รุ่งเช้า – ริมหาดเงียบสงบ
แสงแดดอ่อนสาดลงบนร่างที่นอนนิ่งอยู่ริมฝั่ง เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาสีฟ้าอ่อนจ้องฟ้าอย่างเลื่อนลอย เส้นผมยาวสีทองพลิ้วไหวไปตามลมทะเล หยักเป็นลอนจากน้ำเค็ม เธอค่อยๆ ยันตัวลุกนั่ง ดวงหน้าสวยละมุนแต่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า “…ที่นี่…คือที่ไหนกันแน่” เธอก้มมองตัวเอง ขาทั้งสองข้างเปลือยเปล่าเปียกน้ำเล็กน้อย รอยเกล็ดหางเงือกจางหายไปหมดแล้ว ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงเสียงคลื่นเบาๆ กับเสียงลม สายตาเธอเหลือบไปเห็น จี้หอยมุกสีขาวซีด วางอยู่บนผืนทรายข้างตัว ราวกับมันถูกวางไว้ให้เธอ เธอหยิบมันขึ้นมา พลิกดูอย่างลังเล มันดูเก่าแต่แปลกตา เหมือนเป็นของสำคัญอะไรสักอย่าง แต่มันกลับไม่จุดประกายความทรงจำใดๆ เลยในหัวเธอ “…ของใคร…” เธอพึมพำเบาๆ เธอลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ เสื้อผ้าของเธอเป็นผ้าบางคลุมกายเรียบง่ายเหมือนคนหลงทาง ร่างกายเบากว่าที่คิด แต่ในหัวกลับหนักหน่วง เธอไม่รู้ว่าเคยเป็นใคร มาจากไหน หรือใครกำลังรอเธออยู่ รู้แค่…ตอนนี้เธอคือใครก็ไม่รู้ และไม่เหลืออะไรให้เป็นความทรงจำ เสียงคลื่นซัดซ้ำกับฝั่ง เธอกำจี้หอยมุกไว้แน่น หัวใจบีบรัดโดยไม่มีเหตุผล รู้แค่ว่า...มันสำคัญอย่างไม่มีคำอธิบาย แต่เธอไม่รู้ว่า เพราะใคร หรือ เพื่ออะไร ข้างหลังเธอคือท้องทะเล ข้างหน้าคือเส้นทางเดินไปยังหมู่บ้านที่ห่างไกล เธอหันกลับไปมองทะเลอีกครั้ง แววตาสับสนปนเศร้า นีร่าเดินช้าๆ ไปตามแนวทราย เปลือกหอยแตกใต้ฝ่าเท้า ลมทะเลปะทะใบหน้าจนผมปลิวมาปิดตา เธอหยุด ยกมือปัดเส้นผมออกไปด้านหลัง แล้วสูดลมหายใจอีกครั้ง ลึกเท่าที่จะทำได้ ราวกับหวังว่ากลิ่นเค็มของทะเลจะปลุกความทรงจำที่หล่นหายไป แต่ทุกอย่างเงียบ ว่างเปล่า ในหัวเธอมีเพียงเสียงคลื่นซัดซ้ำๆ ไม่มีภาพ ไม่มีชื่อ ไม่มีความรู้สึกผูกพัน เธอก้มมองจี้หอยมุกที่กำไว้ในมือ สายหนังเก่าๆ พันรอบนิ้ว เหมือนเป็นสิ่งเดียวที่หลงเหลือมาจากชีวิตที่เธอจำไม่ได้ “…ทำไมมันถึงสำคัญนักนะ…” เธอพึมพำเบาๆ นีร่ายืนอยู่นานจนปลาตัวเล็กๆ โผล่มาใกล้ฝั่ง ว่ายวนดูเธอเหมือนสงสัย เธอก็จ้องกลับไป รู้สึกแปลก เหมือนเคยอยู่กับพวกมัน แต่ก็จำไม่ได้ว่าตอนไหน เธอหลับตา พยายามนึก พยายามจะคว้าเศษเสี้ยวความทรงจำอะไรสักอย่าง แต่ยิ่งเพ่ง ใจก็ยิ่งว่าง มีเพียงความเจ็บแปลบแถวอก—ความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างถูกดึงออกไป เธอลืมตาอย่างช้าๆ หันหลังให้ทะเลอย่างคนหมดแรง “…ขอโทษ…” เธอแค่รู้ว่าข้างหลังคือทะเลที่คุ้นเคย แต่วันนี้กลับรู้สึกไกลเกินจะย้อนกลับไป เท้าเปล่าของเธอเหยียบทรายชื้นๆ ทีละก้าว เดินไปทางหมู่บ้านที่มองเห็นเงาห่างไกล พอพ้นโขดหิน เธอก็เห็นควันที่ลอยขึ้นจากปล่องไฟ บอกว่ามีคนอยู่ เธอเดินเข้าไปอีกหน่อยจนเห็นเด็กเล็กๆ กำลังเล่นกันริมบ่อ เด็กสองคนชะงักเมื่อเห็นเธอเดินเท้าเปล่ามา ผมเปียก หัวกระเซอะกระเซิง หน้าซีดเหมือนคนเพิ่งเจอกับสิ่งร้ายเเรงมา เด็กคนหนึ่งรีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน อีกคนยืนจ้องตาโต นีร่ายกมือขึ้น จะทัก แต่เสียงหายไปในลำคอ เธอไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะบอกว่าตัวเองเป็นใคร “…ข้าขอโทษ…” คำเดียวที่หลุดออกมา ประตูไม้บ้านหลังนึงเปิดออก หญิงชราสวมผ้าคลุมสีเทาเดินออกมา มองเธออย่างระแวง “เจ้ามาจากไหน?” เสียงหญิงชราดังเข้าหู เธอเม้มปาก ไม่ตอบ “หลงเรือมา? หรือหนีจากที่ไหน?” นีร่ายกมือแตะอก ลมหายใจขาดเป็นช่วงๆ “…ข้า…จำไม่ได้…” หญิงชราขมวดคิ้ว มองตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วมองไปทางทะเล “คนไม่มีความทรงจำ…แต่มีจี้หอยมุก…” นีร่าเงยหน้าขึ้นทันที “นี่…มันคืออะไร…” หญิงชราจ้องจี้ในมือเธอ สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “มีคนเคยบอกว่า…จี้แบบนี้ คนชาวเรือมักทำให้คนรัก เป็นของปกป้องเวลาเดินทาง” “คน…รัก…” หัวใจเธอสะดุด เจ็บจี๊ดจนหน้าชา “…แต่ข้าจำไม่ได้…” เสียงเธอสั่น หญิงชราถอนใจเบาๆ “ถ้าเจ้าหลงมา ข้าจะให้ข้าว ให้น้ำ…แล้วค่อยหาทางติดต่อหัวหน้าเมืองดู เผื่อจะมีใครตามหาเจ้า” นีร่าอยากขอบคุณ แต่เสียงหายไป เธอแค่พยักหน้าช้าๆ หญิงชราพาเธอเดินเข้าไปในบ้านหลังเล็ก กลิ่นควันไฟกับสมุนไพรตลบอยู่ในอากาศ อุ่นกว่าด้านนอก เธอรู้สึกมึนหัวแต่ก็ฝืนเดินตาม “นั่งตรงนั้นก่อน” หญิงชราผายมือให้ เธอค่อยๆ ทรุดนั่งบนเก้าอี้ไม้เก่า ขาอ่อนแรงจนแทบล้ม บนฝาผนังมีภาพวาดทะเลและเรือ เธอมองแล้วรู้สึกเศร้าอย่างไม่มีเหตุผล มือเธอกำจี้หอยมุกไว้แน่นทั้งที่สมองไม่รู้ว่ามันสำคัญเพราะอะไร “…ถ้าเขามีจริง…เขาคือใคร…” เธอไม่กล้าถามเสียงดัง เพราะกลัวว่าคำตอบจะเจ็บยิ่งกว่า หญิงชราเอาถ้วยน้ำมาให้ เธอรับไว้ จิบช้าๆ น้ำอุ่นช่วยให้เธอหายสั่น แต่ในอกยังหนาวอยู่ หญิงชราหายไปหลังม่านสักพัก แล้วกลับออกมาพร้อมผ้าแห้งผืนหนึ่ง “เช็ดตัวเสีย เดี๋ยวไม่สบาย” นีร่าเช็ดแขนเช็ดหน้า เห็นคราบเกลือขาวๆ ตามผิว พอมือสัมผัสเกล็ดบางๆ ตรงข้อเท้า เธอสะดุ้งร่องรอยความเป็นเงือกยังไม่จางหมด แต่พลังที่เคยมีหายไปเหมือนฝัน เธอพยายามเรียกมัน แต่ไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่มีแสง ไม่มีแรง ไม่มีเสียงในหัว เหมือน…ตัดขาดจากทะเลไปแล้วจริงๆ เธอวางมือลงช้าๆ จ้องพื้นไม้เงียบงัน หญิงชรามองอยู่นานก่อนจะพูดช้าๆ “บางที…การลืมอาจเป็นพร…” นีร่าเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาสั่น “…พร?” “ใช่…ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องรอ…” เธอเม้มปาก หัวใจเหมือนถูกบีบ “…แต่ข้ารู้สึกเจ็บ…ทั้งที่ไม่รู้ว่ากำลังเสียใจเรื่องอะไร…” หญิงชรานิ่งไป เหมือนจะเข้าใจ แต่ไม่พูดต่อ นีร่าไม่ถามอีก เธอไม่มีแรงจะซักไซ้ ไม่มีแรงจะอยากรู้อะไรแล้ว คืนนั้น เธอขอนอนที่มุมห้องบนเสื่อฟางผืนเก่า ม้วนผ้าห่มจนถึงคาง มือยังกำจี้หอยมุกไว้ เธอหลับตา น้ำตาไหลช้าๆ เพราะหัวใจเจ็บ ทั้งคืน เธอฝันซ้ำๆ ว่าเดินอยู่ริมทะเล ใครบางคนยื่นมือมาเรียก แต่เธอเดินผ่านไปเหมือนไม่เห็น ทุกครั้งที่หันกลับไป รอยเท้าคนนั้นก็เลือนหายไปกับคลื่น พอตื่นเช้า หัวใจก็หนักกว่าเดิม เธอลุกนั่งช้าๆ มองแสงเช้าที่ลอดรอยไม้ “…นี่คือสิ่งที่ข้าเลือก…” เธอกำจี้แน่น พึมพำเหมือนบอกตัวเอง “ข้าเลือก…ที่จะลืม…” แต่หัวใจยังปวด หญิงชราเอาข้าวต้มมาให้ เธอกิน ไม่เงยหน้ามองใคร พอแดดขึ้นสูง เธอบอกหญิงชราว่าอยากออกไปเดินดูรอบๆ “เจ้ามั่นใจหรือ” “ข้า…ต้องหาทางอยู่ต่อไป…” เสียงเธอสั่น แต่สายตานิ่ง หญิงชราเพียงพยักหน้า นีร่าเดินออกจากบ้าน เหยียบทรายอุ่นๆ ทีละก้าว เธอหันกลับไปมองทะเลอีกครั้ง น้ำตารื้นแต่ไม่ร้อง “…ลาก่อน…” เธอหันหลังเดินไป ห่างจากทะเลทีละนิด จนคลื่นซัดหลังเท้าไม่ได้อีก มือที่กำจี้หอยมุกยกขึ้นมองแสงอาทิตย์ มันส่องประกายจางๆ เหมือนเศษเสี้ยวอดีต เธอวางมันลงบนอก หลับตา สูดลมหายใจช้าๆ หัวใจเธอยังเต้น แต่ไม่รู้ว่ากำลังรอใคร และนั่น…อาจเป็นราคาที่เธอจะต้องจ่ายไปตลอดชีวิตนีร่าเดินไปตามทางดินที่แคบลง ล้อมด้วยพุ่มไม้เตี้ยและรั้วไม้ผุพัง กลิ่นหญ้าแห้งคลุ้งในอากาศหมู่บ้านเล็กๆ เงียบเชียบ มีเสียงสุนัขเห่าอยู่ไกลๆ กับเสียงฆ้อนตอกตะปูดังเป็นจังหวะเธอเดินไปจนถึงลานโล่งหน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่มีชายวัยกลางคนกำลังซ่อมเรือลำเล็กชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมอง ร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำกร้านแดด ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความระแวง“มองหาใคร?”เสียงแหบต่ำทำให้เธอชะงัก นีร่ากำจี้หอยมุกไว้แน่นจนเจ็บนิ้ว“...เปล่า...ข้าแค่เดินดู...”ชายคนนั้นมองตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นผิวซีด ผมยาวเปียกยุ่ง และแววตาที่ว่างเปล่า“เจ้าหลงมา?”เธอหลบตา ไม่ตอบ“นั่นจี้หอยมุก?”นีร่าเงยหน้าทันที“เจ้า...รู้จักมันหรือ?”ชายคนนั้นถอนใจ วางฆ้อนลงบนขอบเรือ “ข้าแค่เคยเห็นคนชาวเรือมี พวกที่ต้องจากบ้านนานๆ มักให้คนรักไว้...มันคือสัญญา ว่าจะกลับมา”สัญญา...คำนี้เหมือนแทงใจเธอจนเจ็บจี๊ด นีร่าสูดลมหายใจ ลมหายใจที่เหมือนเต็มไปด้วยหนาม“แต่ข้า...จำไม่ได้...”เสียงเธอเหมือนกระซิบ ชายคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอื้อมมือไปหยิบถังน้ำขึ้นมาวางข้างตัว“จะหาที่พักหรือจะถามข่าวคนในหมู่บ้าน ไปบ้านยายเมรินนั่นแหละ เธอรู้จักคนแถวนี้ดี”
รุ่งเช้า – ริมหาดเงียบสงบแสงแดดอ่อนสาดลงบนร่างที่นอนนิ่งอยู่ริมฝั่ง เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาสีฟ้าอ่อนจ้องฟ้าอย่างเลื่อนลอยเส้นผมยาวสีทองพลิ้วไหวไปตามลมทะเล หยักเป็นลอนจากน้ำเค็ม เธอค่อยๆ ยันตัวลุกนั่ง ดวงหน้าสวยละมุนแต่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า“…ที่นี่…คือที่ไหนกันแน่”เธอก้มมองตัวเอง ขาทั้งสองข้างเปลือยเปล่าเปียกน้ำเล็กน้อย รอยเกล็ดหางเงือกจางหายไปหมดแล้วไม่มีเสียงตอบ มีเพียงเสียงคลื่นเบาๆ กับเสียงลมสายตาเธอเหลือบไปเห็น จี้หอยมุกสีขาวซีด วางอยู่บนผืนทรายข้างตัว ราวกับมันถูกวางไว้ให้เธอเธอหยิบมันขึ้นมา พลิกดูอย่างลังเล มันดูเก่าแต่แปลกตา เหมือนเป็นของสำคัญอะไรสักอย่างแต่มันกลับไม่จุดประกายความทรงจำใดๆ เลยในหัวเธอ“…ของใคร…” เธอพึมพำเบาๆเธอลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ เสื้อผ้าของเธอเป็นผ้าบางคลุมกายเรียบง่ายเหมือนคนหลงทาง ร่างกายเบากว่าที่คิด แต่ในหัวกลับหนักหน่วงเธอไม่รู้ว่าเคยเป็นใคร มาจากไหน หรือใครกำลังรอเธออยู่รู้แค่…ตอนนี้เธอคือใครก็ไม่รู้ และไม่เหลืออะไรให้เป็นความทรงจำเสียงคลื่นซัดซ้ำกับฝั่งเธอกำจี้หอยมุกไว้แน่น หัวใจบีบรัดโดยไม่มีเหตุผล รู้แค่ว่า...มันสำคัญอย่างไม่มีคำอธิบาย
จากนั้นมือของเธอที่จุ่มลงในบ่อก็เริ่มร้อนขึ้นจากข้างในแผลเริ่มเปลี่ยนสี จากแดงกลายเป็นฟ้าอ่อน แล้วก็จางหายไปเหมือนละลายเข้ากับน้ำแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปไม่ใช่แค่แผล…ร่างของเธอเริ่มส่องแสงอีกครั้ง หางของเธอยาวขึ้นเล็กน้อย ครีบข้างหลังขยายออกเหมือนกำลังคืนสภาพเงือกเต็มตัวเธอหลับตาแน่น รู้สึกถึงบางอย่างในอกที่กำลังเปลี่ยนไปมันไม่ใช่แค่ร่างกาย…มันคือหัวใจเสียงนั้นกลับมาดังอีก> “ตอนนี้…เลือดเจ้าได้รับการชำระแล้ว…เลือดของเงือกจะเข้มข้นขึ้น…เจ้าต้องเลือก…”> “จะอยู่ใต้ทะเลตลอดไป…หรือจะกลับขึ้นไปยังโลกบนบก…ในฐานะมนุษย์…”หัวใจของนีร่ากลับมาเต้นแรงอีกครั้ง—เหมือนกำลังจะระเบิดสองทาง…ไม่มีทางเลือกไหนที่ไม่เสียใจอยู่ใต้ทะเล…ก็ต้องลาจากเขากลับขึ้นบก…ก็ต้องทิ้งตัวตนที่แท้จริงเธอสะอื้นออกมา น้ำตาไหลทั้งที่ไม่มีใครได้ยินเธอนั่งอยู่ตรงนั้นนานมาก นิ่งจนปลาตัวเล็กๆ กล้าว่ายมาเกาะไหล่จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจลึก“ข้า…ข้าอยากจะกลับไปหาเขา…แต่…”เธอมองรอบตัว มองทะเลที่โอบล้อมเธอไว้เสมอ“ข้าก็อยากปกป้องที่นี่เหมือนกัน…”มือของเธอสั่น แต่หัวใจกลับนิ่งขึ้น“ข้าขอ…แค่โอกาสได้เลือกอีกครั้ง…”
นีร่าว่ายลึกลงไปเรื่อยๆ จนแสงจันทร์ข้างบนเริ่มหายไปหมด รอบตัวมีแต่ความมืดกับเสียงน้ำโอบล้อม ทุกครั้งที่เธอขยับหาง สีเงินก็วูบวาบอยู่แค่พริบตาแล้วดับไปหัวใจเธอเต้นแรงขึ้น เพราะเธอไม่เคยลงมาถึงที่นี่มาก่อนข้างหน้า…มองแทบไม่เห็นอะไร แต่พอลมหายใจเธอเริ่มชินกับน้ำเย็นๆ ตาเธอก็ค่อยๆ ชินกับความมืดเธอเห็นพื้นทรายกว้างใหญ่ มีก้อนหินเรียงกันเป็นวงๆ เหมือนมีใครตั้งใจวางไว้ บนนั้นมีสัญลักษณ์เก่าแก่ที่เธออ่านไม่ออก แต่หัวใจเธอกลับรู้สึกคุ้นแปลกๆ เหมือนมันเรียกเธออยู่นีร่าว่ายเข้าไปใกล้ แล้วเธอก็เห็นใครบางคนนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงกลางวงหินเป็นร่างสูงใหญ่ หลังโค้งงอ หางยาวสีเข้มพันรอบหิน ผมยาวสีขาวลอยตามน้ำเหมือนเงาต้นสาหร่ายหัวใจเธอเต้นแรงจนเจ็บอก เธอรู้ทันทีว่า…ผู้เฒ่าเงือกเธอเคยได้ยินตำนานมาแต่เด็ก ว่าใต้ทะเลลึกจะมีเงือกเฒ่าผู้เฝ้าความลับของท้องทะเลมานับร้อยปีนีร่ากลืนน้ำลาย ฝ่ามือสั่นนิดๆ แต่ก็ว่ายเข้าไปช้าๆ จนอยู่ห่างกันไม่ถึงสิบก้าวร่างนั้นยังนั่งนิ่ง ไม่ขยับ ไม่พูด เหมือนรูปปั้นเก่าๆ ที่มีชีวิตนีร่าหายใจเข้าลึก สูดเอากลิ่นทะเลที่หนาวกว่าเดิมเข้าปอด ก่อนจะตัดสินใจพูดเสียงแผ่ว“…ท่าน…คือผู
ใต้น้ำ – หลังจากนีร่าดำลงทะเลทันทีที่ร่างของนีร่าจมลงใต้ผิวน้ำ ทุกอย่างรอบตัวเธอก็เปลี่ยนไปความหนาวจากลมด้านบนค่อยๆ หายไป แทนที่ด้วยความสงบของทะเลลึกผิวของเธอเริ่มเปล่งแสงฟ้าอ่อน ครีบที่หลังขากางออกอย่างช้าๆ หางสีเงินสะท้อนกับแสงจันทร์ที่ส่องทะลุผืนน้ำลงมาเธอหลับตา สูดหายใจลึก—หรือจะเรียกว่ารับพลังจากทะเลก็ไม่ผิด"ในที่สุด...ข้าก็ได้กลับมา" เธอคิดในใจสายตาเธอกวาดมองรอบตัว แล้วก็ต้องยิ้มออกมาอย่างดีใจฝูงเต่าทะเลตัวโตสองสามตัวว่ายผ่านหน้าไปช้าๆ หนึ่งในนั้นหันมามองเธอเหมือนจำได้ปลาสีสันสดใสแหวกว่ายระหว่างแนวปะการัง ทั้งปลาการ์ตูน ปลานกแก้ว และฝูงปลาเล็กๆ ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มวูบวาบสาหร่ายทะเลพลิ้วไหวตามกระแสน้ำ เหมือนกำลังเต้นรำต้อนรับเธอกลับบ้านมีปลากระเบนตัวใหญ่ลอยอยู่ใกล้พื้นทราย เคลื่อนไหวเงียบๆ อย่างสง่างามแสงจันทร์ลอดผ่านผืนน้ำ เป็นลำแสงสีเงินสวยงามที่ส่องรอบตัวเธอนีร่ายิ้ม น้ำตาซึมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว—แต่เป็นน้ำตาแห่งความสุขเพราะทะเล…คือที่เดียวที่ไม่เคยผลักไสเธอทุกครั้งที่โลกด้านบนโหดร้าย ทะเลจะโอบรับเธอไว้เสมอร่างเธอว่ายลึกลงไปช้าๆ ผ่านแนวหินใต้น้ำที่คุ้นเคย ราวกับเป
ยามค่ำคืน – ริมชายฝั่งที่เงียบสงัด คลื่นทะเลซัดกระทบโขดหินเป็นจังหวะ สายลมเย็นปะทะผิวจนหนาวสะท้าน ดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงจ้าเหนือผืนน้ำสีหมึก นีร่ายืนอยู่บนผืนทราย แผลที่แขนยังพันผ้าแน่น แต่เลือดยังซึมออกไม่หยุด ข้างเธอ อีธานยืนเงียบ เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่จ้องมองหน้าเธอราวกับอยากจำทุกรายละเอียดไว้ให้ขึ้นใจ นีร่าหันมามองเขา ดวงตาสองคู่สบกันในความเงียบ “ข้าจะรีบกลับมา” เธอเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงสั่น อีธานพยักหน้า แต่สายตาเขาเต็มไปด้วยห่วง “นานแค่ไหน?” “ข้าไม่รู้…” นีร่ากลืนน้ำลาย “แค่ไม่กี่วัน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด” อีธานถอนหายใจ มือใหญ่ลูบผมเธออย่างแผ่วเบา “เจ้าพูดเหมือนมันจะง่าย” “มันไม่ง่าย” เธอยิ้มจางๆ “แต่ข้าต้องลอง” เขาเงียบไปนาน ก่อนจะหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งจากเอว ด้ามเป็นเหล็กเรียบเรียง เส้นคมคมกริบ “เอาไว้ป้องกันตัว” นีร่ารับมาไว้ในมือ สายตาเธอเริ่มพร่า เธอขยับเข้าไปใกล้ โอบแขนรอบตัวเขาแน่น “ข้ากลัว…” เธอกระซิบ “กลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้าอีก” “ข้าก็กลัวเหมือนกัน” เขากอดเธอแน่นยิ่งกว่าเดิม “แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเข้มแข็งกว่าใคร ข้าจ