คลื่นยักษ์ซัดกระแทกเข้าด้านข้างราวกับมีภูเขาน้ำถล่มลงมา นีร่าพยายามยืนหยัดบนแผ่นไม้ลอย แต่ทันใดนั้น เงาดำสองสายพุ่งขึ้นจากความมืดใต้ผิวน้ำ ราวกับลูกศรที่ยิงจากนรก
ฉัวะ! กรงเล็บแหลมของเงือกนักรบปักลงบนแขนเธอ เลือดอุ่นไหลออกผสมกับน้ำทะเลเย็นเฉียบ ดรานตะโกนชื่อเธอ แต่ไม่ทัน — อีกตัวโอบรัดรอบเอว ลากเธอดิ่งลงไปใต้ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว เสียงทะเลถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวใจเต้นโครมครามในหัวของนีร่า โลกกลายเป็นสีฟ้ามืดขุ่นเต็มไปด้วยฟองน้ำและเงาที่ไหวไปมา เงือกนักรบสองตัวเคลื่อนไหวเร็วราวสายฟ้า กล้ามเนื้อแขนแข็งราวกับเหล็ก บังคับเธอให้ผ่านช่องหินใต้น้ำ คาเอลพุ่งตามลงมา แทงหอกสั้นใส่หนึ่งในนั้น เลือดสีฟ้ากระจายเป็นหมอกในน้ำ แต่เงือกอีกตัวฟาดหางกระแทกเขาจนกระดูกดัง กร๊อบ คาเอลลอยกระเด็นไปกระแทกหิน ดรานดำน้ำตามแต่ถูกฝูงเงือกเสริมกำลังเข้าขวางเป็นชั้นๆ นีร่าพยายามดิ้น เธอกัดฟันบังคับร่างให้ไม่กลืนมากเกินไป แต่น้ำเค็มก็เริ่มแทรกเข้าปอด ลูกแก้วในมือส่องสว่างแรงขึ้นจนแทบเผามือ เงือกที่จับเธอเหลือบตามองแสงนั้นและยิ้มเยาะ “ราชินีของเรา…จะดีพระทัยมาก” เสียงมันดังในหัวราวกับพูดผ่านน้ำ ช่องหินเปิดออกสู่โพรงมหึมาที่เต็มไปด้วยโครงกระดูกสัตว์ทะเลขนาดยักษ์ ประตูปะการังสูงตระหง่านปิดกั้นทางเข้า และเบื้องหลัง…มีเงาร่างหนึ่งรออยู่ ดวงตาสีเขียวมรกตส่องวาบในความมืด เงือกนักรบโยนเธอลงกับพื้นหินปะการังหยาบจนผิวหนังถลอก นีร่าเงยหน้ามอง — สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่เงือกธรรมดา แต่เป็นหญิงร่างสูง ผมยาวพลิ้วเหมือนสาหร่ายในกระแสน้ำ สวมมงกุฎปะการังสีดำ แผงเกล็ดเงินแวววาวรับกับผิวซีดดั่งกระดูก เธอคือ เซอร์เพ็นธร่า ราชินีแห่งเงือกผู้ถูกขับไล่จากบัลลังก์ในตำนาน “ลูกแก้ว…ของข้า” เสียงเธอนุ่มลึกแต่แฝงแรงกดดันที่บีบหัวใจนีร่าแทบแตก นีร่าแน่นมือ “นี่ไม่ใช่ของเจ้า” รอยยิ้มของราชินีขยายกว้าง เผยฟันแหลมเรียงเป็นแถว “เจ้าคิดว่าเจ้าคือผู้สืบสายเลือดที่แท้จริงงั้นหรือ? งั้นเจ้าจะรู้…ว่าพลังนั้นต้องแลกด้วยอะไร” เงือกนักรบจับแขนนีร่าให้ยกขึ้น ราชินีเอื้อมมือแตะลูกแก้ว — และทันใดนั้นภาพในหัวนีร่าก็ปะทุเป็นภาพสงครามเก่า ฝูงสัตว์ทะเลยักษ์ล้อมเมืองใต้น้ำ เงือกนับพันล้มตาย เสียงกรีดร้องของราชินีองค์ก่อนดังราวกับอยู่ข้างหู น้ำตาของนีร่าลอยขึ้นเป็นหยดเล็กๆ ในกระแสน้ำ ร่างเธอสั่นแต่ยังจ้องตอบดวงตาสีมรกตนั้นไม่กะพริบ “ถ้าเจ้าไม่ให้ ข้าจะเอามันจากซากศพเจ้า” เซอร์เพ็นธร่ากระซิบ ก่อนโบกมือให้เงือกนักรบสองตัวลากนีร่าเข้าไปในคุกปะการังลึกที่สุดในวังใต้น้ำ ไกลออกไป เสียงระเบิดและเสียงคำรามของนักล่าแห่งห้วงลึกยังดังสะเทือนน้ำ — และดรานกับคาเอล กำลังเสี่ยงตายฝ่ากำแพงเงือกเพื่อตามหาเธอ คุกปะการังอยู่ในหุบเหวลึก น้ำที่นี่เย็นจนแทบกัดผิว ปะการังสีดำแหลมคมงอกเป็นซี่โอบล้อมราวกับคมมีนับพัน ซากกระดูกสัตว์ทะเลและโซ่สนิมเขรอะลอยวนรอบพื้นทราย นีร่าถูกล่ามด้วยโซ่เกล็ดเพลิง — โซ่ชนิดเดียวที่เคยใช้ผูกมัดราชินีองค์ก่อน พลังในลูกแก้วถูกกดไว้จนแสงที่เคยสว่างกลายเป็นเพียงประกายอ่อนๆ เธอสูดหายใจช้าๆ ใต้ผิวน้ำ พยายามฟังเสียงรอบข้าง เสียงฝีหางเงือกนักรบเดินลาดตระเวน เสียงสัตว์ทะเลขนาดเล็กเคลื่อนไหวอยู่ไกลๆ และ…เสียงบางอย่างที่ไม่เข้ากับความเงียบ — เสียงโลหะขูดกับหินเบาๆ “นี่…ถ้าเธอไม่ส่งเสียง ฉันจะตัดโซ่ให้” เสียงกระซิบดังจากความมืดด้านหลังคุก นีร่าเหลียวไป เห็นเงาร่างสูงโปร่งเกล็ดสีทองซีด ผมยาวพันผ้าเก่าๆ ปิดครึ่งหน้า ดวงตาสีเหลืองวาวจับจ้องมาที่เธอ “เจ้าเป็นใคร?” นีร่าถามเสียงต่ำ “นักโทษคนแรกของคุกนี้… และพี่ชายของราชินีองค์เก่า” เขากระซิบ ก่อนยื่นมีดเปล่งแสงสีเงินมาแตะโซ่เกล็ดเพลิง — และแทนที่จะตัด โซ่กลับ สลาย หายไปในฟองอากาศเล็กๆ นีร่าชะงัก “เจ้าช่วยข้าทำไม?” “เพราะเจ้าถือสิ่งที่ข้าสร้างขึ้น” เขาชี้ไปที่ลูกแก้วในมือเธอ “และถ้าเซอร์เพ็นธร่าครอบครองมันอีกครั้ง โลกทั้งใต้ทะเลและเหนือผิวน้ำจะลุกเป็นไฟ” ยังไม่ทันที่นีร่าจะถามต่อ เสียงระเบิดดังสนั่นจากด้านบนของคุก เศษปะการังหล่นลงมาพร้อมคลื่นแรงกระแทก เงือกนักรบตะโกนคำสั่งโกลาหล ชายปริศนายิ้ม “พวกเจ้ามาแล้ว” ประตูคุกถูกระเบิดออกด้วยแรงปะทะน้ำ — ดรานกับคาเอลโผล่เข้ามา คาเอลเลื่อนหน้ากากดำน้ำขึ้นนิด เผยรอยยิ้มบ้าบิ่น “บอกแล้วว่าฉันหาทางมาถึงได้” แต่ทันทีที่พวกเขาเตรียมหนี เงามืดขนาดมหึมาก็ตีวนรอบคุก น้ำรอบตัวเริ่มมืดลงราวกับมีหมึกจำนวนมหาศาลแผ่กระจาย ชายปริศนาแค่นเสียง “สายไปแล้ว… นางมาเอง” ร่างของเซอร์เพ็นธร่าพุ่งลงมาจากด้านบน ดวงตาสีมรกตเปล่งประกายโกรธเกรี้ยว ในมือของนางมี ตรีศูลแห่งคลื่นกลืนกิน — อาวุธต้องห้ามที่ว่ากันว่าแทงทะลุได้แม้กระทั่งหัวใจของเทพทะเล เธอกวาดตามองพวกเขาทั้งหมดและกล่าวเสียงเย็น “เจ้าจะหนีจากคุกนี้ไม่ได้…เพราะมันถูกสร้างขึ้นในหัวใจของข้า” แล้วผนังคุกปะการังก็เริ่มขยับ ราวกับทั้งสถานที่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมากำลังตื่นขึ้น ผนังคุกปะการังเริ่มสั่นสะเทือนเป็นจังหวะเหมือนหัวใจเต้น ตุบ…ตุบ…ตุบ เสาและซี่ปะการังบิดตัวราวกับงูน้ำยักษ์ที่เพิ่งฟื้นจากการหลับลึก พื้นทรายใต้เท้า (หรือใต้ครีบ) แตกออก เผยรอยแยกดำมืดไร้ก้น เซอร์เพ็นธร่าปักตรีศูลลงกับพื้น น้ำรอบตัวกระแทกออกเป็นระลอกคลื่นแรงจนดรานกับคาเอลลอยกระเด็นชนผนัง ชายปริศนาผมทองจับข้อมือนีร่าแล้วกระซิบ “ตามฉันมา ถ้าอยู่ต่อจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวมัน” ทันใดนั้น เสียง ครืนนนน! ดังขึ้นจากด้านบน — มันไม่ใช่แค่คุก แต่คือสิ่งมีชีวิตมหึมาที่ราชินีควบคุมอยู่ ผนังปะการังแตกเผยดวงตายักษ์สีฟ้าเรืองแสงมองพวกเขาจากทุกทิศทาง เส้นปะการังแหลมพุ่งเข้าใส่เหมือนฝนหอก นีร่าหมุนตัวหลบ หัวใจเต้นแรงไม่หยุด คาเอลชักดาบใต้น้ำ ฟันซี่ปะการังจนแตกกระจาย ดรานใช้ระเบิดน้ำแรงดันสูงโยนไปด้านหลัง บึ้ม! คลื่นกระแทกเปิดทางสั้นๆ แต่ผนังคุกก็ปิดกลับในพริบตา “มันกำลังหดตัว! อีกไม่นานเราจะถูกบดเละ!” ดรานตะโกน ชายปริศนาพุ่งไปยังรอยแตกบนเพดาน “ทางออกอยู่ตรงนั้น แต่ต้องปิดการเชื่อมระหว่างราชินีกับคุกก่อน!” เขาชี้ไปที่โซ่เรืองแสงสี่เส้นที่เชื่อมจากผนังเข้ากับตรีศูลของเซอร์เพ็นธร่า นีร่าเห็นโอกาส เธอกระชับลูกแก้วในมือ พลังเริ่มแผ่ซ่าน แม้จะถูกกดไว้แต่ยังสั่นสะเทือนพอให้คลื่นน้ำรอบตัวเปลี่ยนทิศ เธอตัดสินใจพุ่งตรงเข้าหานางราชินี เซอร์เพ็นธร่าหันมา รอยยิ้มเย็นเฉียบ “เด็กโง่…เจ้ามอบหัวใจให้ข้าเอง” ฉัวะ! หางของนางฟาดลงพื้น สร้างคลื่นแรงกระแทกมหาศาล แต่นีร่าใช้แรงกระแทกนั้นเร่งตัวพุ่งขึ้นเหนือหัวนาง ตีด้วยลูกแก้วลงบนโซ่เรืองแสง เสียงแตก เพล้ง! ดังก้อง น้ำในคุกเริ่มปั่นป่วนรุนแรง คาเอลและดรานรีบตัดโซ่ที่เหลืออีกสามเส้นด้วยดาบและระเบิดจิ๋ว เสียง เพล้ง! ตามด้วย บึ้ม! จนโซ่ขาดหมดสิ้น ทันใดนั้น คุกทั้งคุกสั่นสะเทือนรุนแรง ราวกับสิ่งมีชีวิตนี้กำลังกรีดร้อง เซอร์เพ็นธร่ากรีดร้องตาม น้ำรอบตัวหมุนวนเป็นพายุ พวกเขาถูกดูดขึ้นไปตามกระแส ชายปริศนาตะโกนแข่งกับแรงน้ำ “ขึ้นไป! อย่าหันกลับมา!” ภาพสุดท้ายที่นีร่ามองเห็นก่อนถูกแรงน้ำพุ่งออกสู่ทะเลเปิด คือดวงตาสีมรกตของราชินีที่ยังจ้องตามมาพร้อมคำพูดในหัวเธอ "เจ้าหนีข้าได้ครั้งเดียว…" แล้วทุกอย่างก็สว่างวาบ — พวกเขาถูกกระแทกออกสู่ผิวน้ำกลางพายุใหญ่ คลื่นสูงเท่าภูเขากำลังรออยู่น้ำรอบตัวเงียบ…เงียบจนหัวใจของดรานเต้นดังราวกับเสียงกลองในโถงก้อง ราชินีใต้น้ำค่อย ๆ ลอยลงจากบัลลังก์ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอเหมือนฝัน แต่ดวงตานั้นคม และแน่นิ่งพอจะทำให้เขาลืมหายใจ“เจ้ามีดวงตาของคนที่เคยทรยศทะเล” เธอเอ่ย เสียงเหมือนกระซิบข้างหูแต่แทรกเข้ามาในหัวโดยตรงดรานขยับดาบขึ้น…แต่ร่างกลับหนักเหมือนถูกมัดด้วยโซ่มองไม่เห็น น้ำรอบขาเขาหมุนวนเป็นเกลียวสีดำแล้วค่อย ๆ ดึงเขาลงไปช้า ๆนีราร้อง “ดราน! อย่าให้เธอมองตา!”สายเกลียวสีดำพันขึ้นมาถึงเอว ดรานฟันลงไป แต่ดาบกลับทะลุผ่านราวกับฟันเงา ราชินีลอยเข้ามาใกล้จนผมยาวของเธอพันกับแขนเขาเย็นเหมือนน้ำแข็ง และริมฝีปากนั้นกระซิบเพียงคำเดียว“นอน…”ดวงตาของดรานค่อย ๆ ปิด เสียงทุกอย่างหายไป ร่างเขาเริ่มหย่อนวูบเหมือนร่างไร้วิญญาณคาเอลกับนีร่าพุ่งเข้ามา แต่คลื่นแรงมหาศาลปะทุขึ้นจากราชินี โถงทั้งโถงกลายเป็นพายุหมุนที่ผลักพวกเขากระเด็นออกไปติดผนังหินราชินีเงยหน้าขึ้น ดวงตาสว่างวาบ เตรียมจะดึงวิญญาณของดรานเข้าสู่ความว่างนิรันดร์ฟุ่บ!เงาสองร่างพุ่งจากด้านบนของโถงน้ำเหมือนลูกศร เสียงโลหะเฉือนน้ำแหลมสูง อีธานใช้แรงน้ำหมุนตัวหนึ่งรอบก่อนดาบใหญ่ของเ
ความมืดกลืนทุกสีและทุกเส้นเงา เหลือเพียงประกายจาง ๆ จากหอกของนีรากับดวงตาหลายคู่ของสัตว์เกราะใต้ทะเลที่ยังขยับช้า ๆ แต่มั่นคงเสียงแหวกน้ำมาจากรอบทิศ ไม่ใช่เสียงเดียว…แต่เป็นหลายสิบ หลายร้อย แทรกอยู่ในคลื่นหัวใจของทุกคน คาเอลกำมีดแน่นจนข้อนิ้วซีด เขาพยายามเพ่งมองหาเงาแต่สิ่งเดียวที่เห็นคือน้ำที่ขุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรคนมันจากทุกด้าน“มันกำลังไล่ต้อนเรา” แบร์กตันกระซิบ ทั้งที่รู้ว่าเสียงคงไม่ช่วยพรางจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้คลื่นน้ำเป็นหูทันใดนั้น สิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาจากมืดด้านบน มันเร็วเกินจะเห็นรูปร่างชัด คาเอลปัดออกด้วยมีดแต่แรงปะทะกลับทำให้เขาหมุนควงกลางน้ำ ดรานคว้าข้อมือเขาดึงกลับมาด้วยแรงพอให้รู้ว่า ถ้าพลาดแม้เพียงครั้งเดียว พวกเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้นเสียงของราชินีดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดและใกล้เหมือนอยู่ข้างหู"หัวใจของเจ้าจะเต้นถึงกี่ครั้ง… ก่อนที่มันจะหยุด"นีร่าข่มใจแล้วตะโกน “แบร์กตัน! มีทางออกไหม?”ชายแก่ชี้ไปยังผนังฝั่งซ้าย “มีโพรงแคบหลังเสาหินนั่น! แต่ต้องเสี่ยงวิ่งผ่านพวกมันทั้งหมด!”เหมือนคำพูดยังไม่ทันหมด ฝูงเงาก็พุ่งออกจากความมืด—เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายปลากระโทงครีบขาดเก
สายฝนหยุดลงเพียงชั่วคราวเหมือนฟ้าต้องการให้พวกเขาเคลื่อนตัวต่อ แบร์กตันม้วนแผนที่เก็บอย่างระวัง เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้ดังเป็นจังหวะเหนือหัว คาเอลยกถุงเสบียงขึ้นพาดบ่า “เอาล่ะ ไปเจอมังกรยักษ์ของราชินีกัน”นีร่าไม่ได้ตอบ เธอกำลังคิดถึงสัญลักษณ์รูปตาที่ติดบนแผนที่ เส้นรัศมีสามเส้นที่แผ่ออกมาราวกับกำลังจับจ้องคนมองกลับ—มันให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งนั้นกำลัง ‘มอง’ เธออยู่จริง ๆเส้นทางลัดของแบร์กตันพาพวกเขาเลาะไปตามเนินหินที่ชื้นและเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีดำ รากไม้บิดเกลียวเหมือนงูคอยเกี่ยวข้อเท้าผู้บุกรุก เสียงคลื่นเบื้องล่างค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงเสียงน้ำหยดและสายลมพัดผ่านโพรงหินเมื่อข้ามโขดหินใหญ่ด้านหน้า พวกเขาก็มองเห็นทะเลสาบกว้างเงียบสนิทอยู่กลางป่า ผิวน้ำดำราวกระจกที่ดูดซับแสงทั้งหมด ไร้คลื่น ไร้แม้แต่เสียงกบร้องแบร์กตันหยุดแล้วพูดเสียงต่ำ “นั่นคือ ‘ประตูกลางน้ำ’… ทางลงสู่รังของราชินี”คาเอลย่นคิ้ว “แล้วเราจะลงไปยังไง? ว่ายลงไปแล้วเคาะประตูหรือ?”“มันมีทางเดินใต้น้ำ” แบร์กตันชี้ไปที่ผนังหินริมทะเลสาบ “แต่ต้องกลั้นลมหายใจนานพอควร ”นีร่าเอาหอกเคาะพื้นเบา ๆ “เรามีทางเลือกอื่นไหม”แบร์กตันส่
เพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันของแบร์กตันที่ไหววูบตามจังหวะลม พวกเขาเดินเลาะชายป่า เสียงคลื่นเริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงแมลงยามค่ำ “ทางนี้มันดู… ไม่ค่อยเป็นมิตรนะ” คาเอลกระซิบ พลางมองไปทางพุ่มไม้ที่ไหวอย่างไร้ลม “เจ้าคิดว่ามีอะไร” ดรานถาม คาเอลยกไหล่ “อาจจะเป็นเสือ… หรือแค่กระรอกตัวใหญ่พิเศษที่ชอบแทะหัวคน” แบร์กตันหยุดกะทันหัน ยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบ ทุกคนก้มลงตามสัญชาตญาณ เสียง “ซ่า…” ดังจากโคลนเบื้องหน้า ราวกับมีอะไรลากตัวผ่านน้ำตื้น จากเงามืดนั้น ร่างบางอย่างโผล่ขึ้น—ไม่ใช่สัตว์บนบก แต่เป็นสิ่งที่มีเกล็ดเงินแวววาว และแขนยาวเกินมนุษย์ ดวงตากลมโตราวลูกแก้วจับจ้องพวกเขา ก่อนที่มันจะส่งเสียงแหลมก้อง ราวกับโลหะขูดกัน “เฮ้… มีเพื่อนมาทักทายแล้ว” คาเอลพึมพำ แต่เสียงสั่นนิด ๆ “เจ้านี่… ไม่ใช่กระรอก” สิ่งนั้นกระโจนพุ่งใส่ทันที! ดรานชักดาบต้านไว้ เสียงโลหะปะทะเกล็ดดัง ก๊อง! แต่แรงกระแทกทำเอาเขาถอยไปสองก้าว นีร่าใช้หอกสั้นฟันสวน แต่โดนเพียงปลายแขนเกล็ดที่แข็งราวเหล็ก แบร์กตันสบถเบา ๆ ก่อนจะขว้างตะเกียงใส่ มันแตกเป็นเปลวไฟกระจายบนโคลน สิ่งนั้นกรีดร้องลั่น ถอยกลับไปในเงามืด—แต่เสียงเคลื่อน
ผืนทรายชื้นเย็นของชายฝั่งเกาะเงียบงันรับร่างของนีร่าที่ล้มลงคว่ำ หน้าอกกระเพื่อมแรงจากการหอบหายใจ ดรานและคาเอลตามมาติด ๆ ทั้งคู่เปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำเกลือกัดผิวจนแสบดรานทรุดนั่งพิงตอไม้ใหญ่ “ข้า… แทบเดินไม่ไหวแล้ว” เสียงแหบพร่า แววตาขุ่นมัวด้วยความเหนื่อยล้าคาเอลนั่งลงข้าง ๆ พลางหัวเราะเบา ๆ แบบติดตลกแม้จะหมดแรง “ถ้าเจอปลาหมึกยักษ์อีก ข้าจะยอมให้มันกลืนไปเลย… อย่างน้อยคงไม่ต้องทนหิวแบบนี้”นีร่ามองทั้งสองด้วยสายตาหนักแน่น แต่แฝงความกังวล “เราต้องหาอะไรกินเดี๋ยวนี้ ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ พวกเจ้าจะหมดแรงจนเดินไม่ไหว”รอบตัวมีเพียงป่าโปร่งที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนิน กลิ่นดินชื้นและใบไม้ปนกับกลิ่นไอทะเล ลมพัดเอาเสียงบางอย่างมาจากในป่า คล้ายเสียงกิ่งไม้แตกเป็นระยะดรานพยายามยันตัวขึ้นยืน “อาหาร… น้ำจืด… อะไรก็ได้”คาเอลเหลือบมองไปรอบ ๆ “ข้าเห็นอะไรเป็นเงา ๆ ตรงโน้น อาจจะเป็นหมู่บ้าน หรือไม่ก็…” เขาหยุดพูดก่อนจะยิ้มมุมปาก “ก็อาจจะเป็นกับดักของพวกที่เราไม่รู้จัก”นีร่าเม้มปากแน่น “ถ้ามันเป็นกับดัก เราก็จะได้รู้ก่อนที่เราจะอดตาย”ทั้งสามคนค่อย ๆ เดินตามเส้นทางทรายที่เริ่มกลายเป็นดินโคลน ใบ
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นท่ามกลางสายลมทะเล ฟลอเรสเดินไปหาเอเรนที่กำลังจัดเก็บเครื่องมืออย่างขะมักเขม้น แต่สายตากลับดูเหนื่อยล้า“เอเรน เจ้าเคยคิดไหม ว่าเราจะยังได้เห็นแสงแดดอีกนานแค่ไหน?” ฟลอเรสถามเอเรนหันมายิ้มบางๆ “ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากเห็นมันอีกนานๆ แต่ถ้าไม่ เราก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ”ฟลอเรสหัวเราะ “คำพูดเจ้าโหดร้ายยิ่งกว่าปลาหมึกยักษ์อีกนะ”เอเรนขมวดคิ้ว “อย่าแหย่ข้านักล่ะ!”เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบๆ ทำให้บรรยากาศที่เคยเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลง ลูกเรือคนอื่นก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ทั้งเรื่องข่าวสาร เรื่องตลกเล็กๆ หรือเรื่องบ้านเกิดที่แต่ละคนคิดถึงมาเรียเดินมาหาฟลอเรสพร้อมถือลูกอมในมือ “นี่เจ้า ต้องใช้พลังงานนะ จะได้ไม่หมดแรง”ฟลอเรสรับลูกอมมาแล้วอมไว้ในปาก “ขอบใจเจ้า นี่แหละที่ทำให้ข้ายังเดินต่อไปได้”จู่ๆ เสียงร้องหัวเราะดังมาจากมุมเรือ ใครบางคนกำลังเล่นเกมทายคำกับลูกเรือคนอื่นๆ ทำให้หลายคนหยุดงานมาช่วยกันเล่นฟลอเรสเดินไปดู พบว่าเป็นบรรยากาศที่พวกเขาแทบลืมไปว่ากำลังอยู่กลางทะเลที่เต็มไปด้วยอันตราย“ถ้าพวกเจ้าลืมเรื่องร้ายๆ สักพัก ข้าก็ยินดี” ฟลอเรสพูด พลางมองไปยังฟ้