นีร่ายืนอยู่ที่เดิม ปลายเท้าจมลงไปในทรายเปียก ลมหนาวจากทะเลพัดใส่หน้า
ดวงตาเธอเหมือนมองไปที่ผิวน้ำ “ถ้าเจ้ามีจริง…ผู้คุมทะเล…ถ้าเจ้ารู้จักข้า…ช่วยบอกข้าที…” เสียงเธอแผ่วเบา ทันใดนั้น ลมรอบตัวหยุดนิ่ง คลื่นชะงักไปเหมือนมีบางอย่างสั่งให้สงบ เงาสีครามเข้มเริ่มก่อตัวกลางทะเล ม้วนเป็นรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาสีน้ำเงินเรืองแสงราวประกายไฟในพายุ ดรานที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอถอยหลังไปสองก้าว สีหน้าหวาดระแวง เสียงนั้นดังก้องในอากาศ คล้ายไม่ได้ออกมาจากปาก แต่ดังในหัวเธอ “นีร่า…ผู้ที่หลงจากท้องทะเล…” หัวใจเธอกระตุกแรง “เจ้ามาที่นี่เพื่อหนี…หรือเพื่อจดจำ?” นีร่าเม้มปาก ฝ่ามือเย็น “ข้า…ไม่รู้…ข้าแค่…ทนไม่ไหวอีกแล้ว…” เงานั้นยื่นมือที่ทำจากละอองน้ำมาตรงหน้าเธอ “ความทรงจำเจ้ามิได้สูญหาย มันเพียงถูกผนึกไว้…” เธอสั่นหัว น้ำตาซึม “ข้า…ข้าอยากจำ…ต่อให้ต้องเจ็บ…” เสียงทะเลครืนต่ำรอบตัว คลื่นยกตัวขึ้น ล้อมวงรอบเธอเป็นวงแหวน “ถ้าเจ้าพร้อม…จงมองข้า…” นีร่าช้อนตาขึ้นมองดวงตาเรืองแสงคู่ใหญ่ มันลึกจนเหมือนจะกลืนเธอทั้งร่าง ทันใดนั้น คลื่นวงนอกโถมเข้ามา ทะลุร่างเธอ หัวเธอเหมือนถูกฉีกออก เธอเห็นตนเองในน้ำลึก สวมเกล็ดสีเงิน สยายผมยาวลอยรอบหน้า เห็นมือชายคนหนึ่งสัมผัสแก้มเธอแผ่วเบา ได้ยินเสียงเขากระซิบ “นีร่า…อย่าลืมสัญญาของเรา…” หัวใจเธอเจ็บปวด น้ำตาไหลทะลุความคิด ภาพตัดไปเป็นคืนมืดมิด แสงจันทร์ส่องผิวน้ำ เธอยื่นจี้หอยมุกไปให้เขา “หากข้าต้องขึ้นฝั่ง…หากข้าหลงลืมทุกอย่าง…ข้าจะกลับมา…กลับมาหาเจ้า…” ภาพเลือนดับ เธอทรุดลง เสียงผู้คุมทะเลแผ่วเหมือนคลื่นไกล “เจ้าคือบุตรแห่งทะเล…เจ้าคือผู้เคยรัก…อย่าให้ความกลัวพรากสิ่งที่เป็นตัวตนเจ้า…” คลื่นถอยกลับ ทะเลสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นีร่าเอามือปิดหน้า น้ำตาไหล ดรานเข้ามายืนข้าง มองเธออย่างเงียบๆ เธอกระซิบเสียงสั่น “…ข้าจำได้แล้ว…ข้าเคยเป็นเงือก…เคยให้สัญญา…แต่ข้าหนี…ข้ากลัวจนทิ้งเขาไว้…” ดวงตาเธอแดงก่ำแต่เด็ดขาดขึ้น “…ข้าจะไม่หนีอีก…” นีร่าเริ่มจัดการเก็บข้าวของ ใส่ถุงผ้า เธอไม่เคยมีของมากนัก มีเพียงเศษผ้าห่ม เสื้อผ้าที่ชาวบ้านให้ ขวดน้ำยาเล็กๆ ที่ยายเเมรินฝากไว้ เธอวางจี้หอยมุกบนฝ่ามือ มองมันนานจนหัวใจสั่น “…คราวนี้…ข้าจะไม่ลืมอีก…” มือเธอกำมันไว้ แล้วเงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจลึก เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เธอเดินออกมาหน้าบ้าน แสงตะวันสุดท้ายสีส้มจัดทอดเงายาว ยายเเมรินยืนพิงเสารออยู่ “ถ้าเจ้ากลับมาอีก ข้ายังอยู่ตรงนี้” นีร่ายิ้มบางๆ แม้หัวใจจะเจ็บปวด “ข้าสัญญา…” เธอหันหลัง เดินไปตามทางดิน มุ่งหน้าไปยังบ้านที่อยู่ติดริมรั้วไม้พัง --- ริมรั้วบ้านดราน แสงโคมไฟจากในบ้านส่องร่างชายหนุ่มที่นั่งลับมีดอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่า เขาเงยหน้าขึ้นทันทีที่เห็นเธอ “มาอีกแล้วรึ…วันนี้เจ้าจะร้องไห้หรือจะดื้ออีก?” นีร่าหัวเราะนิดๆ เสียงแหบเพราะร้องไห้มาทั้งวัน “วันนี้ข้าไม่ได้มาร้องไห้…” “แล้วมาทำไม?” เธอก้าวเข้าไปใกล้ ยืนตรงหน้าดราน แววตาแน่วแน่จนเขาขมวดคิ้ว “ข้าจะไป…กลับไปที่ที่ข้ามาจริงๆ…อาจต้องไปตามทางเมือง ไปหาความจริงทั้งหมด” เธอหยุด สูดลมหายใจ “…และข้าอยากให้เจ้าไปกับข้า…” ดรานนิ่งไป จ้องเธออยู่นาน ริมฝีปากเขากระตุกเหมือนจะด่า แต่สุดท้ายถอนใจแรงๆ “เจ้ารู้มั้ย…เจ้ามีแต่เรื่องลำบากใจทั้งนั้น” นีร่าพยักหน้า “รู้” “เจ้ากลัวมั้ย?” “กลัว…แต่ข้าไม่อยากหนีอีกแล้ว” ดรานโยนมีดลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขามองเธอตรงๆ “ถ้าเจ้าดึงข้าไปตายพร้อมกัน เจ้าจะชดใช้ยังไง?” “ข้าไม่รู้…” เธอยิ้มเศร้า “…แต่ข้าจะไม่ทอดทิ้งเจ้า” ชายหนุ่มจ้องนานจนถอนใจอีกครั้ง แล้วก้มเก็บเป้ผ้าใบเก่าๆ จากมุมประตู “…เอาเถอะ…ถ้าเจ้าจะไป ข้าก็จะไปด้วย” หัวใจนีร่าอุ่นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด เธอก้าวถอยหลัง “ขอบใจนะ…ดราน” “อย่าเพิ่งขอบใจ จนกว่าเราจะรอดกลับมา” เขายกเป้ขึ้นพาดบ่า สบตาเธอ “พรุ่งนี้เช้า…เราออกเดินทาง” นีร่าพยักหน้า แสงแดดยามเช้าส่องลงบนผิวน้ำเป็นประกาย นีร่าเดินมาพร้อมถุงผ้าใบเล็กๆ ที่เธอสะพายไว้ ดรานเดินตามมาด้านหลัง แบกเป้ใบเก่าที่มีเชือกมัดจนแทบปริ เรือประมงลำหนึ่งโยกเบาๆ ตรงท่า เป็นเรือไม้สีขาวมีคราบเกลือเกาะตามขอบ นายท้ายกับลูกเรือกำลังลำเลียงลังปลาอยู่ นีร่าเดินไปทักทายชายแก่ผิวคล้ำที่ยืนสูบยาอยู่ข้างเรือ “…ข้าขอไปด้วยได้มั้ย…ข้ากับเพื่อนจะขึ้นฝั่งในเมือง” ชายแก่หรี่ตามองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า “พวกเอ็งจะไปทำอะไร?” “…ข้าต้องตามหาคน……” ชายแก่พ่นควันบุหรี่ ก่อนส่ายหน้าเบาๆ “เรือข้าไม่ใช่เรือโดยสารนะ…แต่ถ้าแค่นั่งไปขึ้นฝั่ง ก็ตามใจ…อย่ามีเรื่องก็แล้วกัน” นีร่ารีบขอบคุณ ดรานยกเป้พาดบ่า เดินมายืนข้างๆ มองหน้าเธอ “เจ้าพูดจนคนใจอ่อนอีกแล้ว” “ข้าพูดความจริง…” เธอตอบเบาๆ ลูกเรือคนหนึ่งโยนแผ่นไม้ให้พาดขึ้นเรือ นีร่าเหยียบตามขึ้นไป กลิ่นคาวปลากับน้ำทะเลแรงจนแสบจมูก แต่เธอไม่บ่น ดรานปีนตามมา ยกเป้โยนลงข้างตัว “เจ้าพร้อมรึยัง?” “พร้อม…ไม่ว่าจะได้คำตอบหรือไม่ ข้าก็จะไม่กลับมาแบบคนขี้ขลาดอีกแล้ว” ลุงคนเรือโบกมือให้ลูกเรือถอดเชือก เรือไม้สีขาวค่อยๆ เคลื่อนออกจากท่า ลมทะเลพัดแรง ปลายผมนีร่าปลิวมาตีแก้ม เธอหันไปมองหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบอยู่ข้างหลัง หัวใจเธอเต้นแรงเพราะไม่รู้ว่าที่ปลายทางจะพบอะไร แต่ครั้งนี้ เธอจะไม่หนีอีก เรือแล่นออกไปกลางน้ำ คลื่นซัดกระทบลำเรือดังปึกๆ เธอกำขอบเรือไว้แน่น สูดลมหายใจลึก . เรือไม้สีขาวค่อยๆ เลี้ยวเข้าท่า เสียงเชือกเสียดสีกับเสาเทียบท่าดังเอี๊ยดอ๊าด ลูกเรือโยนสมอแล้วตะโกนเรียกกันให้ขนของ นีร่ายืนกำขอบเรือ มองรอบๆ ตาลายไปหมด ที่นี่ต่างจากหมู่บ้าน ของเธอโดยสิ้นเชิง ตลาดทอดยาวไปจนสุดถนน มีแผงปลา ผักสด กองหอยแห้ง คนเดินกันขวักไขว่ บ้างก็หาบของ บ้างก็ยืนต่อราคาเสียงดัง กลิ่นคาวทะเลคลุกกับควันถ่าน ลอยคลุ้งจนแสบจมูก ดรานยกเป้ขึ้นพาดบ่า มองไปทางตลาดแล้วส่ายหัว “ที่นี่คนเยอะจริง…ระวังโดนฉกถุงเอา” นีร่าโผล่หน้ามองไปทางแถวบ้านไม้สองชั้นที่ปลูกติดกันเป็นแนว บางหลังเปิดร้านขายของ บางหลังมีผ้าตากโบกสะบัดอยู่บนระเบียง เสียงแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า แข่งกับเสียงคนจูงลา เสียงเด็กวิ่งหัวเราะ เสียงเรืออีกลำเทียบท่า ทุกอย่างวุ่นวายจนเธอรู้สึกใจเต้นแรง “เจ้าเคยมาเมืองแบบนี้มั้ย?” นีร่าหันไปถามเสียงแผ่ว “เคย…แต่ข้าไม่ชอบเท่าไหร่” ดรานตอบห้วนๆ “แต่ถ้าต้องหาข่าว คนเยอะก็ดีกว่าคนเงียบ” นีร่าสูดลมหายใจลึก ตั้งสติแล้วก้าวลงจากเรือ เท้าเหยียบพื้นไม้ท่าเรือเสียงดังปึกๆ ลูกเรือคนหนึ่งโบกมือให้เธอ “ไปเถอะสาวน้อย…โชคดีนะ” “ขอบคุณมากค่ะ” เธอโบกมือให้เเละ ยิ้มบางๆ เธอหันไปมองตลาดกว้างใหญ่ข้างหน้า แม้จะรู้สึกหวั่นใจ แต่ขาก็ยังก้าวไปข้างหน้า ดรานเดินตามมา เดินเบียดใกล้กันเพราะกลัวพลัด “จะไปทางไหนก่อน?” นีร่าเหลียวซ้ายขวา มองป้ายไม้ที่ห้อยบนเสา มีรูปปลา รูปคลื่น รูปหอยสลักไว้ “…ไปหาที่พักก่อน…แล้วค่อยหาคนรู้เรื่องทะเล” “อืม…รีบหาที่พักเถอะ ข้าไม่อยากยืนให้คนมองเหมือนตัวประหลาด” สองคนเดินเบียดผู้คนเข้าไปในตลาด เสียงจ้อกแจ้กดังรอบตัวนีร่ากับดรานเดินกันจนขาลาก หอบของไปถามเรือหลายเจ้า กว่าจะได้ข่าวว่า“จะไปหมู่บ้านที่อีธานอาศัยอยู่…ต้องนั่งเรือพ่อค้าอาชิพรุ่งนี้เช้า ค่าที่นั่งคนละสิบเหรียญ ถ้าลงของอีก ก็คิดเพิ่ม…”นีร่าฟังแล้วเหงื่อตก มือควักถุงผ้าดู เหลือเศษเหรียญพอกริบ ๆ แค่พอซื้อข้าวสองมื้อเธอหันไปมองดรานอย่างจนใจ“ทำไงดี…ถ้าไม่มีเงิน ข้าก็ไปต่อไม่ได้…”ดรานเท้าเอวมองนีร่า เหมือนจะรำคาญแต่ก็ถอนใจ“เจ้าก็ร้องไห้ออกมาให้มีไข่มุกสิ ข้าเคยได้ยินว่าพวกเงือกเเบบเจ้าทำได้…เจ้ามีหอยมุกพวกนั้นไม่ใช่รึไง มันใช้เป็นค่าเดินทางได้?”นีร่าหน้าเหวอ“…ข้าจะร้องไห้ตอนนี้ได้ไงเล่า!”“ก็ทำให้มันเศร้า ๆ สิ”นีร่าเดินไปนั่งกอดเข่าตรงบันไดไม้ข้างเพิงร้านค้า พึมพำกับตัวเอง“เศร้า ๆ…เศร้ายังไง…”เธอหลับตาพยายามนึกถึงตอนที่หนีจากทะเล“ข้า…ข้าทอดทิ้งคนที่ข้ารัก…ข้าทำลายคำสัญญา…ฮือ…”เงียบ ไม่มีน้ำตาสักหยดเธอลืมตาขึ้น หน้าบึ้ง“ไม่ออก…”ดรานยืนกอดอกมองอย่างระอา“ลองนึกถึงตอนหิวข้าวดู…”นีร่าเบะหน้า หยิบขนมปังในถุงผ้าขึ้นมาดู เห็นเหลือแค่แผ่นเดียว“ฮือ…ขนมปังแผ่นสุดท้าย…ข้าจะไม่มีแรงเดิน…”น้ำตาเริ่มคลอ ๆ แต่ยังไม่หยดดรานทำหน้าเหมือนจะห
นีร่ายืนอยู่ที่เดิม ปลายเท้าจมลงไปในทรายเปียก ลมหนาวจากทะเลพัดใส่หน้า ดวงตาเธอเหมือนมองไปที่ผิวน้ำ“ถ้าเจ้ามีจริง…ผู้คุมทะเล…ถ้าเจ้ารู้จักข้า…ช่วยบอกข้าที…”เสียงเธอแผ่วเบาทันใดนั้น ลมรอบตัวหยุดนิ่ง คลื่นชะงักไปเหมือนมีบางอย่างสั่งให้สงบเงาสีครามเข้มเริ่มก่อตัวกลางทะเล ม้วนเป็นรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาสีน้ำเงินเรืองแสงราวประกายไฟในพายุดรานที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอถอยหลังไปสองก้าว สีหน้าหวาดระแวงเสียงนั้นดังก้องในอากาศ คล้ายไม่ได้ออกมาจากปาก แต่ดังในหัวเธอ“นีร่า…ผู้ที่หลงจากท้องทะเล…”หัวใจเธอกระตุกแรง“เจ้ามาที่นี่เพื่อหนี…หรือเพื่อจดจำ?”นีร่าเม้มปาก ฝ่ามือเย็น“ข้า…ไม่รู้…ข้าแค่…ทนไม่ไหวอีกแล้ว…”เงานั้นยื่นมือที่ทำจากละอองน้ำมาตรงหน้าเธอ “ความทรงจำเจ้ามิได้สูญหาย มันเพียงถูกผนึกไว้…”เธอสั่นหัว น้ำตาซึม“ข้า…ข้าอยากจำ…ต่อให้ต้องเจ็บ…”เสียงทะเลครืนต่ำรอบตัว คลื่นยกตัวขึ้น ล้อมวงรอบเธอเป็นวงแหวน“ถ้าเจ้าพร้อม…จงมองข้า…”นีร่าช้อนตาขึ้นมองดวงตาเรืองแสงคู่ใหญ่ มันลึกจนเหมือนจะกลืนเธอทั้งร่างทันใดนั้น คลื่นวงนอกโถมเข้ามา ทะลุร่างเธอหัวเธอเหมือนถูกฉีกออกเธอเห็นตนเองในน้ำลึก สวมเกล็ดสี
นีร่าเดินไปตามทางดินที่แคบลง ล้อมด้วยพุ่มไม้เตี้ยและรั้วไม้ผุพัง กลิ่นหญ้าแห้งคลุ้งในอากาศหมู่บ้านเล็กๆ เงียบเชียบ มีเสียงสุนัขเห่าอยู่ไกลๆ กับเสียงฆ้อนตอกตะปูดังเป็นจังหวะเธอเดินไปจนถึงลานโล่งหน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่มีชายวัยกลางคนกำลังซ่อมเรือลำเล็กชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมอง ร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำกร้านแดด ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความระแวง“มองหาใคร?”เสียงแหบต่ำทำให้เธอชะงัก นีร่ากำจี้หอยมุกไว้แน่นจนเจ็บนิ้ว“...เปล่า...ข้าแค่เดินดู...”ชายคนนั้นมองตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นผิวซีด ผมยาวเปียกยุ่ง และแววตาที่ว่างเปล่า“เจ้าหลงมา?”เธอหลบตา ไม่ตอบ“นั่นจี้หอยมุก?”นีร่าเงยหน้าทันที“เจ้า...รู้จักมันหรือ?”ชายคนนั้นถอนใจ วางฆ้อนลงบนขอบเรือ “ข้าแค่เคยเห็นคนชาวเรือมี พวกที่ต้องจากบ้านนานๆ มักให้คนรักไว้...มันคือสัญญา ว่าจะกลับมา”สัญญา...คำนี้เหมือนแทงใจเธอจนเจ็บจี๊ด นีร่าสูดลมหายใจ ลมหายใจที่เหมือนเต็มไปด้วยหนาม“แต่ข้า...จำไม่ได้...”เสียงเธอเหมือนกระซิบ ชายคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอื้อมมือไปหยิบถังน้ำขึ้นมาวางข้างตัว“จะหาที่พักหรือจะถามข่าวคนในหมู่บ้าน ไปบ้านยายเมรินนั่นแหละ เธอรู้จักคนแถวนี้ดี”
รุ่งเช้า – ริมหาดเงียบสงบ แสงแดดอ่อนสาดลงบนร่างที่นอนนิ่งอยู่ริมฝั่ง เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาสีฟ้าอ่อนจ้องฟ้าอย่างเลื่อนลอย เส้นผมยาวสีทองพลิ้วไหวไปตามลมทะเล หยักเป็นลอนจากน้ำเค็ม เธอค่อยๆ ยันตัวลุกนั่ง ดวงหน้าสวยละมุนแต่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า “…ที่นี่…คือที่ไหนกันแน่” เธอก้มมองตัวเอง ขาทั้งสองข้างเปลือยเปล่าเปียกน้ำเล็กน้อย รอยเกล็ดหางเงือกจางหายไปหมดแล้ว ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงเสียงคลื่นเบาๆ กับเสียงลม สายตาเธอเหลือบไปเห็น จี้หอยมุกสีขาวซีด วางอยู่บนผืนทรายข้างตัว ราวกับมันถูกวางไว้ให้เธอ เธอหยิบมันขึ้นมา พลิกดูอย่างลังเล มันดูเก่าแต่แปลกตา เหมือนเป็นของสำคัญอะไรสักอย่าง แต่มันกลับไม่จุดประกายความทรงจำใดๆ เลยในหัวเธอ “…ของใคร…” เธอพึมพำเบาๆ เธอลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ เสื้อผ้าของเธอเป็นผ้าบางคลุมกายเรียบง่ายเหมือนคนหลงทาง ร่างกายเบากว่าที่คิด แต่ในหัวกลับหนักหน่วง เธอไม่รู้ว่าเคยเป็นใคร มาจากไหน หรือใครกำลังรอเธออยู่ รู้แค่…ตอนนี้เธอคือใครก็ไม่รู้ และไม่เหลืออะไรให้เป็นความทรงจำ เสียงคลื่นซัดซ้ำกับฝั่ง เธอกำจี้หอยมุกไว้แน่น หัวใจบีบรัดโดยไม่มีเหตุผล รู้แค่ว่า
จากนั้นมือของเธอที่จุ่มลงในบ่อก็เริ่มร้อนขึ้นจากข้างในแผลเริ่มเปลี่ยนสี จากแดงกลายเป็นฟ้าอ่อน แล้วก็จางหายไปเหมือนละลายเข้ากับน้ำแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่แค่แผล…ร่างของเธอเริ่มส่องแสงอีกครั้ง หางของเธอยาวขึ้นเล็กน้อย ครีบข้างหลังขยายออกเหมือนกำลังคืนสภาพเงือกเต็มตัวเธอหลับตาแน่น รู้สึกถึงบางอย่างในอกที่กำลังเปลี่ยนไปมันไม่ใช่แค่ร่างกาย…มันคือหัวใจเสียงนั้นกลับมาดังอีก> “ตอนนี้…เลือดเจ้าได้รับการชำระแล้ว…เลือดของเงือกจะเข้มข้นขึ้น…เจ้าต้องเลือก…”> “จะอยู่ใต้ทะเลตลอดไป…หรือจะกลับขึ้นไปยังโลกบนบก…ในฐานะมนุษย์…”หัวใจของนีร่ากลับมาเต้นแรงอีกครั้ง—เหมือนกำลังจะระเบิดสองทาง…ไม่มีทางเลือกไหนที่ไม่เสียใจอยู่ใต้ทะเล…ก็ต้องลาจากเขากลับขึ้นบก…ก็ต้องทิ้งตัวตนที่แท้จริงเธอสะอื้นออกมา น้ำตาไหลทั้งที่ไม่มีใครได้ยินเธอนั่งอยู่ตรงนั้นนานมาก นิ่งจนปลาตัวเล็กๆ กล้าว่ายมาเกาะไหล่จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจลึก“ข้า…ข้าอยากจะกลับไปหาเขา…แต่…”เธอมองรอบตัว มองทะเลที่โอบล้อมเธอไว้เสมอ“ข้าก็อยากปกป้องที่นี่เหมือนกัน…”มือของเธอสั่น แต่หัวใจกลับนิ่งขึ้น“ข้าขอ…แค่โอกาสได้เลือกอีกครั้ง…”
นีร่าว่ายลึกลงไปเรื่อยๆ จนแสงจันทร์ข้างบนเริ่มหายไปหมด รอบตัวมีแต่ความมืดกับเสียงน้ำโอบล้อม ทุกครั้งที่เธอขยับหาง สีเงินก็วูบวาบอยู่แค่พริบตาแล้วดับไปหัวใจเธอเต้นแรงขึ้น เพราะเธอไม่เคยลงมาถึงที่นี่มาก่อนข้างหน้า…มองแทบไม่เห็นอะไร แต่พอลมหายใจเธอเริ่มชินกับน้ำเย็นๆ ตาเธอก็ค่อยๆ ชินกับความมืดเธอเห็นพื้นทรายกว้างใหญ่ มีก้อนหินเรียงกันเป็นวงๆ เหมือนมีใครตั้งใจวางไว้ บนนั้นมีสัญลักษณ์เก่าแก่ที่เธออ่านไม่ออก แต่หัวใจเธอกลับรู้สึกคุ้นแปลกๆ เหมือนมันเรียกเธออยู่นีร่าว่ายเข้าไปใกล้ แล้วเธอก็เห็นใครบางคนนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงกลางวงหินเป็นร่างสูงใหญ่ หลังโค้งงอ หางยาวสีเข้มพันรอบหิน ผมยาวสีขาวลอยตามน้ำเหมือนเงาต้นสาหร่ายหัวใจเธอเต้นแรงจนเจ็บอก เธอรู้ทันทีว่า…ผู้เฒ่าเงือกเธอเคยได้ยินตำนานมาแต่เด็ก ว่าใต้ทะเลลึกจะมีเงือกเฒ่าผู้เฝ้าความลับของท้องทะเลมานับร้อยปีนีร่ากลืนน้ำลาย ฝ่ามือสั่นนิดๆ แต่ก็ว่ายเข้าไปช้าๆ จนอยู่ห่างกันไม่ถึงสิบก้าวร่างนั้นยังนั่งนิ่ง ไม่ขยับ ไม่พูด เหมือนรูปปั้นเก่าๆ ที่มีชีวิตนีร่าหายใจเข้าลึก สูดเอากลิ่นทะเลที่หนาวกว่าเดิมเข้าปอด ก่อนจะตัดสินใจพูดเสียงแผ่ว“…ท่าน…คือผู