Share

บทที่ 3

Author: yourcaffeine
last update Last Updated: 2025-06-28 12:39:30

กาลเวลาในเรือนซิงอวิ๋นคล้ายกับหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงหยาดฝนที่แปรเปลี่ยนจากเสียงสาดซัดรุนแรงมาเป็นเสียงพรำๆ แผ่วเบาที่ยังคงบ่งบอกว่าโลกภายนอกยังคงหมุนต่อไป น้ำหวาน—หรือตอนนี้คือจ้าวลี่อิง ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้แข็งกระด้าง ร่างกายอ่อนล้าจนแทบไม่รู้สึกถึงความแข็งของมันอีกต่อไป แต่สมองของนางกลับทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน

หลังจากที่สาวใช้ทั้งสองวิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนก ทิ้งนางไว้กับความเงียบอีกครั้ง จ้าวลี่อิงก็เริ่มทำในสิ่งที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพึงกระทำเมื่อเผชิญหน้ากับเคสผู้ป่วยที่ซับซ้อน... นั่นคือการประเมินสภาพร่างกายอย่างละเอียดและเป็นระบบที่สุดเท่าที่จะทำได้

นางเริ่มต้นจากระบบที่สำคัญที่สุดในตอนนี้: ระบบหัวใจและหลอดเลือด

‘การเต้นของหัวใจ...’ นางหลับตาลง เพ่งสมาธิไปที่จังหวะการเต้นในอก

 กลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น แต่ยังคงมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นระยะ ๆ จังหวะจะเร็วขึ้น สลับกับช่วงที่เต้นช้าลงและมีจังหวะที่ขาดหายไป นี่คือผลกระทบโดยตรงจากพิษกลุ่มคาร์ดิโอไกลโคไซด์ที่ยังตกค้างอยู่ในระบบ แม้จะขับพิษส่วนใหญ่ออกไปแล้ว แต่กล้ามเนื้อหัวใจได้รับความเสียหายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ในโลกเดิมคงต้องทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและให้ยาควบคุมการเต้นของหัวใจ แต่ในที่นี่ทำได้เพียงพักผ่อนให้มากที่สุดและหลีกเลี่ยงสภาวะที่จะกระตุ้นให้หัวใจทำงานหนัก

นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ความเสียหายต่อหัวใจอาจเป็นภาวะถาวร ซึ่งจะกลายเป็นจุดอ่อนร้ายแรงของร่างนี้ไปตลอดชีวิต

ต่อมาคือระบบประสาท

การรับรู้ยังสมบูรณ์ สติสัมปชัญญะครบถ้วน ความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมยังคงอยู่แม้จะขาดหายไปบ้าง แต่ยังมีอาการกล้ามเนื้อสั่น โดยเฉพาะที่มือและเท้า ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากพิษที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมัดเล็กยังไม่เสถียร การจะทำงานที่ต้องการความละเอียดอ่อน อย่างเช่นการเขียนหนังสือหรือเย็บปักถักร้อย คงเป็นไปได้ยากในระยะนี้ 

นางลองยกมือขึ้นมาดูตรงหน้า ปลายนิ้วเรียวเล็กยังคงสั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ นี่อาจเป็นข้อดี... มันช่วยเสริมภาพลักษณ์ ‘คนป่วยที่อ่อนแอ’ ของนางได้เป็นอย่างดี

จากนั้นคือระบบทางเดินอาหาร

นี่คือส่วนที่เสียหายหนักที่สุด

นางรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดแสบร้อนที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ภายในช่องท้อง เยื่อบุหลอดอาหารและกระเพาะอาหารถูกพิษกัดกร่อนอย่างรุนแรง มีแผลอักเสบเกิดขึ้นแน่นอน การดูดซึมสารอาหารจะมีปัญหาอย่างมากในระยะแรก อาหารทุกอย่างที่กินเข้าไปต้องเป็นของเหลวที่ย่อยง่ายที่สุด อ่อนที่สุด และไม่ระคายเคืองแผลโดยเด็ดขาด... ข้าวต้มขาว... คือสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้

และสุดท้าย... คือสภาพโดยรวมของร่างกาย...

ภาวะขาดสารอาหารรุนแรงและเรื้อรัง

นางใช้มือลูบไปตามแขนขาของตนเอง สัมผัสได้ถึงกระดูกที่ปูดโปนใต้ชั้นผิวหนังที่แทบไม่มีไขมันหรือกล้ามเนื้อเลย กล้ามเนื้อฝ่อลีบจากการไม่ใช้งานและการขาดโปรตีน มีภาวะโลหิตจาง  อย่างชัดเจน สังเกตได้จากผิวที่ซีดขาวราวกับกระดาษ เปลือกตาด้านในที่ไร้สีเลือด และอาการอ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ... ร่างกายนี้ถูกทอดทิ้งและค่อยๆ ทำให้ทรุดโทรมลงอย่างเป็นระบบมานานหลายปี... ไม่ใช่แค่ยาพิษถ้วยสุดท้ายเท่านั้นที่ฆ่านาง แต่คือการทารุณกรรมอย่างช้าๆ ตลอดชีวิตของนางต่างหาก

เมื่อการประเมินสิ้นสุดลง ข้อสรุปก็ชัดเจน... ร่างกายนี้เปรียบเสมือนบ้านไม้ที่ผุพัง โดนทั้งปลวกกินและพายุซัด มันคือปาฏิหาริย์ที่ยังคงตั้งอยู่ได้ และภารกิจแรกที่สำคัญที่สุดของนางก็คือการซ่อมแซมบ้านหลังนี้ให้กลับมาแข็งแรงพอที่จะทนต่อพายุลูกต่อไปที่กำลังจะมาถึงให้ได้

นางต้องหาอาหาร... ต้องหาน้ำสะอาด...

แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ขยับตัว เสียงฝีเท้าจำนวนมากก็ดังใกล้เข้ามาจากด้านนอก มันไม่ใช่เสียงฝีเท้าที่รีบร้อนของสาวใช้สองคนนั้น แต่เป็นเสียงย่ำเท้าที่หนักแน่นและพร้อมเพรียงกัน บ่งบอกถึงขบวนของคนกลุ่มใหญ่ที่มีผู้นำซึ่งเปี่ยมด้วยอำนาจ

หัวใจของนางเต้นผิดจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง... พายุลูกแรก... มาเร็วกว่าที่คิด

ประตูเรือนซิงอวิ๋นที่เคยถูกถีบเปิดอย่างไม่ไยดี บัดนี้ถูกผลักออกอย่างนุ่มนวลโดยบ่าวรับใช้ที่แต่งกายสะอาดสะอ้านสองคน พวกนางยืนก้มหน้าสำรวมอยู่ที่ข้างประตู เปิดทางให้ร่างของสตรีผู้หนึ่งก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ ราวกับนางพญาหงส์

ผู้มาเยือนคือสตรีวัยกลางคนที่ยังคงความงดงามไว้อย่างสมบูรณ์แบบ นางสวมอาภรณ์ผ้าไหมต่วนสีน้ำเงินเข้มปักลายดอกโบตั๋นด้วยดิ้นทองอย่างประณีต ผมดำขลับของนางถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยสูงประดับด้วยปิ่นหยกขาวเนื้อดีและปิ่นทองระย้าที่แกว่งไกวเบาๆ ทุกย่างก้าว ใบหน้าของนางแต่งแต้มไว้อย่างบางเบาแต่กลับขับเน้นให้เครื่องหน้าดูงดงามไร้ที่ติ มุมปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ดูเปี่ยมด้วยเมตตาและเอื้ออารี แต่ดวงตาคู่หงส์ที่เรียวรีของนางนั้น... กลับนิ่งสงบและเย็นเยียบราวกับผืนน้ำในฤดูหนาวที่ลึกจนไม่อาจหยั่งถึงได้

นางคือ จ้าวฮูหยิน แม่เลี้ยงของจ้าวลี่อิง และเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของฝ่ายในแห่งจวนเสนาบดีแห่งนี้

ด้านหลังของนาง มีบ่าวรับใช้ติดตามมาอีกสี่ห้าคน และที่สำคัญ... มีชายชราผู้หนึ่งในชุดผ้าไหมสีเทาหม่น สะพายกล่องยาไม้ใบเล็ก เดินตามมาด้วยท่าทีนอบน้อม... หมอหลวงประจำตระกูล

จ้าวฮูหยินกวาดสายตามองไปทั่วห้องที่ซอมซ่อและสกปรก ในแววตาของนางฉายแววรังเกียจออกมาวูบหนึ่งก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว แล้วนางก็หันมาจับจ้องที่ร่างของจ้าวลี่อิงซึ่งนอนอยู่บนเตียง รอยยิ้มของนางกว้างขึ้นเล็กน้อย

“ลี่อิง... ลูกแม่...” น้ำเสียงของนางนุ่มนวลและอ่อนหวานจนน่าขนลุก “แม่ได้ยินข่าวจากพวกบ่าวว่าเจ้าไม่สบายหนักจนล้มฟุบไป พอแม่ได้ยินใจแทบสลาย รีบตามท่านหมอมาดูอาการเจ้าทันที... เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้... แม่ปวดใจเหลือเกิน”

นางเดินเข้ามานั่งลงที่เก้าอี้ไม้เก่าๆ ตัวหนึ่งข้างเตียง ซึ่งสาวใช้คนสนิทรีบนำเบาะรองนั่งผ้าไหมมาวางให้ก่อนที่นายหญิงของตนจะหย่อนกายลงนั่ง ท่าทีของนางดูเป็นห่วงเป็นใยอย่างที่สุด ราวกับเป็นมารดาผู้ประเสริฐที่รักใคร่ในตัวบุตรสาวเลี้ยงอย่างสุดหัวใจ

จ้าวลี่อิงซึ่งนอนอยู่บนเตียง รับรู้ได้ถึงอันตรายที่แฝงมากับทุกถ้อยคำและทุกรอยยิ้ม นางเป็นหมอนิติเวช ซึ่งแน่นอนว่าคุ้นเคยกับการเผชิญหน้ากับฆาตกรที่สวมหน้ากากคนดีมานับไม่ถ้วน และรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวจ้าวฮูหยินคนนี้ มันชัดเจนเสียยิ่งกว่าคำสารภาพใดๆ

ถ้าต้องตอบสนองกับท่าทางของคนเหล่านี้ล่ะก็

จะแสร้งทำเป็นจ้าวลี่อิงคนเดิมที่เอาแต่ก้มหน้าตัวสั่นและไม่พูดไม่จา ไม่ นั่นอาจทำให้จ้าวฮูหยินสงสัยว่าเหตุใดนางจึงรอดชีวิตมาได้ และอาจลงมือซ้ำอีกครั้งให้แน่ใจว่านางตายสนิทจริงๆ

จะลุกขึ้นมาโวยวายและกล่าวหาว่านางเป็นคนวางยาพิษ นี่ก็ไม่ได้ นั่นคือการฆ่าตัวตายที่โง่เขลาที่สุด นางไม่มีหลักฐาน ไม่มีพยาน ไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะไปต่อกรกับสตรีที่อยู่ตรงหน้านี้ได้

ดังนั้น จึงมีเพียงทางเลือกเดียว คือสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมา

ตัวตนของเด็กสาวที่เพิ่งจะรอดตายมาอย่างหวุดหวิด... อ่อนแอ... สับสน... และสูญเสียความทรงจำบางส่วนไป

จ้าวลี่อิงลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตาของนางจงใจทำให้ดูเหม่อลอยและไม่โฟกัสไปที่ใดเป็นพิเศษ นางมองไปที่ใบหน้าอันงดงามของจ้าวฮูหยิน แล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่แหบพร่าและเบาหวิว

“...ท่าน... คือ... ท่านแม่?”

คำพูดของนางทำให้รอยยิ้มของจ้าวฮูหยินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “ใช่แล้วลูกรัก... แม่เอง... ดูเหมือนเจ้าจะยังสับสนอยู่มากสินะ”

“ข้า... ปวดหัว...” จ้าวลี่อิงเอ่ยต่อ พลางยกมือที่สั่นเทาขึ้นมากุมขมับ “ในหัว... มันว่างเปล่า... ข้า... จำอะไรไม่ค่อยได้เลยเจ้าค่ะ...”

นี่คือหมากตัวแรกที่นางวางลงบนกระดาน... การอ้างว่าความจำเสื่อม มันเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในตอนนี้ มันสามารถอธิบายพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของนางได้ทุกอย่าง และยังทำให้นางสามารถ "เรียนรู้" เรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาใหม่ได้โดยไม่ถูกสงสัย

ดวงตาของจ้าวฮูหยินหรี่ลงเล็กน้อย นางจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของจ้าวลี่อิงราวกับจะค้นหาความจริง “จำอะไรไม่ได้เลยรึ? แม้แต่เรื่องที่เจ้ากำลังจะ... แต่งงาน?” นางจงใจเน้นคำว่าแต่งงาน เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของเด็กสาว

คนบนเตียงแสร้งทำสีหน้าสับสนยิ่งกว่าเดิม “แต่ง... งาน? ข้า... ข้าต้องแต่งงานหรือเจ้าคะ?”

จ้าวฮูหยินมองนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ในใจกำลังประเมินอย่างรวดเร็ว เด็กคนนี้ดูเปลี่ยนไปจริงๆ ไม่ใช่แค่ท่าทาง แต่เป็นแววตา... แววตาที่เคยว่างเปล่าและหวาดกลัวอยู่เสมอ บัดนี้กลับดู... ใสซื่อและสับสน ราวกับเด็กทารกที่เพิ่งลืมตาดูโลก

‘...หรือว่าพิษจะทำลายสมองของมันไปแล้วจริงๆ? ทำให้มันโง่ยิ่งกว่าเดิม?’ จ้าวฮูหยินคิดในใจ ‘...ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี... เด็กโง่ที่ความจำเสื่อมย่อมควบคุมได้ง่ายกว่าเด็กโง่ที่อมทุกข์’

“เอาเถิดๆ” นางแสร้งถอนหายใจอย่างโล่งอก “จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ นึกไป เดี๋ยวก็จำได้เอง สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือร่างกายของเจ้า ท่านหมอหลี่ เชิญตรวจดูอาการของคุณหนูสามเถิด”

หมอหลวงที่ยืนรออยู่รีบเดินเข้ามานั่งลงที่ข้างเตียงอีกฝั่งหนึ่ง เขาวางกล่องยาลงแล้วยื่นมือออกมาเพื่อจะจับชีพจรที่ข้อมือของจ้าวลี่อิง

นางปล่อยให้เขาจับข้อมือไป แต่นัยน์ตาของนางจับจ้องทุกการกระทำของเขาอย่างละเอียด

วางนิ้วผิดตำแหน่ง... นี่มันตำแหน่งของเส้นเอ็น ไม่ใช่ตำแหน่งของหลอดเลือดแดงเรเดียล 

แล้วนั่นใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางกดลงไปตรงๆ ด้วยน้ำหนักเท่ากัน จะแยกแยะความแรงกับความเร็วของชีพจรได้หรือ ช่างหยาบกระด้างอะไรเพียงนี้

ท่านหมอหลี่ขมวดคิ้วมุ่นอยู่ครู่ใหญ่ ชีพจรของคุณหนูใหญ่นั้นแปลกประหลาดอย่างยิ่ง มันทั้งเบาและเร็ว แต่บางครั้งก็เต้นสะดุดไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาไม่เคยเจอชีพจรแบบนี้มาก่อน แต่เขาจะพูดความจริงออกไปต่อหน้าจ้าวฮูหยินไม่ได้เด็ดขาด เพราะฮูหยินย่อมรู้ดีที่สุดว่านางใส่อะไรลงไปในยาถ้วยนั้น หน้าที่ของเขาคือการพูดในสิ่งที่ฮูหยินต้องการจะได้ยิน

“เรียนฮูหยิน” หมอหลี่กล่าวหลังจากปล่อยข้อมือของจ้าวลี่อิง “ชีพจรของคุณหนูใหญ่ยังคงอ่อนและสับสนอยู่มากขอรับ น่าจะเกิดจากร่างกายที่อ่อนแอมาแต่เดิม ประกอบกับอาการป่วยกะทันหัน ทำให้พลังชี่และเลือดลมติดขัดอย่างรุนแรง... แต่โชคดีที่คุณหนูยังเยาว์วัย พลังชีวิตยังคงแข็งแกร่ง จึงสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างน่าอัศจรรย์... นับเป็นบุญของตระกูลจ้าวโดยแท้ขอรับ”

มันเป็นคำวินิจฉัยที่ว่างเปล่าและไม่มีแก่นสารใดๆ เป็นการปัดความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้ "ร่างกายที่อ่อนแอ" และยกความดีความชอบให้ "พลังชีวิตที่แข็งแกร่ง" เป็นวิธีเอาตัวรอดของหมอหลวงในจวนขุนนางโดยแท้

จ้าวฮูหยินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “แล้วนางเป็นอันตรายถึงชีวิตหรือไม่?”

“ไม่แล้วขอรับ” หมอหลี่ยืนยัน “เพียงแต่ต้องได้รับการบำรุงอย่างดีต่อไปอีกระยะหนึ่ง แล้วก็จะค่อยๆ กลับมาแข็งแรงดังเดิม”

“ดีมาก” จ้าวฮูหยินกล่าว ก่อนจะหันกลับมาทางจ้าวลี่อิงด้วยรอยยิ้มเดิม “ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ลูกรัก เจ้าปลอดภัยแล้ว ต่อไปนี้แม่จะให้คนดูแลเจ้าอย่างดีที่สุด จะไม่ให้เจ้าต้องลำบากอีกต่อไป”

นี่คือจุดที่จ้าวลี่อิงต้องวางหมากตัวต่อไป นางจะปล่อยให้พวกเขาปิดคดี "ป่วยประหลาด" นี้ไปง่ายๆ ไม่ได้ นางต้องสร้างข้อสงสัย... สร้างทางเลือกอื่นของเรื่องราวขึ้นมา... เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและปกป้องตัวเอง

“ท่านแม่...” นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแหบพร่า “ข้า... ข้าไม่รู้ว่าข้าเป็นอะไรไป... แต่ก่อนที่ข้าจะหมดสติไป... ในท้องของข้ารู้สึกร้อนเหมือนมีไฟ... หัวใจก็เต้นแรงมาก... แรงเหมือนนกน้อยที่พยายามจะบินหนีออกจากอก... แล้วบางทีมันก็... หยุดไป... เหมือนไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นเลย...”

นางจงใจใช้คำเปรียบเทียบแบบเด็กๆ แต่เนื้อหาที่บรรยายกลับเป็นอาการของภาวะพิษต่อหัวใจอย่างตรงไปตรงมา มันทำให้นัยน์ตาของท่านหมอหลี่ฉายแวบประหลาดใจออกมาวูบหนึ่ง เขาเหลือบมองไปทางจ้าวฮูหยินอย่างรวดเร็ว

จ้าวฮูหยินยังคงยิ้มอยู่ แต่มือที่วางอยู่บนตักกำชายแขนเสื้อของตนเองแน่นขึ้นเล็กน้อย

นางยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น จึงแสร้งหันศีรษะไปทางหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่ ชี้ไปยังพุ่มไม้ดอกชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่นอกเรือนอย่างรกเรื้อ

“...แล้วข้าก็ได้กลิ่น... กลิ่นของดอกไม้สีม่วงๆ นั่น... มันหอมมาก... แต่พอได้กลิ่นแล้ว... ข้าก็ยิ่งปวดหัว... ยิ่งคลื่นไส้...” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงใสซื่อ

พุ่มไม้ที่นางชี้ไปคือต้น "ยี่โถ"... พืชที่ทั้งดอก ใบ และลำต้นล้วนมีสารพิษในกลุ่มคาร์ดิโอไกลโคไซด์อยู่สูงมาก... พิษชนิดเดียวกับที่นางวินิจฉัยว่าอยู่ในร่างกายของนาง!

นี่คือการสร้าง "แพะรับบาป" ขึ้นมาอย่างแนบเนียน นางไม่ได้กล่าวหาใคร แต่กำลังชี้นำให้ทุกคนคิดไปในทางที่ว่า... หรือเด็กโง่คนนี้อาจจะเผลอไปเด็ดดอกไม้พิษเข้าปากโดยไม่รู้ตัว? หรืออาจจะแค่สูดดมละอองเกสรของมันเข้าไปมากเกินไปจนเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง?

มันเป็นทางลงที่สวยงามสำหรับจ้าวฮูหยิน เป็นทางลงที่ไม่ต้องเปื้อนเลือด

ท่านหมอหลี่รีบคว้าโอกาสนี้ไว้ทันที “ยี่โถ! จริงด้วยขอรับฮูหยิน! พืชชนิดนี้มีพิษร้ายแรงนัก! เป็นไปได้ว่าคุณหนูสามอาจจะได้รับพิษจากพืชชนิดนี้โดยไม่ตั้งใจ! อาการที่นางบรรยายมาทั้งหมดตรงกับตำราพิษวิทยาทุกประการ! นับว่าสวรรค์ยังเมตตาที่นางได้รับพิษเข้าไปเพียงเล็กน้อยจึงรอดชีวิตมาได้!”

บัดนี้เรื่องราวได้เปลี่ยนไปแล้วโดยสมบูรณ์ จากการป่วยประหลาดที่อาจมีคนสงสัย กลายเป็น "อุบัติเหตุ" ที่น่าสงสาร จ้าวฮูหยินคลายมือที่กำแน่นออก รอยยิ้มของนางดูจริงใจขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

“โถ... เด็กโง่ของแม่” นางลูบศีรษะของจ้าวลี่อิงเบาๆ (ซึ่งเธอต้องใช้ความอดทนอย่างสูงที่จะไม่สะบัดหนี) “ช่างน่าสงสารจริงๆ ไม่เป็นไรนะลูก ต่อไปนี้แม่จะให้คนมาถอนพืชพิษพวกนี้ออกให้หมด และจะจัดคนมาดูแลเจ้าอย่างใกล้ชิด จะได้ไม่เกิดเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้ขึ้นอีก”

คำว่า "ดูแลอย่างใกล้ชิด" นั้นมีความหมายสองนัยซ่อนอยู่... หนึ่งคือการดูแลจริงๆ เพื่อไม่ให้นางตายก่อนจะได้แต่งงาน และสอง... คือการจับตามองทุกฝีก้าว

“พวกเจ้า!” จ้าวฮูหยินหันไปสั่งบ่าวรับใช้ที่ติดตามมา “ยังจะยืนบื้อกันอยู่อีกรึ! รีบทำความสะอาดเรือนซิงอวิ๋นให้เรียบร้อย! เปลี่ยนเครื่องนอนใหม่ทั้งหมด! ไปบอกห้องครัวให้เตรียมข้าวต้มขาวร้อนๆ มาให้คุณหนูสาม! และตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เสี่ยวจู กับ เสี่ยวหลัน พวกเจ้าสองคนมารับใช้คุณหนูสามที่นี่ ห้ามคลาดสายตาแม้แต่ก้าวเดียว! หากคุณหนูสามเป็นอะไรไปอีกแม้แต่ปลายเล็บ ข้าจะโบยพวกเจ้าจนหนังหลุด!”

“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ ฮูหยิน!” สาวใช้ทั้งหลายรีบรับคำและแยกย้ายกันไปทำงานอย่างรวดเร็ว

บัดนี้สถานะของจ้าวลี่อิงได้เปลี่ยนไปแล้ว จากคุณหนูที่ถูกทอดทิ้ง กลายเป็น "สมบัติอันเปราะบาง" ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างดีเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง นางชนะการต่อสู้ยกแรกไปได้อย่างหวุดหวิด ตอนนี้ได้มาทั้งเวลา อาหาร แล้วยังที่พักสะอาดสะอ้าน

แต่ขณะที่จ้าวฮูหยินกำลังจะลุกขึ้นและจากไปนั้นเอง เสียงทุ้มและทรงอำนาจเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากหน้าประตูเรือน

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เหตุใดจึงเสียงดังไปถึงเรือนหน้า!”

ทุกคนในห้องสะดุ้งสุดตัวและรีบหันไปมอง ก่อนจะค้อมตัวลงคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน

บุรุษผู้ก้าวเข้ามาคือชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดขุนนางชั้นผู้ใหญ่สีน้ำเงินเข้มปักลายกิเลนอย่างสง่างาม แม้จะมีริ้วรอยแห่งวัยปรากฏอยู่บนใบหน้า แต่ก็ไม่อาจปิดบังความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาได้ ดวงตาของเขาคมกริบและเย็นชา แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยหน่ายและหงุดหงิด

เขาคือ จ้าวหยวนซาน... เสนาบดีฝ่ายขวาแห่งต้าจิง... และเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดจ้าวลี่อิง

“ท่านพี่” จ้าวฮูหยินรีบปรับสีหน้าเป็นอ่อนหวานและเดินเข้าไปหา “ไม่มีอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ พอดีว่าลี่อิงนางป่วยกะทันหัน น้องก็เลยรีบตามท่านหมอมาดูอาการ ตอนนี้ปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ”

จ้าวหยวนซานไม่ได้มองหน้าภรรยาของตน เขากวาดสายตาไปทั่วห้องที่กำลังถูกทำความสะอาดอย่างวุ่นวาย ก่อนจะหยุดลงที่ร่างของบุตรสาวบนเตียง สายตาของเขาไม่มีความห่วงใยแม้แต่น้อย มีเพียงความรำคาญใจเจืออยู่จางๆ

“ป่วย?” เขาถามเสียงเรียบ “ข้าก็นึกว่านางตายไปแล้วเสียอีก”

คำพูดที่ไร้เยื่อใยนั้นทำให้บรรยากาศในห้องเย็นเยียบลงถนัดตา จ้าวลี่อิงที่นอนอยู่บนเตียงรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แปลบขึ้นมาในอก... มันไม่ใช่ความเจ็บปวดทางกาย แต่เป็นความทรงจำทางอารมณ์ของจ้าวลี่อิงคนเดิมที่ยังคงหลงเหลืออยู่... ความเจ็บปวดจากการถูกบิดาแท้ๆ ของตนเองปฏิเสธ

“ท่านพี่อย่าพูดเช่นนั้นสิเจ้าคะ” จ้าวฮูหยินแสร้งปราม “อย่างไรเสียนางก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านนะเจ้าคะ นางรอดมาได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว... จะได้ไม่เสียการใหญ่”

คำว่า "เสียการใหญ่" ทำให้จ้าวหยวนซานหันมาสนใจมากขึ้น “แล้วนางเป็นอย่างไร ยังใช้การได้อยู่หรือไม่”

“ท่านหมอหลี่บอกว่าแค่อ่อนเพลียไปบ้างเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่ดูเหมือน... สมองจะกระทบกระเทือนเล็กน้อย ทำให้นางจำอะไรไม่ค่อยได้” จ้าวฮูหยินรายงานตามที่เห็น

“จำไม่ได้รึ?” จ้าวหยวนซานเลิกคิ้ว “นั่นอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ คนโง่ที่ความจำเสื่อมย่อมไม่สร้างปัญหา” เขาหันไปทางภรรยา “อีกไม่ถึงครึ่งเดือนก็จะถึงวันส่งตัวแล้ว เจ้าดูแลนางให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก เข้าใจหรือไม่? จวนฉินอ๋องไม่ใช่สถานที่ที่เราจะไปเล่นตลกด้วยได้”

“น้องทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่วางใจเถิด น้องจะดูแล ‘คุณหนูสาม’ เป็นอย่างดีจนถึงวันส่งตัว จะไม่ให้คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว” คำตอบของจ้าวฮูหยินแฝงไปด้วยความหมายที่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่เข้าใจ

จ้าวหยวนซานพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาเหลือบมองมาทางบุตรสาวบนเตียงเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาที่ราวกับมองดูสิ่งของชิ้นหนึ่ง ก่อนจะสะบัดชายแขนเสื้อและเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก

เมื่อเสาหลักของบ้านจากไปแล้ว จ้าวฮูหยินก็หันกลับมามองจ้าวลี่อิงอีกครั้ง รอยยิ้มของนางกลับมาประดับบนใบหน้า แต่คราวนี้นางไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ใช้สายตาเย็นเยียบนั้นสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้งหนึ่ง ราวกับจะประเมินมูลค่าของสินค้าชิ้นนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังและเดินจากไปอย่างสง่างามเช่นเดียวกับตอนที่มาถึง

เมื่อร่างของจ้าวฮูหยินลับหายไป ความกดดันอันหนักอึ้งในห้องก็สลายไปทันที บ่าวรับใช้ที่เหลือทำงานกันอย่างคล่องแคล่วว่องไว ไม่นานนักเครื่องนอนเก่าๆ ที่อับชื้นก็ถูกเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ที่สะอาดและนุ่มสบาย พื้นห้องถูกขัดถูจนเอี่ยมอ่อง และข้าวต้มขาวร้อนๆ หนึ่งถ้วยก็ถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง

สาวใช้คนใหม่สองคน... เสี่ยวจูและเสี่ยวหลัน... เข้ามาแนะนำตัวด้วยท่าทีนอบน้อมแต่ก็แฝงไว้ด้วยการจับจ้อง พวกนางช่วยพยุงจ้าวลี่อิงให้นั่งพิงหัวเตียง และยกถ้วยข้าวต้มมาให้

นางมองข้าวต้มในถ้วย มันคืออาหารมื้อแรกในโลกใบใหม่นี้ กอปรกับเป็นชัยชนะเล็ก ๆ ที่แลกมาด้วยสติปัญญาทั้งหมดที่ติดตัวมา จ้าวลี่อิงตักข้าวต้มเข้าปากอย่างแช่มช้า ทีละคำ ละเลียดรับรสชาติจืดชืดแต่กลับให้ความรู้สึกอุ่นซ่านไปทั่วทั้งร่างที่หนาวเหน็บ

ไม่แม้แต่เหลือบมองสาวใช้สองคนที่ยืนคุมเชิงอยู่ข้างเตียงอีก นางรู้ดีว่านี่คือหมากอีกสองตัวที่จ้าวฮูหยินวางไว้บนกระดานเพื่อจับตาดูนาง นางไม่ได้ถูกทอดทิ้งอีกต่อไปแล้ว... แต่นางกลายเป็นนักโทษในกรงทองที่สวยงามขึ้นเท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังคงมีชีวิตอยู่

ตอนนี้เธอมีเวลา อาหาร และข้อมูล

ข้อมูลที่ได้จากการเผชิญหน้าเมื่อครู่นี้มันมหาศาลนัก นางได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้บงการ  ได้ยืนยันถึงความเย็นชาของผู้เป็นบิดา และที่สำคัญที่สุด ตอนนี้จ้าวลี่อิงได้เข้าใจสถานะใหม่ของตนเองเรียบร้อยแล้ว นางคือหมากตัวสำคัญที่ตระกูลจ้าวขาดไม่ได้ในตอนนี้ หรืออย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน

วันแต่งงานงั้นรึ วันที่จะต้องไปเผชิญหน้ากับ ‘ฉินอ๋อง’ ผู้ที่เขาเล่าลือว่าเป็นอ๋องทรราชในตำนานนั่น มันคือเส้นตายที่น่าหวาดหวั่น แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งนี้ก็เป็นโล่กำบังที่ช่วยปกป้องชีวิตนางในตอนนี้เช่นเดียวกัน

จ้าวลี่อิงตักข้าวต้มคำสุดท้ายเข้าปาก วางถ้วยเปล่าลง แล้วเอนกายพิงหมอนใบใหม่อย่างอ่อนแรง ดวงตาของนางปิดลง แต่สมองยังคงวางแผนต่อไป

ยังไงตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้ร่างกายของเด็กคนนี้แข็งแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นจึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้ให้มากที่สุด แต่แล้วเธอก็หยุดชะงัก ที่นี่คือโลกจีนโบราณ น้ำหวานเป็นคนไทยแท้ ฟังจีนออกเพียงเล็กน้อย อ่านออกเขียนได้นิดหน่อยเพราะเคยอยู่ชมรมภาษาจีนตอนมอปลาย เธอคิดว่าจะไม่ได้ใช้มันอีกแล้ว แต่สุดท้ายใครจะไปคิดว่าจะได้เอาสกิลอันน้อยนิดนั่นมาใช้ในต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ เธอต้องฝึกหัดตัวอักษรกับอ่านหนังสือเพิ่ม และสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการเอาตัวรอดจากสายตาของจ้าวฮูหยินและบ่าวรับใช้ที่คอยสอดส่อง

นี่คือภารกิจเร่งด่วนสามอย่างที่นางต้องทำให้สำเร็จภายในครึ่งเดือน

นางนึกถึงใบหน้าของจ้าวลี่อิงคนเดิม... เด็กสาวผู้ยอมแพ้ต่อโชคชะตา... แล้วก็นึกถึงประกายไฟในดวงตาของตนเองที่สะท้อนอยู่ในคันฉ่อง...

เปลวไฟที่ครั้งหนึ่งเคยดับมอดไปในเถ้าธุลี... บัดนี้ได้ถูกจุดขึ้นมาใหม่แล้วท่ามกลางเงามืดของจวนเสนาบดีแห่งนี้ และมันจะไม่ยอมมอดดับลงอีกเป็นครั้งที่สองอย่างเด็ดขาด

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 9

    ราตรีนั้นในเรือนหนังสือของฉินอ๋องเจิ้งหยาง ยาวนานและเงียบงันกว่าทุกคืนที่ผ่านมา เขามิได้อ่านตำราพิชัยสงครามต่อ แต่กลับนั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น ปล่อยให้เปลวเทียนสะท้อนประกายวูบไหวอยู่ในนัยเนตรอันลึกล้ำดุจห้วงเหวไร้ที่สิ้นสุด บรรยากาศรอบกายเขาเยียบเย็นลงจนน่าอึดอัด ประหนึ่งพญามังกรที่กำลังขดตัวนิ่งสงบ ทว่าแท้จริงแล้วภายในกำลังครุ่นคิดถึงพายุที่จะก่อตัวขึ้นคำถามนั้น... ‘เหตุใดคนที่ตกบ่อน้ำจึงไม่มีน้ำอยู่ในปอดเล่าเจ้าคะ’... ยังคงดังก้องอยู่ในมโนสำนึกของเขามันไม่ใช่คำถามธรรมดา มันคือความรู้ คือกุญแจ คือคำใบ้ที่ถูกส่งมาอย่างจงใจในรูปแบบที่วิปลาสที่สุด มันคือเสียงกระซิบจากปัญญาอันคมกริบที่ซ่อนกายอยู่ภายใต้หน้ากากของความโง่เขลาอันสมบูรณ์แบบจ้าวลี่อิง... พระชายาที่เขาได้รับมาดุจสินค้ามีตำหนิ สตรีที่ถูกส่งมาเพื่อเป็นเพียงหมากทางการเมืองและเป็นที่ดูแคลนของคนทั้งใต้หล้า บัดนี้นางได้เผยตัวตนอีกด้านหนึ่งออกมาอย่างแยบยล...ด้านที่น่าพรั่นพรึงและน่าสนใจในเวลาเดียวกันเขาไม่เชื่อในเรื่องบังเอิญ และไม่เคยเชื่อว่าความตายในจวนของเขาจะเป็นเพียงอุบัติเหตุ จวนฉินอ๋องคืออาณาจักรของเขา ทุกความเคลื่อนไหวอยู่ในสา

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 8

    ราตรีนั้นในเรือนจื่อเวยยาวนานกว่าทุกคืนที่ผ่านมา จ้าวลี่อิงนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้สลักลายอันวิจิตร ดวงตาของนางเปิดกว้างอยู่ในความมืดมิด ภาพของสาวใช้ผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกดึงขึ้นมาจากบ่อน้ำยังคงฉายชัดอยู่ในมโนสำนึกของนางราวกับถูกตีตราไว้ด้วยเหล็กร้อน...รอยช้ำที่ข้อมือ, รอยแดงที่ลำคอ, และมือที่กำแน่น...ความเงียบของจวนฉินอ๋องที่เคยทำให้นางรู้สึกถึงการถูกคุกคาม บัดนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันคือความเงียบแห่งการสมรู้ร่วมคิด คือความสงบอันน่าสะพรึงกลัวที่ใช้กลบฝังเสียงกรีดร้องของผู้บริสุทธิ์ในฐานะแพทย์ผู้เคยให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะปกป้องชีวิต จิตวิญญาณของนางร่ำร้องโหยหวนต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ในฐานะจ้าวลี่อิงผู้ต้องเอาชีวิตรอดในรังอสรพิษแห่งนี้ สัญชาตญาณกลับกรีดร้องให้นางนิ่งเงียบเข้าไว้ การยื่นมือเข้าไปสอดส่องเรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าสู่ปากเหวด้วยตนเอง นางเป็นเพียงพระชายาที่ถูกทอดทิ้ง ถูกตราหน้าว่าโง่เขลา ไร้ซึ่งอำนาจและเส้นสายใดๆ ในจวนแห่งนี้ การเปิดโปงฆาตกรคือการท้าทายอำนาจมืดที่หยั่งรากลึกอยู่ ณ ที่แห่งนี้โดยตรง และผลลัพธ์ก็อาจหมายถึงความตายสถานเดียวนางหลับตา

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 7

    เมื่อบานประตูไม้หนักอึ้งปิดลง เสียงของมันสะท้อนก้องอยู่ในความเงียบงันราวกับเสียงปิดฝาโลงศพ ตัดขาดโลกของห้องหออันโอ่อ่าออกจากทุกสิ่งภายนอกโดยสมบูรณ์ บัดนี้ เหลือเพียงจ้าวลี่อิงและเสี่ยวชุ่ยผู้กำลังตัวสั่นเทาอยู่กลางห้องที่เต็มไปด้วยสีแดงมงคลอันเยียบเย็น"คุณหนู... ฮือ... ที่นี่... ที่นี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน" เสี่ยวชุ่ยสะอื้นไห้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดผวา "บ่าวได้ยินพวกเขาพูดกันว่า... พระชายาองค์ก่อนก็สิ้นใจในเรือนหลังนี้ ท่านอ๋องก็ไม่เคยเสด็จมาที่นี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว"จ้าวลี่อิงหันไปมองสาวใช้ผู้ภักดีของนาง นางมิได้เอ่ยวาจาปลอบโยน แต่ยื่นมือไปบีบแขนของเสี่ยวชุ่ยเบาๆ เป็นการส่งผ่านความมั่นคงที่ไร้คำพูด จากนั้นนางจึงหันกลับมาสำรวจสภาพแวดล้อมแห่งใหม่ของนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่ห้องหอสำหรับนาง แต่คือที่เกิดเหตุ คือห้องขัง และอาจเป็น...สุสานของนางในอนาคต หากนางประมาทแม้เพียงนิดเดียวนางค่อยๆ เดินไปนั่งลงบนขอบเตียง ยกมือขึ้นถอดมงกุฎหงส์อันหนักอึ้งออกจากศีรษะอย่างช้าๆ แล้ววางมันลงบนโต๊ะข้างเตียง ความเงียบในห้องหอแห่งนี้ดังกว่าเสียงโห่ร้องใดๆ ที่นางเคยได้ยินมาทั้งชีวิต

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 6

    กาลเวลาในจวนเสนาบดีดูจะบิดเบี้ยวและเชื่องช้าลงนับตั้งแต่วันที่จ้าวลี่อิงได้สนทนากับบิดาในเรือนหนังสือของเขา แต่ในที่สุด วันแห่งพิธีสมรสพระราชทานก็คืบคลานมาถึงราวกับพญามัจจุราชในอาภรณ์สีมงคลจ้าวลี่อิงถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น ท้องฟ้ายังคงเป็นสีน้ำหมึก เหล่านางกำนัลและบ่าวรับใช้ที่ฮูหยินรองส่งมาต่างกรูกันเข้ามาในห้องของนาง ประหนึ่งฝูงผึ้งที่กำลังรุมล้อมดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรย พวกนางอาบน้ำขัดผิวให้นางด้วยเครื่องประทินผิวชั้นเลิศ อบร่ำร่างกายด้วยเครื่องหอมกำยานราคาแพง แล้วบรรจงสวมทับอาภรณ์สีแดงสดอันเป็นมงคลให้ทีละชั้นๆชุดวิวาห์นั้นงดงามและหนักอึ้งอย่างเหลือเชื่อ ผ้าไหมปักดิ้นทองเป็นลายหงส์คู่มังกรสยายปีก แขนเสื้อยาวลากพื้น ชายกระโปรงซ้อนทับกันถึงเก้าชั้น ทุกฝีเข็มเต็มไปด้วยความประณีต ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว มันไม่ต่างอะไรกับโซ่ตรวนอันงดงามที่กำลังพันธนาการนางให้แน่นหนายิ่งขึ้น ศีรษะของนางถูกประดับด้วยมงกุฎหงส์ทำจากทองคำและไข่มุกจนหนักอึ้ง ใบหน้าถูกแต่งแต้มจนขาวผ่อง ริมฝีปากถูกแต้มด้วยชาดสีแดงสดดุจโลหิตเมื่อการแต่งกายเสร็จสิ้น นางถูกพยุงให้นั่งนิ่งๆ อยู่กลางห้อง รอคอยฤกษ์ยามมงคลเพื่อ

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 5

    อรุณรุ่งของวันใหม่ทอแสงแรกจับขอบฟ้า ปลุกสรรพชีวิตในจวนเสนาบดีให้ตื่นจากนิทราอันยาวนาน ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว นางไม่ได้หลับใหลเลยทั้งราตรี จิตวิญญาณของนางตื่นโพลงอยู่ในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหว ทบทวนทุกร่องรอยแห่งความจริงที่เพิ่งค้นพบ โลกที่นางเห็นในยามนี้มิได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกรอยยิ้มที่เคยดูอบอุ่นอาจซ่อนใบมีดไว้เบื้องหลัง ทุกถ้อยคำที่แสดงความห่วงใยอาจเคลือบไว้ด้วยยาพิษเมื่อเสี่ยวชุ่ยประคองชามยาถ้วยใหม่เข้ามาในยามเช้า สีหน้าของนางยังคงเปี่ยมด้วยความห่วงใยอันบริสุทธิ์ ช่างแตกต่างจากบรรยากาศอันหลอกลวงที่อบอวลอยู่ทั่วจวนแห่งนี้ จ้าวลี่อิงมองของเหลวสีนิลในชามนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มันไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความตายอีกต่อไป แต่บัดนี้มันคือเครื่องมือ คือบททดสอบ และคือเวทีที่นางต้องร่ายรำไปตามบทบาทที่ตนเป็นผู้กำกับนางตระหนักดีว่าการแสร้งทำยาหกหรือปฏิเสธอย่างเด็กๆ นั้นไม่อาจใช้ได้ตลอดไป มันจะสร้างความสงสัยโดยไม่จำเป็น กลยุทธ์ใหม่จึงถูกร่างขึ้นในมโนสำนึกอันเงียบงันของนางอย่างรวดเร็ว มันเป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงอันตราย ทว่าจำเป็นอย่างยิ่งยวด นั่นคือการควบคุมปริมาณพิษที่เข้าสู่ร

  • ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋องพิการ   บทที่ 4

    เงาแห่งราตรีทอดตัวยาวเหยียด กลืนกินทุกสรรพสิ่งไว้ในอ้อมกอดอันเยียบเย็น รัตติกาลคืบคลานเข้าสู่จวนเสนาบดีอย่างเงียบงัน ลบเลือนเส้นสายลายสลักและสีสันอันโอ่อ่าให้เหลือเพียงโครงร่างสีดำทะมึนภายใต้แสงจันทร์นวลจาง ในห้องพักของคุณหนูสาม บรรยากาศหนักอึ้งและสงบเยือกเย็น มีเพียงแสงเทียนที่วูบไหวบนเชิงเทียนทองเหลืองเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหว ประหนึ่งลมหายใจของห้องที่กำลังจะดับสูญจ้าวลี่อิงยังคงนั่งสงบอยู่บนเตียง ท่วงท่าของนางสงบนิ่งดุจผิวน้ำไร้ริ้วคลื่น แต่ภายใต้ความเรียบสนิทนั้นคือกระแสความคิดที่เชี่ยวกราก ประสาทสัมผัสทุกส่วนของนางตื่นตัวและแผ่ขยายออกไปในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหวที่อยู่นอกบานประตูกระทั่งเสียงจิ้งหรีดที่เคยกรีดร้องระงมเริ่มแผ่วเบาลง สรรพสำเนียงแห่งชีวิตในยามค่ำคืนได้จมลึกลงสู่การหลับใหลอย่างแท้จริง นางจึงขยับกายอย่างนุ่มนวล ทุกย่างก้าวที่เท้าเปล่าสัมผัสพื้นไม้เย็นเฉียบนั้นไร้สุ้มเสียง แฝงไว้ด้วยความหมายและความมุ่งมั่นที่แตกต่างจากคุณหนูสามผู้ป่วยไข้โดยสิ้นเชิง นางไปถึงบานประตู ใช้วัตถุเล็กๆ ขัดมันไว้กับวงกบ เป็นกลไกเตือนภัยอันเรียบง่ายทว่าเปี่ยมประสิทธิภาพเมื่อแน่ใจในปราก

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status