Share

10

Author: Clear Clouds
last update Last Updated: 2025-09-05 20:00:30

เมื่อเดินไปถึงโรงพยาบาล นางพยาบาลที่อยู่หน้าเคาเตอร์ต่างพากันมุงดูเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู แต่จิงซิงอี้ถอยไปหลบอยู่ข้างหลังลั่วเยี่ยน เขาไม่ได้กลัว แต่ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ใกล้ๆ

“เดี๋ยวๆทุกคน ใจเย็นๆ เจ้าหนูกลัวแล้ว”

ลั่วเยี่ยนเตือนสาวๆ และเล่าให้พวกเธอฟังว่าไปพบเด็กชายที่ไหน และขอให้พวกเธอช่วยประกาศหาพ่อแม่ในโรงพยาบาล และถ้าไม่พบ เขาจะโทรไปแจ้งตำรวจให้ช่วยตามหาอีกที

ในระหว่างที่ชายหนุ่มอธิบาย จิงซิงอี้ก็ยืนฟังเงียบๆด้วยความสนใจ แม้ว่าใครๆ จะพยายามถามชื่อและที่อยู่ เขากลับนิ่งทำหูทวนลมเหมือนไม่เข้าใจ จนลั่วเยี่ยนอดหัวเราะไม่ได้

ชายหนุ่มจะต้องออกตรวจคนไข้ตอนเช้า เขาจึงคิดจะฝากให้เด็กชายอยู่กับเจ้าหน้าที่ แต่จิงซิงอี้ไม่ยอม เด็กน้อยวิ่งตามลั่วเยี่ยน ทำให้เขาต้องพาเด็กชายไปที่ห้องตรวจด้วย

เขาย่อตัวลงสบตากับเด็กน้อยและพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันไม่รู้ว่านายต้องการอะไร แต่ฉันรู้ว่านายเข้าใจทุกสิ่งที่ฉันพูด ถ้านายไม่อยากไปไหน ก็อยู่กับฉันไปก่อน ถ้าเปลี่ยนใจอยากพูด ก็พูดมาก็แล้วกันนะเจ้าหนู”

จากนั้นชายหนุ่มก็ลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู  พวกเขาเดินไปห้องตรวจด้วยกัน ลั่วเยี่ยนให้เด็กชายนั่งที่เก้าอี้ใกล้ๆ กับโต๊ะตรวจ และส่งแก้วน้ำดื่มให้

ก่อนจะให้นางพยาบาลเรียกคนไข้คนแรกเข้ามา เข้าหันมาบอกกับจิงซิงอี้ว่า

“นั่งดีๆนะ ถ้าหิวหรือจะเข้าห้องน้ำก็บอกด้วย จะพาไป”

จิงซิงอี้พยักหน้าอย่างเข้าใจ และหันไปมองดูอุปกรณ์การแพทย์ในห้องด้วยความสนใจ

คนไข้คนแรกที่เดินเข้ามา เป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 35 ปี มีรูปร่างผอม ใบหน้าซีด ดูเหนื่อยล้าอ่อนแรง  ลั่วเยี่ยนอ่านข้อมูลคนไข้ที่นางพยาบาลเตรียมให้ ตรวจร่างกายเบื้องต้น พร้อมซักถามอาการ

คนไข้ให้ข้อมูลว่า เขาปวดหัวมาก และเป็นมาประมาณ 2-3 เดือนแล้ว ตอนแรกคิดว่า เขาคงทำงานหนักและมีเวลาพักผ่อนน้อย จึงพยายามนอนให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม อาการปวดหัวยังคงมีอยู่ จนทำให้เขานอนไม่หลับ และอ่อนเพลียมากยิ่งขึ้น 

คนไข้เล่าอาการว่า “ผมปวดหัวแถวๆ ท้ายทอย บางครั้งก็ปวดไปหมดทั้งศีรษะ ช่วงหลังๆมา ก็ย้ายมาปวดข้างซ้ายด้วยครับ”

ลั่วเยี่ยนถามต่อว่า “ปวดแบบแน่นๆ ตุบๆ ที่ข้างซ้ายหรือข้างขวาโดยเฉพาะหรือเปล่าครับ”

คนไข้พยักหน้า ลั่วเยี่ยนจึงถาม พร้อมกับจดบันทึกในประวัติการรักษาไปด้วยว่า

“จะเป็นมากเวลาเจอแสงแรงๆ เสียงดังๆ ด้วยมั้ยครับ”

“ใช่ครับ”

“ตอนนี้มีปัญหาการมองมั้ยครับ อย่างเช่น ตาลาย มองเห็นแสงแปลกๆ ภาพแปลกๆ เบี้ยวๆ”

 “ใช่ครับหมอ หลับตาก็ยังมองเห็นเลย”

 “มีคลื่นไส้ อาเจียนบ้างมั้ยครับ”

 “มีครับ”

ลั่วเยี่ยนพยักหน้าและอธิบายว่า “หมอคิดว่าคุณเป็นไมเกรน จากอาการปวดหัวข้างเดียว และมองเห็นภาพแปลกๆ และเป็นมากขึ้นเมื่อเจอแสงจ้า และเสียงดัง เดี๋ยวผมจะสั่งยาให้นะครับ”

จากนั้นหมอหนุ่มก็อธิบายวิธีการปฏิบัติตัว เช่น นอนให้เพียงพอ พยายามหลีกเลี่ยงการกระตุ้นต่างๆ และนัดให้มาพบอีกครั้งในอีกหนึ่งเดือนถัดมา

เมื่อคนไข้กำลังจะขยับตัวลุกออกไป จิงซิงอี้ที่นั่งฟังอยู่เงียบๆและคอยสังเกตสีหน้าของคนไข้ ก็พูดขึ้นมาเป็นครั้งแรกด้วยเสียงเล็กๆของเด็กน้อย 5 ขวบว่า

“คนไข้มีอาการหายใจแบบสั้นๆ มีเหงื่อออกง่าย และเพลียด้วยใช่มั้ย”

ทั้งลั่วเยี่ยน คนไข้ และนางพยาบาลชะงัก หันไปมองเด็กชายพร้อมกัน จิงซิงอี้ถามย้ำว่า

“ใช่มั้ย”

คนไข้มองหน้าลั่วเยี่ยน เหมือนจะถามว่าเด็กคนนี้เป็นใคร แต่หมอหนุ่มพยักหน้าให้คนไข้ตอบ คนไข้จึงตอบว่าใช่  จิงซิงอี้พูดต่อว่า

“ขอดูลิ้นหน่อยได้มั้ย”

คนไข้ลังเล ลั่วเยี่ยนชะงัก แต่ก็ขอให้คนไข้แลบลิ้นออกมา

เด็กชายลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ และเดินมาเงยหน้ามองลิ้นของคนไข้สักพัก จากนั้นก็เอื้อมมือมาจับชีพจรของคนไข้ ก่อนพูดว่า

“ขอจับชีพจรหน่อยนะ”

คนไข้ทำสีหน้าแปลกๆ แต่ก็ยอมให้เด็กชายจับชีพจร เพราะเขาเห็นลั่วเยี่ยนพยักหน้าให้ทำตาม

ความนิ่งและวิธีการพูดที่เหมือนผู้ใหญ่ ทำให้เขารู้สึกว่า เด็กคนนี้ไม่ได้ล้อเล่น หรือกำลังเล่นเกมหมอกับคนไข้เหมือนเด็กทั่วไป

จิงซิงอี้จับชีพจรอยู่ประมาณหนึ่งนาที จากนั้นจึงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ซึ่งดูทั้งน่าเชื่อถือและน่าเอ็นดูไปพร้อมๆ กันว่า

“น่าจะเป็นอาการชี่พร่องกับเลือดพร่อง เพราะลิ้นสีซีด มีฝ้าขาวๆ มีอาการเหนื่อย หายใจได้สั้นๆ แล้วก็เหงื่อออกง่าย ชีพจรอ่อนด้วย”

ทุกคนมองไปที่คนไข้ และพบว่าเขามีเหงื่อซึมออกมา ทั้งๆที่ในห้องมีเครื่องปรับอากาศทำงานอยู่ และมีอาการเหนื่อย หายใจหอบนิดๆ

จิงซิงอี้พูดต่อว่า คนไข้น่าจะฝันบ่อยและนอนหลับยากด้วย คนไข้มีสีหน้าประหลาดใจมากยิ่งขึ้น ก่อนจะยอมรับว่ามีอาการดังกล่าว ลั่วเยี่ยนจึงถามเด็กชายว่า “แล้วต้องรักษายังไง”

จิงซิงอี้ตอบหน้าตาเฉยว่า “ก็ต้องให้คุณตารักษา”

ลั่วเยี่ยนถามต่ออย่างใจเย็นว่า “แล้วคุณตาอยู่ไหน”

เด็กน้อยใช้หางตามองเขา และตอบด้วยสีหน้ากวนๆว่า

“อยู่แถวๆนี้แหละ”

ลั่วเยี่ยนหัวเราะก๊ากออกมา เขาลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันไปบอกคนไข้ให้ไปรับยาตามที่เขาแนะนำ คนไข้ทำท่าลังเลก่อนจะถามว่า

“แล้วที่เด็กคนนี้บอกล่ะครับ”

ลั่วเยี่ยนตอบยิ้มๆว่า

“สิ่งที่เขาพูด คือ การรักษาแบบแพทย์แผนจีนครับ ถ้าคุณสนใจลองไปรักษาได้ครับ แต่เราไม่มีแผนกนี้ที่นี่”

คนไข้มีสีหน้าเสียดาย ก่อนจะเดินตามนางพยาบาลออกไป

ตลอดช่วงเช้าของการรักษา บางครั้งจิงซิงอี้จะพูดถึงอาการคนไข้และบอกชื่อของโรคออกมา เมื่อลั่วเยี่ยนถามว่าทำไมไม่อธิบายอาการของคนไข้ทุกคนล่ะ เด็กชายก็พูดหน้าตาเฉยว่า

“เพิ่งเรียนมาแค่นี้”

เมื่อถามว่าเรียนกับใคร เด็กชายก็ตอบด้วยความภูมิใจว่า คุณตาสอน เมื่อพยายามถามว่าคุณตาเป็นใคร และอยู่ที่ไหน เด็กชายจะตอบแค่ว่า เป็นหมอ และไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน

เมื่อลั่วเยี่ยนถามว่า แล้วจะติดต่อคุณตายังไง ใครจะมารับเขากลับล่ะ เพราะสมัยยี่สิบกว่าปีนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือแพร่หลาย

จิงซิงอี้นิ่งคิดก่อนตอบว่า ตอนเที่ยงต้องไปหาคุณตา และคุณตาจะพาไปกินข้าว เมื่อสอบถามจนรู้ว่าคุณตาที่ว่าอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ และเด็กชายรู้ว่าจะติดต่อได้ที่ไหน ลั่วเยี่ยนจึงวางใจ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   101

    ลั่วเป่ยตกใจมาก เขารีบบอกจิงซิงอี้ว่า เขาจะไปดูลูกชายก่อน จิงซิงอี้พูดขึ้นมาว่า จะขอไปดูอาการด้วย ชายหนุ่มพยักหน้าและรีบเดินขึ้นรถลากไปด้วยกันระหว่างทางกลับบ้าน ลั่วเป่ยสอบถามอาการของลูกชาย จากหญิงรับใช้ซึ่งเป็นคนสนิทของภรรยา นางเล่าด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า“วันนี้คุณชายน้อยไม่อยากกินข้าวเลยเจ้าค่ะ บอกว่าเหนื่อยมาก จากนั้นฮูหยินก็บอกให้คุณชายพักผ่อน แล้วก็ตามท่านหมอชิวมารักษา แต่พอรักษาได้สักพัก อาการของคุณชายน้อยก็แย่ลงอีก”“แย่ยังไง รีบบอกมา!” ลั่วเป่ยเร่งให้นางตอบ“คุณชายน้อยบอกว่าเจ็บหน้าอกมาก แล้วก็ปวดเนื้อตัวเจ้าค่ะ!”จิงซิงอี้ที่ฟังอาการก็นิ่วหน้าด้วยความสงสัย เขาถามสาวใช้ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า หมอรักษาคุณชายอย่างไรบ้าง”สาวใช้ตอบแบบไม่แน่ใจว่า “ฝังเข็มแล้วก็ให้ดื่มยาเจ้าเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ดีขึ้น”ลั่วเป่ยพยายามควบคุมความกลัว เมื่อไปถึงหน้าบ้าน พวกเขารีบลงจากรถ และเดินไปที่ห้องนอนของคุณชายน้อยที่อยู่ตึกด้านซ้ายมือ หน้าห้องมีคนรับใช้ทั้งยืนรอและเดินเข้าอ

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   100

    เขาจุ่มเข็มลงในน้ำร้อนเพื่อทำความสะอาด และอธิบายให้ทุกคนในห้องฟังว่า “ข้าจะเริ่มต้นฝังเข็มเพื่อปิดกั้นการไหลเวียนของสารพิษในร่างกาย”จากนั้นก็ฝังเข็มที่จุดเหรินเหมินบริเวณท้องน้อย เพื่อช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดและชี่ในร่างกายส่วนล่าง จากนั้นจุดชี่ไห่ ที่อยู่ใต้หัวเข่า เพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด“ข้าจะกักสารพิษเอาไว้ที่จุดเดียวเพื่อไม่ให้แพร่กระจาย จนกว่าเราจะขับมันออกไปได้ และช่วยให้อาการทรงตัวไม่แย่ไปกว่านี้”จิงซิงอี้หันไปหาหมอที่ยืนข้าง “ข้าขอให้ท่านช่วยจับตัวเขาพลิกให้หน่อยขอรับ”จากนั้นก็ฝังเข็มที่จุดเฟิ่งฉือ เพื่อช่วยลดอาการอักเสบและบรรเทาอาการปวดเขาใช้เวลาในการฝังเข็มอยู่นานกว่า 20 นาที ทุกคนเห็นว่า คนไข้เริ่มหายใจลึกและยาวขึ้น อาการสั่นสะท้านจากความเจ็บปวดลดน้อยลง และสีหน้าที่หมองคล้ำของเขาเริ่มดีขึ้นจิงซิงอี้หยุดฝังเข็ม หันไปบอกหลิวป๋อว่า “ข้าจะสั่งยาสมุนไพรให้ มีโสมจีน ตังเซียม เห็ดหลินจือ ชะเอมเทศ ตัง และเกา

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   99

    ลั่วเป่ยถอนหายใจ “ลูกชายของพี่อายุ 11 ปี ไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เกิด เวลาทำอะไรที่ต้องออกแรง จะเหนื่อยง่าย หายใจหอบ ซีดเซียว เวลาอากาศเปลี่ยนก็ป่วย เวลาป่วยที ก็ใช้เวลานานกว่าจะฟื้นได้ ยิ่งช่วงสองสามปีนี้อาการยิ่งหนักมากขึ้นไปอีก”ในระหว่างนั้น เด็กเสิร์ฟก็นำอาหารมาวางบนโต๊ะ ทั้งสองคนลงมือกินและคุยกันต่อ “พี่หาหมอมารักษาหลายคนก็ไม่ดีขึ้น ได้แค่ทรงๆ จนช่วงนี้ยิ่งแย่มากขึ้น มันน่าเจ็บใจไหม ที่พี่ขายสมุนไพร แต่ก็ไม่มีสมุนไพรไหนช่วยลูกได้เลย!”จิงซิงอี้ถามด้วยความสนใจว่า “ใครเป็นคนแนะนำให้ใช้โสมในการรักษาหรือ”“เป็นหมอที่เพื่อนของพี่แนะนำมา เขาเชี่ยวชาญโรคเด็ก และบอกว่าหยวนชี่พร่อง ซึ่งมักเกิดกับเด็ก เขาจึงสั่งยาและอาหารเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง โดยเฉพาะโสมที่ให้เอามาตุ๋นไก่ทำเป็นยา จะต้องเป็นโสมที่มีคุณภาพสูงจริงๆ”เมื่อจิงซิงอี้ถามต่อว่า “หลังจากรักษากับหมอคนนี้แล้ว อาการดีขึ้นไหม”ชายหนุ่มตอบว่า “ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังออกแรงหนักมากไม่ได้ จนเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา อากาศเปลี่ยนแปลงม

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   98

    เฉินอี้เซิงเฉลยอาการป่วยของคนไข้ชายว่า มีอะไรบ้างและควรจะรักษาอย่างไร เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า“คนไข้รักษาอาการมานานแล้ว ช่วงนี้มีอาการหนักขึ้น เพราะอากาศหนาวมีส่วนอย่างมาก แต่สิ่งที่จิงซิงอี้วิเคราะห์น่าสนใจมากเช่นกัน โดยเฉพาะกรรมพันธุ์และความเครียด ที่ทำให้อาการเป็นมากขึ้น การซักถามอย่างใส่ใจถึงชีวิตประจำวัน จึงเป็นหัวใจสำคัญ ที่ทำให้เราเห็นสาเหตุของโรคด้วย ที่สำคัญ การรักษาในองค์รวม ที่ต้องดูแลทั้งร่างกายและจิตใจไปด้วย จึงจะช่วยให้โรคแบบนี้ดีขึ้นได้ในภาพรวมได้”หลังจากจบบทเรียนในวันนั้น เฉินอี้เซิงปล่อยให้ทุกคนกลับบ้านได้ จิงซิงอี้เก็บของ และเดินออกมานอกห้องพร้อมกับลั่วเป่ยและจี่หลิว คนที่ไม่พอใจเขาก็เริ่มเงียบไปบางคนเข้ามาทักทายและบอกว่า ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นหมอเด็กอัจริยะ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะของชายที่มีปัญหากับเขา หรือเค่อหลุน ที่เดินผ่านจิงซิงอี้และพูดว่า “ก็แค่เดาจนถูกนั่นละ!”ทั้งลั่วเป่ยและจี่หลิวขมวดคิ้ว ลั่วเป่ยจึงพูดออกมาว่า “คนอะไร หาเรื่องแม้กระทั่งกับเด็กไม่กี่ขวบ!”จิงซิงอี้มองตามเค่อห

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   97

    ในวันจันทร์แรกของการไปเรียน จิงซิงอี้ตื่นแต่เช้า เขาสะพายเป้หนังสีน้ำตาลที่มีข้าวของจำเป็นใส่หลัง เป้นี้เขาออกแบบเป็นพิเศษให้มีช่องเก็บของ ใส่ขวดน้ำที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ขนม ผ้าเช็ดหน้า อุปกรณ์การแพทย์ขนาดเล็ก เขาแวะกินอาหารเช้าง่ายๆ ข้างทาง จากนั้นเดินไปที่บ้านของเฉินอี้เซิง ถึงอากาศจะเย็นในช่วงเช้า เพราะเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็เหงื่อตกเพราะต้องเดินมาเองเมื่อมาถึงทางเข้าบ้าน เขาพบชายหลากหลายวัยเดินเข้าประตูไปอย่างคุ้นเคย จิงซิงอี้เดินตามเข้าไปเงียบๆ บางคนหันมามองเขาด้วยความสงสัย จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 28-29 ปี เรียกให้เขาหยุดและถามว่า “เจ้าหนู! หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร หลงทางกับพ่อหรือเปล่า”กลุ่มคนที่น่าจะเป็นลูกศิษย์ของเฉินอี้เซิงพากันหันมามอง จิงซิงอี้หยุดเดิน หันไปตอบนิ่งๆว่า “ข้าไม่ได้พลัดหลงกับใคร ข้าเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของอาจารย์เฉินอี้เซิง”ทุกคนที่ได้ยินต่างขมวดคิ้ว พวกเขามองจิงซิงอี้ด้วยความสงสัย บางคนไม่เชื่อ และถามเขาด้วยความไม่พอใจว่า“เป็นเรื่องจริงหรือ!”“เจ้าอย่ามาเป็นเด็กเลี้

  • จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค   96

    เมื่อรู้ว่าจิงซิงอี้ผ่านการทดสอบ โม่หยวนหลิงและซัววีเว่ย จึงช่วยกันหาที่พักให้เด็กชาย แต่ก็ยังอดเป็นห่วงจิงซิงอี้ไม่ได้“เจ้าอยู่คนเดียวได้จริงหรือ พี่รู้ว่าเจ้าเก่ง ทำอะไรก็ได้ แต่ที่นี่เมืองหลวง ไม่มีใครมาช่วยเหลือเจ้า พี่เป็นห่วงมากนะ!” โม่หยวนหลิงพูดด้วยความกังวลใจจิงซิงอี้ต้องปลอบใจว่า “พี่หลิง ข้าอยู่ตัวคนเดียวได้จริงๆ แต่ตอนนี้ต้องหาที่พักก่อน” ทั้งสองคนเสนอให้เขาไปพักอยู่บ้านเฉินอี้เซิง อย่างน้อยยังมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยเด็กชายหัวเราะ การไปอยู่แบบนั้น ต้องทำงานแลกที่พักและอาหาร เขาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องทุ่มเทและลำบากถึงขนาดนั้น เขามีความรู้อยู่แล้ว แค่ต้องการความรู้ด้านพิษอื่นๆ ที่จะช่วยเหลือจิงเซียวได้นอกจากนี้ เขาไม่อยากระมัดระวังตัวตลอดเวลา เขาจึงเลือกอยู่คนเดียว เพื่อให้มีเวลาศึกษาหาความรู้ โดยไม่ต้องปิดบังตัวตนเมื่อเห็นโม่หยวนหลิงและซัววีเว่ยยังไม่คลายกังวล เขาจึงตัดสินใจพูดตรงๆ ว่า“พี่หลิง พี่เว่ย ข้ารู้ว่าพวกท่านเป็นห่วงข้ามาก แต่ข้าขอพูดตรงๆก็แล้วกัน ข้ามีความรู้ทางการแพทย์อยู่แล้ว อาจ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status