ลมทะเลพัดกลิ่นเกลือและควันไฟเข้ามาในตรอกแคบๆ ที่เต็มไปด้วยเสียงสลับระหว่างนักดนตรีเร่กับคนเมาหัวเราะ อีธานสวมเสื้อคลุมหนา ดึงฮู้ดปิดหน้า ลอบเดินผ่านผู้คนไปจนถึงหน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์หินสีขาวที่มีตราสัญลักษณ์ “ดอกบัวคราม”
ยามสองคนไขว้หอกขวางทาง “ไม่มีนัดหมาย ห้ามเข้า” อีธานยื่นตราประทับโลหะที่สลักเป็นรูปดาบไขว้เหนือคลื่น “บอกเจ้าชายฟลอเรสว่า อีธานแห่งวาลคีร์ มาขอพบ และนี่คือเรื่องเกี่ยวกับสมบัติแห่งมหาสมุทร” ยามสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะส่งสัญญาณ เปิดประตูให้เขาเข้าไป ในห้องโถงหินอ่อน แสงจากคบเพลิงสะท้อนกับกระจกสี ทำให้เงาร่างของชายผู้กำลังนั่งบนบัลลังก์ไม้แกะสลักดูยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเดิม — เจ้าชายฟลอเรส สวมเกราะเงินบางๆ และผ้าคลุมยาวสีกรมเข้ม ดวงตาคมกริบสีฟ้าเหมือนน้ำลึก “นานเท่าไหร่แล้ว…ที่เจ้ามาเยือนโดยไม่ส่งสาส์น” ฟลอเรสเอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงความระแวง อีธานค้อมหัว “ข้าไม่มีเวลาส่งสาส์น ที่จริง…ข้าแทบไม่มีเวลาเหลือเลย” ฟลอเรสเลิกคิ้ว “พูดมา” อีธานก้าวเข้าใกล้ ดึงแผนที่ผืนเก่าออกมา วางลงบนโต๊ะตรงหน้า จุดหนึ่งบนแผนที่มีรอยไหม้รูปวงกลม และเส้นลายมือวิ่งออกจากมันไปยังหลายทิศทาง “ราชินีเซอร์เพ็นธร่าได้ตื่นขึ้น… และเธอกำลังล่า ฟลอเรสหัวเราะสั้นๆ “นิทานหลอกเด็ก” อีธานสบตาเขาอย่างเย็น “ถ้าเป็นนิทานจริง…คงไม่มีคนของข้าที่ไปสำรวจเกาะใต้พายุหายสาบสูญพร้อมเรือทั้งลำ” บรรยากาศในห้องเงียบลงทันที ฟลอเรสหันไปพยักหน้าให้มหาดเล็กที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู มหาดเล็กรีบออกจากห้อง ปล่อยให้ทั้งคู่ลำพัง “แล้วเจ้าต้องการอะไรจากข้า?” อีธานตอบเสียงหนัก “เรือล่า’…และนักรบของเจ้าที่กล้าพอจะเผชิญหน้าสิ่งที่อยู่ใต้ทะเลลึก” ฟลอเรสยิ้มบาง แต่สายตาเหมือนกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงกับโอกาส “ข้าจะให้สิ่งนั้น…ถ้าเจ้าตอบคำถามเดียว” อีธานนิ่ง “ว่ามา” ฟลอเรสก้มลงเล็กน้อย เสียงต่ำและชัดเจน “นีร่า…เธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?” อีธานสบตากับฟลอเรส เสี้ยววินาทีหนึ่งในใจเขามีทั้งความลังเลและความกลัว เพราะเขารู้ดีว่าคำตอบนี้จะเปลี่ยนทุกอย่าง “เธอยังมีชีวิต…” อีธานเอ่ยช้าๆ “แต่ไม่ใช่ในแบบที่ท่านจำได้” ฟลอเรสขมวดคิ้ว “พูดให้ชัด” อีธานถอนหายใจ ดึงจากเสื้อคลุมออกมาซึ่งเป็นล็อกเก็ตเงินกลม เล็กพอที่จะซ่อนในฝ่ามือ เขาโยนมันให้ฟลอเรส เจ้าชายเปิดออก — ด้านในมีเศษผ้าสีฟ้าทะเลที่เปื้อนคราบเกล็ดบางๆ ที่ไม่ใช่ของมนุษย์ “เธอ…อยู่ในมือของเงือกนักรบ” อีธานพูดต่อ “และข้าสงสัยว่า…เธอกำลังจะถูกใช้เป็นกุญแจในการเปิดประตูสู่ ‘หลุมดำแห่งสมุทร’” ฟลอเรสชะงัก มือที่จับล็อกเก็ตแน่นจนเส้นเลือดปูด “เจ้ารู้ตัวหรือไม่…ว่าพูดถึงตำนานต้องห้ามของราชวงศ์เรา” “ข้ารู้ และข้ารู้ด้วยว่า ถ้าปล่อยให้เซอร์เพ็นธร่าทำสำเร็จ เมืองของท่านจะเป็นเพียงซากปรักหักพังใต้น้ำ” อีธานเอ่ย น้ำเสียงไม่มีแววขอร้อง มีแต่ความจริงที่ฟังแล้วเย็นจนถึงกระดูก ฟลอเรสเดินออกจากบัลลังก์ มาหยุดตรงหน้าอีธาน “ทำไมต้องเป็นข้า? เจ้ามีเส้นสาย มีพันธมิตรพอจะรวบรวมกองเรือ” อีธานมองตรงไปในดวงตาเจ้าชาย “เพราะมีเพียงท่านที่เคยแล่นเรือผ่านเขตพายุคลื่นสีน้ำเงิน และรอดออกมาได้” ฟลอเรสเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะสั้นๆ “เจ้ากำลังพนันชีวิตทั้งของข้าและเมืองนี้เพื่อหญิงสาวเพียงคนเดียวงั้นหรือ” อีธานตอบทันควัน “ไม่…ข้ากำลังพนันเพื่อหยุดจุดจบของโลก” เสียงกลองเตือนภัยดังขึ้น จากนอกคฤหาสน์ เสียงชาวเมืองตะโกนลั่น “คลื่นใหญ่กำลังซัดเข้ามา! คลื่นสูงเท่าหอคอย!” ฟลอเรสหันมองไปทางหน้าต่าง เห็นเงามหึมาใต้ผิวน้ำกำลังพุ่งเข้าหาฝั่ง ดวงตาของมันเรืองแสงสีมรกตเหมือนกำลังมองมาที่เขา ฟลอเรสกัดฟัน “เตรียมเรือซีฟินิกซ์…คืนนี้เราออกล่า”น้ำรอบตัวเงียบ…เงียบจนหัวใจของดรานเต้นดังราวกับเสียงกลองในโถงก้อง ราชินีใต้น้ำค่อย ๆ ลอยลงจากบัลลังก์ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอเหมือนฝัน แต่ดวงตานั้นคม และแน่นิ่งพอจะทำให้เขาลืมหายใจ“เจ้ามีดวงตาของคนที่เคยทรยศทะเล” เธอเอ่ย เสียงเหมือนกระซิบข้างหูแต่แทรกเข้ามาในหัวโดยตรงดรานขยับดาบขึ้น…แต่ร่างกลับหนักเหมือนถูกมัดด้วยโซ่มองไม่เห็น น้ำรอบขาเขาหมุนวนเป็นเกลียวสีดำแล้วค่อย ๆ ดึงเขาลงไปช้า ๆนีราร้อง “ดราน! อย่าให้เธอมองตา!”สายเกลียวสีดำพันขึ้นมาถึงเอว ดรานฟันลงไป แต่ดาบกลับทะลุผ่านราวกับฟันเงา ราชินีลอยเข้ามาใกล้จนผมยาวของเธอพันกับแขนเขาเย็นเหมือนน้ำแข็ง และริมฝีปากนั้นกระซิบเพียงคำเดียว“นอน…”ดวงตาของดรานค่อย ๆ ปิด เสียงทุกอย่างหายไป ร่างเขาเริ่มหย่อนวูบเหมือนร่างไร้วิญญาณคาเอลกับนีร่าพุ่งเข้ามา แต่คลื่นแรงมหาศาลปะทุขึ้นจากราชินี โถงทั้งโถงกลายเป็นพายุหมุนที่ผลักพวกเขากระเด็นออกไปติดผนังหินราชินีเงยหน้าขึ้น ดวงตาสว่างวาบ เตรียมจะดึงวิญญาณของดรานเข้าสู่ความว่างนิรันดร์ฟุ่บ!เงาสองร่างพุ่งจากด้านบนของโถงน้ำเหมือนลูกศร เสียงโลหะเฉือนน้ำแหลมสูง อีธานใช้แรงน้ำหมุนตัวหนึ่งรอบก่อนดาบใหญ่ของเ
ความมืดกลืนทุกสีและทุกเส้นเงา เหลือเพียงประกายจาง ๆ จากหอกของนีรากับดวงตาหลายคู่ของสัตว์เกราะใต้ทะเลที่ยังขยับช้า ๆ แต่มั่นคงเสียงแหวกน้ำมาจากรอบทิศ ไม่ใช่เสียงเดียว…แต่เป็นหลายสิบ หลายร้อย แทรกอยู่ในคลื่นหัวใจของทุกคน คาเอลกำมีดแน่นจนข้อนิ้วซีด เขาพยายามเพ่งมองหาเงาแต่สิ่งเดียวที่เห็นคือน้ำที่ขุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรคนมันจากทุกด้าน“มันกำลังไล่ต้อนเรา” แบร์กตันกระซิบ ทั้งที่รู้ว่าเสียงคงไม่ช่วยพรางจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้คลื่นน้ำเป็นหูทันใดนั้น สิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาจากมืดด้านบน มันเร็วเกินจะเห็นรูปร่างชัด คาเอลปัดออกด้วยมีดแต่แรงปะทะกลับทำให้เขาหมุนควงกลางน้ำ ดรานคว้าข้อมือเขาดึงกลับมาด้วยแรงพอให้รู้ว่า ถ้าพลาดแม้เพียงครั้งเดียว พวกเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้นเสียงของราชินีดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดและใกล้เหมือนอยู่ข้างหู"หัวใจของเจ้าจะเต้นถึงกี่ครั้ง… ก่อนที่มันจะหยุด"นีร่าข่มใจแล้วตะโกน “แบร์กตัน! มีทางออกไหม?”ชายแก่ชี้ไปยังผนังฝั่งซ้าย “มีโพรงแคบหลังเสาหินนั่น! แต่ต้องเสี่ยงวิ่งผ่านพวกมันทั้งหมด!”เหมือนคำพูดยังไม่ทันหมด ฝูงเงาก็พุ่งออกจากความมืด—เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายปลากระโทงครีบขาดเก
สายฝนหยุดลงเพียงชั่วคราวเหมือนฟ้าต้องการให้พวกเขาเคลื่อนตัวต่อ แบร์กตันม้วนแผนที่เก็บอย่างระวัง เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้ดังเป็นจังหวะเหนือหัว คาเอลยกถุงเสบียงขึ้นพาดบ่า “เอาล่ะ ไปเจอมังกรยักษ์ของราชินีกัน”นีร่าไม่ได้ตอบ เธอกำลังคิดถึงสัญลักษณ์รูปตาที่ติดบนแผนที่ เส้นรัศมีสามเส้นที่แผ่ออกมาราวกับกำลังจับจ้องคนมองกลับ—มันให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งนั้นกำลัง ‘มอง’ เธออยู่จริง ๆเส้นทางลัดของแบร์กตันพาพวกเขาเลาะไปตามเนินหินที่ชื้นและเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีดำ รากไม้บิดเกลียวเหมือนงูคอยเกี่ยวข้อเท้าผู้บุกรุก เสียงคลื่นเบื้องล่างค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงเสียงน้ำหยดและสายลมพัดผ่านโพรงหินเมื่อข้ามโขดหินใหญ่ด้านหน้า พวกเขาก็มองเห็นทะเลสาบกว้างเงียบสนิทอยู่กลางป่า ผิวน้ำดำราวกระจกที่ดูดซับแสงทั้งหมด ไร้คลื่น ไร้แม้แต่เสียงกบร้องแบร์กตันหยุดแล้วพูดเสียงต่ำ “นั่นคือ ‘ประตูกลางน้ำ’… ทางลงสู่รังของราชินี”คาเอลย่นคิ้ว “แล้วเราจะลงไปยังไง? ว่ายลงไปแล้วเคาะประตูหรือ?”“มันมีทางเดินใต้น้ำ” แบร์กตันชี้ไปที่ผนังหินริมทะเลสาบ “แต่ต้องกลั้นลมหายใจนานพอควร ”นีร่าเอาหอกเคาะพื้นเบา ๆ “เรามีทางเลือกอื่นไหม”แบร์กตันส่
เพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันของแบร์กตันที่ไหววูบตามจังหวะลม พวกเขาเดินเลาะชายป่า เสียงคลื่นเริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงแมลงยามค่ำ “ทางนี้มันดู… ไม่ค่อยเป็นมิตรนะ” คาเอลกระซิบ พลางมองไปทางพุ่มไม้ที่ไหวอย่างไร้ลม “เจ้าคิดว่ามีอะไร” ดรานถาม คาเอลยกไหล่ “อาจจะเป็นเสือ… หรือแค่กระรอกตัวใหญ่พิเศษที่ชอบแทะหัวคน” แบร์กตันหยุดกะทันหัน ยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบ ทุกคนก้มลงตามสัญชาตญาณ เสียง “ซ่า…” ดังจากโคลนเบื้องหน้า ราวกับมีอะไรลากตัวผ่านน้ำตื้น จากเงามืดนั้น ร่างบางอย่างโผล่ขึ้น—ไม่ใช่สัตว์บนบก แต่เป็นสิ่งที่มีเกล็ดเงินแวววาว และแขนยาวเกินมนุษย์ ดวงตากลมโตราวลูกแก้วจับจ้องพวกเขา ก่อนที่มันจะส่งเสียงแหลมก้อง ราวกับโลหะขูดกัน “เฮ้… มีเพื่อนมาทักทายแล้ว” คาเอลพึมพำ แต่เสียงสั่นนิด ๆ “เจ้านี่… ไม่ใช่กระรอก” สิ่งนั้นกระโจนพุ่งใส่ทันที! ดรานชักดาบต้านไว้ เสียงโลหะปะทะเกล็ดดัง ก๊อง! แต่แรงกระแทกทำเอาเขาถอยไปสองก้าว นีร่าใช้หอกสั้นฟันสวน แต่โดนเพียงปลายแขนเกล็ดที่แข็งราวเหล็ก แบร์กตันสบถเบา ๆ ก่อนจะขว้างตะเกียงใส่ มันแตกเป็นเปลวไฟกระจายบนโคลน สิ่งนั้นกรีดร้องลั่น ถอยกลับไปในเงามืด—แต่เสียงเคลื่อน
ผืนทรายชื้นเย็นของชายฝั่งเกาะเงียบงันรับร่างของนีร่าที่ล้มลงคว่ำ หน้าอกกระเพื่อมแรงจากการหอบหายใจ ดรานและคาเอลตามมาติด ๆ ทั้งคู่เปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำเกลือกัดผิวจนแสบดรานทรุดนั่งพิงตอไม้ใหญ่ “ข้า… แทบเดินไม่ไหวแล้ว” เสียงแหบพร่า แววตาขุ่นมัวด้วยความเหนื่อยล้าคาเอลนั่งลงข้าง ๆ พลางหัวเราะเบา ๆ แบบติดตลกแม้จะหมดแรง “ถ้าเจอปลาหมึกยักษ์อีก ข้าจะยอมให้มันกลืนไปเลย… อย่างน้อยคงไม่ต้องทนหิวแบบนี้”นีร่ามองทั้งสองด้วยสายตาหนักแน่น แต่แฝงความกังวล “เราต้องหาอะไรกินเดี๋ยวนี้ ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ พวกเจ้าจะหมดแรงจนเดินไม่ไหว”รอบตัวมีเพียงป่าโปร่งที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนิน กลิ่นดินชื้นและใบไม้ปนกับกลิ่นไอทะเล ลมพัดเอาเสียงบางอย่างมาจากในป่า คล้ายเสียงกิ่งไม้แตกเป็นระยะดรานพยายามยันตัวขึ้นยืน “อาหาร… น้ำจืด… อะไรก็ได้”คาเอลเหลือบมองไปรอบ ๆ “ข้าเห็นอะไรเป็นเงา ๆ ตรงโน้น อาจจะเป็นหมู่บ้าน หรือไม่ก็…” เขาหยุดพูดก่อนจะยิ้มมุมปาก “ก็อาจจะเป็นกับดักของพวกที่เราไม่รู้จัก”นีร่าเม้มปากแน่น “ถ้ามันเป็นกับดัก เราก็จะได้รู้ก่อนที่เราจะอดตาย”ทั้งสามคนค่อย ๆ เดินตามเส้นทางทรายที่เริ่มกลายเป็นดินโคลน ใบ
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นท่ามกลางสายลมทะเล ฟลอเรสเดินไปหาเอเรนที่กำลังจัดเก็บเครื่องมืออย่างขะมักเขม้น แต่สายตากลับดูเหนื่อยล้า“เอเรน เจ้าเคยคิดไหม ว่าเราจะยังได้เห็นแสงแดดอีกนานแค่ไหน?” ฟลอเรสถามเอเรนหันมายิ้มบางๆ “ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากเห็นมันอีกนานๆ แต่ถ้าไม่ เราก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ”ฟลอเรสหัวเราะ “คำพูดเจ้าโหดร้ายยิ่งกว่าปลาหมึกยักษ์อีกนะ”เอเรนขมวดคิ้ว “อย่าแหย่ข้านักล่ะ!”เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบๆ ทำให้บรรยากาศที่เคยเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลง ลูกเรือคนอื่นก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ทั้งเรื่องข่าวสาร เรื่องตลกเล็กๆ หรือเรื่องบ้านเกิดที่แต่ละคนคิดถึงมาเรียเดินมาหาฟลอเรสพร้อมถือลูกอมในมือ “นี่เจ้า ต้องใช้พลังงานนะ จะได้ไม่หมดแรง”ฟลอเรสรับลูกอมมาแล้วอมไว้ในปาก “ขอบใจเจ้า นี่แหละที่ทำให้ข้ายังเดินต่อไปได้”จู่ๆ เสียงร้องหัวเราะดังมาจากมุมเรือ ใครบางคนกำลังเล่นเกมทายคำกับลูกเรือคนอื่นๆ ทำให้หลายคนหยุดงานมาช่วยกันเล่นฟลอเรสเดินไปดู พบว่าเป็นบรรยากาศที่พวกเขาแทบลืมไปว่ากำลังอยู่กลางทะเลที่เต็มไปด้วยอันตราย“ถ้าพวกเจ้าลืมเรื่องร้ายๆ สักพัก ข้าก็ยินดี” ฟลอเรสพูด พลางมองไปยังฟ้