หน้าผากเขาแนบกับข้าในน้ำนิ่งไม่มีคำพูดไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นใต้ทะเลลึกคืนนี้
แต่มันมีบางอย่างในอก…เหมือนมันโยกไปโยกมาไม่หยุดมือของเขากุมมือนีร่าแน่นขึ้นนิดนางไม่ได้ดึงกลับ แค่ปล่อยให้เขาจับไว้อย่างนั้น เหมือนใจมันไม่อยากขัดอะไรอีกแล้ว เขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึกนางมองเขาเงียบ ๆชายหนุ่มคนนี้ไม่มีหอก ไม่มีอวน ไม่มีท่าทีล่าเขาแค่ยืนอยู่ตรงหน้านาง…เหมือนรอรอให้นางเปิดใจ > “ข้าชื่อเรน”เขาเอ่ยเสียงเบา ๆ ในที่สุด นีร่าไม่ได้ตอบ แต่ปากนางขยับคล้ายจะพูดนางไม่แน่ใจว่าควรจะบอกชื่อกับมนุษย์รึเปล่าแต่นางก็พยักหน้าช้า ๆ แทนคำตอบแค่เท่านั้น…เรนยิ้ม ยิ้มจากใจจริง แบบที่นางไม่เคยเห็นบนหน้าใครมันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ต้องพูดอะไรเพิ่มเลยก็พอแล้ว ** เวลาผ่านไปไม่นาน แต่พวกเขายังยืนอยู่ใต้น้ำแบบนั้น สองร่าง สองหัวใจ สองโลกที่ไม่ควรจะมาบรรจบแต่กลับแนบชิดจนไม่เหลือช่องว่างนีร่าเอื้อมมือแตะผมเขาเบา ๆเส้นผมลอยตามน้ำ สัมผัสแล้วมันนุ่ม…อุ่นนางไม่เคยแตะมนุษย์มาก่อนเลยสักครั้งแต่ตอนนี้กลับอยากรู้ว่า ตัวเขาเป็นยังไง อุณหภูมิแบบนี้…คืออุ่นของคนที่ยังอยู่ ใช่ไหม เรนเอียงหน้าเข้าหานาง เขาไม่ได้จะจูบแต่ขยับเข้าไปให้หน้าพวกเขาแนบกันจนหายใจรินใส่กันเขากลัวว่านางจะหายไปอีก เหมือนเมื่อคืนก่อน > “แค่อยู่ตรงนี้…ก็พอแล้ว” เขาพูดแค่นั้นเสียงเบา แต่ลึกมันดังก้องในอกของนีร่ามากกว่าเสียงคลื่นไหนในโลกเธอไม่ตอบ แต่ขยับตัวเข้าใกล้แนบหน้ากับอกเขา เหมือนจะฟังเสียงหัวใจเขาให้ชัดกว่านี้แค่นั้นเอง… คืนนี้ไม่มีพระจันทร์ แต่มีความเงียบที่พาให้ใจสองดวง สัมผัสกันได้…โดยไม่ต้องเอ่ยอะไรอีกเลย เช้าวันต่อมา เรนนั่งอยู่ที่ท้ายเรือ คนเดียวเหมือนทุกวันแต่มือเขาไม่ได้จับเบ็ดอีกต่อไปเขากำลังรอ…รอใต้น้ำนั้น ว่านางจะกลับมาไหม ด้านล่าง…นีร่าแหวกน้ำขึ้นมาเงียบ ๆ หลังโขดหิน นางเห็นเขาแล้ว — ชายหนุ่มคนนั้น ที่ยอมโดดลงทะเลมาหานาง นางเคยกลัวมนุษย์แต่เขากลับไม่เหมือนใครที่นางเคยรู้มา นางว่ายเข้าไปใกล้โผล่หน้าเหนือน้ำอย่างช้า ๆ จนเรนหันมาเห็นเขายิ้มไม่พูดอะไร แค่ยื่นมือไปเหมือนเมื่อคืนก่อนนีร่าไม่ได้ลังเลอีกแล้ว นางยื่นมือไปหาเขา มือเล็ก ๆ เย็นนิด ๆ แนบกับมือเขาที่เต็มไปด้วยรอยกร้านของลูกเรือ วันนี้…ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก แค่เขานั่งอยู่บนขอบเรือนางลอยอยู่ในน้ำมือสองข้างจับกันไว้แน่น ไม่อยากให้ปล่อย > “เจ้าชื่ออะไร…” เขาถามเสียงเบา นางหลบตาเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าแล้วชี้ที่อกตัวเอง > “นี…ร่า” เธอออกเสียงช้า ๆ เขาทวนเบา ๆ > “นีร่า…” นางยิ้ม ยิ้มครั้งแรกในรอบหลายปีรอยยิ้มที่ไม่ต้องซ่อน ไม่ต้องกลัวใครจับได้ เวลาผ่านไปเร็วพระอาทิตย์คล้อยเรนหันไปมองลูกเรือที่เริ่มเดินตามหาเขากำมือนางแน่นขึ้นก่อนจะพูด > “ข้าต้องไปก่อน…แต่ข้าจะกลับมาทุกวัน ที่เดิม” นีร่าพยักหน้าเบา ๆก่อนจะค่อย ๆ ถอยลงน้ำปล่อยให้มือเขาหลุดจากมือนางแต่ไม่ใช่จากใจ เรนมองตามจนหางสีทองของเธอวูบหายไปในเงาน้ำ เขายิ้มมุมปากแล้วพูดเบา ๆ เหมือนฝากเสียงลงในทะเล > “อย่าหายไป…อย่าทำให้ข้าลืมเจ้า” ใต้ทะเล นีร่าว่ายกลับรังด้วยหัวใจที่หนักอึ้งเพราะนางรู้…เรื่องพวกนี้มันอาจจะเป็นได้แค่ชั่วคราวแต่แปลกนะแม้จะรู้อย่างนั้น หัวใจนางกลับไม่อยากหยุดรู้สึกเลยสักนิดเดียว คลื่นทะเลยังซัดเข้าหาฝั่งเหมือนทุกวัน แต่วันนี้มันเบากว่าเดิมหรือหัวใจของเขา...มันเงียบกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เรนย่อตัวนั่งลงข้างขอบเรือไม้มือหย่อนลงไปในน้ำเย็นนีร่าโผล่หน้าขึ้นจากผิวน้ำพอดีเธอยิ้มบาง ๆ เหมือนจะบอกว่า > “ข้าก็คิดถึงเจ้า” เขายื่นมือให้นางลอยตัวเข้ามาช้า ๆ เอื้อมมือแตะมือเขาเบา ๆ มือของทั้งคู่แนบกันอยู่แบบนั้นนาน...โดยไม่มีคำพูดแต่ความรู้สึกในอกดังชัดยิ่งกว่าเสียงคลื่น > “นีร่า” เขาเรียกชื่อนางเบา ๆ เหมือนกลัวลมจะพัดเสียงหายไป นางไม่พูด แต่ว่ายเข้ามาใกล้อีกนิดจนปลายผมเปียกของนางแตะต้นแขนเขา ใบหน้าใส ๆ ขึ้นมาเกยตรงหน้าตักเรนเรนยกมือขึ้น ลูบเส้นผมสีทองยาวสลวยของนางเบา ๆน้ำเค็มติดปลายนิ้วแต่ความรู้สึกกลับอบอุ่นแปลกประหลาด นีร่าเงยหน้าขึ้นสบตาเขาก่อนจะโน้มตัวเข้าใกล้อีกนิดจมูกของทั้งคู่เฉียดกันแค่ปลายลมหายใจ ...และกลายเป็นจูบ จูบที่ไม่ได้รีบร้อนไม่ได้รุนแรง แต่เนิบนาบ อบอุ่น และเต็มไปด้วยคำถามที่นางกับเขาไม่กล้าพูดริมฝีปากของพวกเขาสัมผัสกันอย่างช้า ๆเรนไม่รุกล้ำนีร่าไม่ถอยหนีมันเป็นจูบที่เหมือนคำว่า > “ข้าพร้อมจะรู้จักเจ้าให้มากกว่านี้” หลังจากนั้น พวกเขานั่งเงียบแค่จับมือกันไว้ใต้แสงอาทิตย์อ่อนปลายวัน เสียงคลื่นยังซัดเข้าฝั่งแต่ตอนนี้...หัวใจทั้งสองไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปอุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด
ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดินคาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือแต่แล้ว...พรึ่บ!เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่านเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขามดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า“เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!”ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ---ห้องขังใต้โถงพิพากษาแสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้องคาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง
หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยามเพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา“ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำเสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามาทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล“พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!”“ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้วอีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง”ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?”อีธานพยักหน้าฟิ้ว!ลูกศ
เปลวไฟจากคบไฟกระพริบสั่นไหวตามแรงลมทะเล ชาวบ้านกำลังช่วยกันกางแผงไม้เสริมแนวป้องกันรอบหมู่บ้าน หลายคนขุดดินทำคูน้ำหรือผูกตาข่ายลวดไว้กับทุ่นลอยตามแนวชายป่าไอล่าใช้มีดเล็กฝนปลายไม้แหลมอยู่ตรงลานหน้าบ้านอีธาน เสียงขูดเบาๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงลมหอบ“ข้างศาลนั่น มีอะไรไหม?” เธอถามขณะตัดไม้โดยไม่มองหน้าเขาอีธานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “มีเศษเปลือกหอย...แบบที่ไม่ควรอยู่บนฝั่ง และก็มีสิ่งนี้”เขายื่นชิ้นไม้แตกหักที่มีลวดลายแกะสลักคล้ายเกล็ดปลามนุษย์ บางส่วนถูกเผาจนดำ ไอล่ารับมาแล้วขมวดคิ้ว“นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสมดุล” เธอพึมพำ “แต่กลับหัว”“เหมือนมีใครเจตนาให้คำอวยพรกลับกลายเป็นคำสาป” อีธานว่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ จะดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหอบหายใจ หน้าเปื้อนฝุ่นดิน“อีธาน! ข้า...ข้าฝันแปลกๆ”อีธานลุกขึ้นทันที “ฝันอะไร ไค?”เด็กชายชื่อไคส่ายหน้าแล้วพูดเสียงสั่น “มีหญิงคนหนึ่ง...ผมยาวถึงเอว ตัวสีน้ำเงินเหมือนเงาในน้ำ เธอร้องเพลงเรียกข้า บอกให้...บอกให้กลับไปที่ทะเล”ไอล่ากับอีธานสบตากันโดยไม่พูด เด็กชายยังพูดไม่หยุด“ข้าตื่นขึ้นมาเจอน้ำเปียกที่ปลา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบของไอล่าหยุดลงหน้าประตูไม้ผุบ้านหลังหนึ่งที่ปลายหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงยามเย็นสีทองอ่อน เธอยืนมองแผ่นไม้ที่เคยมีตราครอบครัวตรึงอยู่ แต่ตอนนี้เหลือแค่รอยไหม้ดำสนิทเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้า“ที่นี่มันเคย...?” ไอล่าถามเสียงเบาอีธานพยักหน้า “บ้านของฉันเอง ถูกเผาเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกโจรสลัดบุกมาปล้นครั้งใหญ่”ไอล่าหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าลงช้าๆ “ขอโทษที่ถาม...”“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” เขายิ้มบางๆอย่างฝืน ก่อนหันกลับเดินไปยังลานกลางหมู่บ้านชาวบ้านเริ่มออกมารวมตัวกันหลังเสียงระฆังเตือนภัยเงียบสงบลง เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามซอกทางแคบที่ปูด้วยหินเรียงตัวไม่เสมอ ผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงข่าวลือเรื่องเรือโจรสลัดที่มีครีบปลาแหลมยื่นออกจากใต้ท้องเรือ“พวกมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว...” ชาวประมงแก่คนหนึ่งกระซิบ “ฉันเห็นเองกับตา! มันว่ายอยู่ใต้น้ำ แล้วขึ้นมายืนบนเรือเหมือนผีทะเล!”“บ้าแล้ว แกเมาเหล้าต่างหาก!” ชาวบ้านอีกคนแย้ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะตาม ทุกคนสีหน้าหนักเครียด ไม่เหมือนครั้งก่อนจู่ๆ เสียงเคร้งคร้างของโลหะก็ดังขึ้นที่ชายป่าด้านนอกหมู่บ้าน แล้วมีใครบางคนเดินโผล่ออกมาจา
กลางคืนในหมู่บ้านชาวประมงที่พักชั่วคราวของพวกอีธาน ทะเลเบื้องหน้าเงียบสงัด ลมพัดโชยกลิ่นเค็มของเกลือ อีธานนั่งอยู่นิ่ง ๆ ริมฝั่ง จุดไฟไว้ข้างตัว เสียงเปลวไม้แตกดังเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่นซัดฝั่งที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ“ยังไม่หลับเหรอ?” ไอล่าเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดของเธอเปียกน้ำเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งล้างตัวจากทะเลอีธานหันไปมองแล้วผงกหัวให้ เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อยเป็นเชิงชวนให้นั่งด้วยกัน “นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”“ก็ใช่…” ไอล่าพูดเสียงเบา เธอนั่งลงข้าง ๆ ห่างจากเขานิดหน่อย “วันนี้ทั้งวันมันเงียบแปลก ๆ เหมือนพายุจะมา...แต่พอเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับไม่มีเมฆเลย”“พายุที่เราไม่เห็น… มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดนะ” อีธานพูดช้า ๆ ดวงตาสะท้อนเปลวไฟ เขาดูนิ่งมากกว่าปกติ“พูดเหมือนนักปรัชญาเลย” ไอล่าหัวเราะนิด ๆ พลางกอดเข่าตัวเอง “นายเคยมีคนรักไหม?”คำถามนั้นทำเอาอีธานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบในทันที ไอล่าเห็นเขาเงียบไปก็ก้มหน้าหลบสายตา รีบพูดกลบเก้อ “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้วงอะไรส่วนตัว”“มี…” เขาตอบเบา ๆ แต่ออกมาในโทนเสียงที่อบอุ่นอย่างประหลาด “เธอชื่อ…นีร่า”ไอล่าเงียบไปชั่วครู่ หัวใจเธอรู้ส