งแรก ผมของนางเปียกปอนแนบแก้ม หยดน้ำยังเกาะตามขนตาคล้ายหยดน้ำตาข้าจับมือนางไว้แน่น> “เรายังมีชีวิตอยู่ และนั่น…คือสิ่งเดียวที่สำคัญ”สายลมยามค่ำคืนพัดหอบเอากลิ่นทะเล กลิ่นดิน กลิ่นมอส และกลิ่นไม้ผุจากป่าด้านหน้าเข้ามา ด้านหลังของเราคือผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหลังภูเขาหินสูงชัน ไม่มี
เพลิงลุกไหม้ยอดไม้ โหมกระท่อมริมฝั่งทะเลสาบให้กลายเป็นเศษเถ้าดำราวสรวงสวรรค์เคยทอดทิ้งที่นี่ไปนานแล้ว...ข้ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใต้แสงสีส้มของความสูญเสียข้ารู้สึกราวกับห้วงเวลาหยุดหมุนในชั่วครู่ที่สายตาจับจ้องไปยังร่างหนึ่งบนพื้น—เรน ชายผู้เคยเป็นทั้งเพื่อน ทั้งรัก และบัดนี้…เป็นเพียงซากอดีตที่ไร้คำแก้ตัวเสียงสะอื้นของนีร่าดังแผ่วอยู่เบื้องหลัง หยดน้ำตาสีดำยังร่วงทีละหยดลงสู่ผืนดินที่เปียกชื้นจากทั้งฝนที่เพิ่งจางหาย และเลือดที่ยังไม่แห้งข้าอยากยื่นมือไปปลอบนางแต่ข้ากลับยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น...เพราะบางความเจ็บ ก็ไม่มีถ้อยคำใดปลอบประโลมได้> “อีธาน…”เสียงนางเบาเหมือนเสียงคลื่นลมที่ซัดชายฝั่งข้าหันมาช้า ๆ และสบตากับนางดวงตาคู่นั้น—แม้จะยังงดงาม—กลับเต็มไปด้วยร่องรอยของการแตกสลาย> “ข้า…เหนื่อยเหลือเกิน…”นางเอ่ยก่อนจะซบหน้าลงบนบ่าข้า ข้าได้แต่ยกแขนขึ้นโอบประคองแผ่นหลังบางเอาไว้แน่น มาริเบลยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ร่างเล็กที่เปื้อนเลือดและดินเงยหน้ามองพี่สาวอย่างเงียบงัน น้ำตาของนางไม่ไหล…เพราะนางไม่เหลือแม้แรงจะร้องไห้อีกแล้วข้าอยากให้คืนวันสงบกลับมา แต่ในโลกนี้—มันไม่เคยง่ายเช่นนั้นเพร