ตั้งแต่ยังหนุ่ม จิงเซียวมักออกเดินทางและหายไปหลายอาทิตย์ บางครั้งเขาเดินทางไปรักษาชาวบ้านตามที่ห่างไกล บางครั้งก็ไปเก็บสมุนไพรตามป่าเขาลำเนาไพร และได้รับเชิญจากผู้นำระดับประเทศ รวมไปถึงผู้มีชื่อเสียงและอำนาจขอให้ไปช่วยรักษาโรค
เมื่ออายุมากขึ้น เขาจะเลือกรักษาเฉพาะคนที่เขารู้สึกถูกใจเท่านั้น ถึงแม้บางคนจะใช้ทั้งเงินและอำนาจมาข่มขู่ ชายชราก็ไม่เคยหวั่นไหว เพราะเขามีลูกศิษย์และคนไข้ที่มีชื่อเสียงคอยปกป้องอยู่เสมอ
นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่จิงเซียวไม่เคยเปิดคลินิกรักษาที่หมู่บ้านเจียวจู เพราะเขาไม่ค่อยจะอยู่บ้านนั่นเอง
ในระหว่างที่สองตาหลานง่วนอยู่กับการทำงานของตัวเอง จิงเซียวก็บอกกับจิงซิงอี้ว่า
“เสี่ยวอี้ อีกสองวันตาจะไปปักกิ่งนะ มีนัดรักษาคนไข้”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ชายชราก็พูดต่อว่า “เสี่ยวเยี่ยน ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าจะมารับตาไป”
เสี่ยวเยี่ยน หรือลั่วเยี่ยน อายุ 48 ปี เป็นศิษย์คนแรกของจิงเซียว เขาเป็นเจ้าของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีนในปักกิ่ง ตัวเขาจบแพทย์แผนปัจจุบันมา เมื่อมาเป็นลูกศิษย์ของจิงเซียว เขาได้เรียนรู้แพทย์แผนจีน และบูรณาการสองศาสตร์ในการรักษาเข้าด้วยกัน
ในขณะที่ภรรยาของเขาเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ทั้งคู่มีลูกสาวและลูกชายอย่างละคน ลูกสาวคนโตกำลังเรียนในมหาวิทยาลัยแพทย์ที่อเมริกา ในขณะที่ลูกชายคนเล็กยังเรียนอยู่ชั้นประถมปลาย
ลั่วเยี่ยนมีพ่อตาเป็นอดีตรัฐมนตรีสาธารณสุข ที่ตอนนี้เกษียณแล้ว แต่ยังคงมีอิทธิพลทางการเมืองอยู่ และสมาชิกในตระกูลของภรรยายังเป็นนักการเมืองหลายคน
การที่ลั่วเยี่ยนเป็นฝ่ายเดินทางมารับอาจารย์ด้วยตัวเอง แสดงว่าจิงเซียวคงจะมีนัดไปรักษานักการเมืองสักคน เวลาที่จิงเซียวไปรักษาใคร เขามักจะไม่เปิดเผยชื่อคนไข้ และเป็นธรรมเนียมที่สองตาหลานปฏิบัติกันมานาน เพราะผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ ไม่ต้องการให้ความลับของตนรั่วไหล เพราะจะส่งผลต่อการอยู่ในอำนาจและตำแหน่ง และยังอาจถูกลอบทำร้ายได้ด้วย
ในช่วงที่จิงซิงอี้ยังเด็ก เขาจะคอยฟังจิงเซียวเล่าถึงวิธีการรักษาโรคต่างๆ แต่เมื่อเขาโตขึ้น มีความสามารถมากขึ้น บางครั้งจิงเซียวก็จะปรึกษาเขา และบางครั้งจะให้จิงซิงอี้และลูกศิษย์คนอื่นรักษาคนไข้ในบางเคสด้วย
ในระหว่างที่เขากำลังค้นหาข้อมูลอยู่นั้น จิงซิงอี้นึกถึงครั้งแรกที่เขาพบกับลั่วเยี่ยน ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กน้อยอายุ 5 ขวบ และลั่วเยี่ยนมีอายุประมาณ 26-27 ปี เขาเริ่มต้นการทำงานเป็นแพทย์อยู่ในโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง และต่อสู้กับชีวิตและหน้าที่การงานแบบที่หมอจบใหม่ส่วนใหญ่มักเจอ
วันหนึ่ง เฉินเหลา ผู้ว่าราชการระดับมณฑล ซึ่งเดินทางมาเพื่อตรวจเยี่ยมการทำงานของข้าราชการท้องถิ่น เกิดอาการแน่นหน้าอกและหมดสติระหว่างพักอยู่ที่โรงแรม รถพยาบาลส่งเขามารักษาตัวที่โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด
ในเวลานั้น ลั่วเยี่ยนกำลังเตรียมตัวจะกลับบ้าน เขาเดินออกมาที่ประตูหน้าโรงพยาบาล เพื่อจะเดินไปที่ลานจอดรถ
รถพยาบาลที่วิ่งเปิดไซเรนมาก็จอดที่หน้าห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่รีบพาคนไข้ลงมา จากนั้นก็รีบเข็นเข้าห้องฉุกเฉิน ลั่วเยี่ยนยืนมองสักพัก และคิดว่าคงจะมีแพทย์เวรดูแลแล้ว เขาจึงเดินไปที่รถ แต่แล้วก็ต้องหยุด เมื่อได้ยินเสียงนางพยาบาลวิ่งกระหืดกระหอบตามเขามา
“คุณหมอลั่วเยี่ยน! อย่าเพิ่งไปค่ะ ช่วยกลับไปดูคนไข้ฉุกเฉินก่อนค่ะ!”
“เกิดอะไรขึ้นครับ” ลั่วเยี่ยนถามด้วยความสงสัย
ในขณะที่พวกเขากึ่งวิ่งกึ่งเดินไปที่ห้องฉุกเฉิน นางพยาบาลก็อธิบายว่าหมอที่อยู่เวรวันนี้เป็นหมอฝึกหัดปีแรก เขาตื่นเต้นมากและต้องการคนช่วย
ปรากฏว่าคนไข้คนนั้น คือ เฉินเหลา ในขณะที่นางพยาบาลก็โทรตามผู้อำนวยการโรงพยาบาล และหมอที่เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาที่ห้องฉุกเฉินโดยด่วน
พวกเขาช่วยกันรักษา และอาการของเฉินเหลาก็คงที่ แต่ยังคงอยู่ในอันตราย พวกเขาย้ายคนไข้ไปที่ห้องICU และประชุมกันอย่างเคร่งเครียดในคืนนั้นเพื่อตกลงว่าจะทำอย่างไรต่อ
ลูกน้องและข้าราชการท้องถิ่นที่รู้ข่าว ต่างพากันมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล ซึ่งสร้างแรงกดดันให้กับผู้อำนวยการโรงพยาบาลและทีมรักษาอย่างมาก
พวกเขาต้องตัดสินใจว่าจะผ่าตัดหัวใจในตอนนี้ หรือจะส่งคนไข้ไปโรงพยาบาลใหญ่ในเมืองที่มีความทันสมัยมากกว่า แต่ก็อาจจะมีผลกระทบจากการเดินทาง และเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วนั้น การใช้เฮลิคอปเตอร์ขนย้ายยังไม่ได้รับความนิยม พวกเขาจึงต้องรอให้ครอบครัวของเฉินเหลาเดินทางมาและตัดสินใจ
เช้าตรู่ของวันนั้น ลั่วเยี่ยนปลีกตัวออกมาข้างนอกโรงพยาบาลอย่างเหนื่อยล้า เขาต้องการกินอาหารเช้ารองท้อง และหยุดพักจากความวุ่นวายตั้งแต่เที่ยงคืนที่ผ่านมา
เขาเดินมาที่ร้านขายอาหารเช้าเล็กๆ หน้าโรงพยาบาล ซื้อซาลาเปากับน้ำเต้าหู้ จากนั้นก็นั่งกินที่ม้านั่งยาวข้างรั้วโรงพยาบาล
ในระหว่างที่เขากินซาลาเปาอย่างหิวโหย เด็กชายหน้าตาน่ารักอายุ 5-6 ขวบคนหนึ่ง ก็หยุดยืนมองลั่วเยี่ยนที่กำลังกินอยู่เงียบๆ ด้วยดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มสดใส เด็กน้อยแต่งกายด้วยกางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน เสื้อสเวตเตอร์แขนยาวสีขาว และรองเท้าผ้าใบสีขาว ซึ่งทำให้ผิวของเขายิ่งขาวใสมากยิ่งขึ้น
นี่คือครั้งแรกที่ลั่วเยี่ยนพบกับจิงซิงอี้ เขาบอกกับจิงเซียวในภายหลังว่า เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เขาเห็นเด็กอายุ 5-6 ขวบ ที่มีแววตาเฉลียวฉลาดและมีบุคลิกนิ่งสงบกว่าผู้ใหญ่หลายคน จิงเซียวฟังแล้วก็หัวเราะหึหึในลำคอ
ลั่วเยี่ยนคิดว่า การอยู่กับจิงเซียวที่มีอายุห่างจากเขาหลายสิบปี ทำให้เด็กน้อยเป็นผู้ใหญ่แตกต่างจากเด็กทั่วไป และจิงเซียวยังเป็นคนพูดน้อย จึงทำให้จิงซิงอี้พูดน้อยตามไปด้วยเช่นกัน
ลั่วเยี่ยนหยุดกิน มองซ้ายมองขวา เพื่อดูว่าพ่อแม่ของเด็กอยู่ไหน แต่ก็ไม่พบใคร เขาจึงถามเด็กน้อยด้วยความลังเลว่า
“เอ่อ..มีอะไรเหรอหนู พ่อแม่ไปไหนล่ะ”
จิงซิงอี้เอียงคอมองเขา และส่ายหน้าเล็กน้อย ลั่วเยี่ยนเริ่มตกใจ
“แย่แล้ว! นายหลงทางมาเหรอนี่!”
เขาพยายามสอบถามข้อมูล แต่เด็กชายจิงซิงอี้กลับไม่ตอบคำถามใดๆ
ในที่สุด ลั่วเยี่ยนจึงยื่นซาลาเปาอีกลูกในถุงให้ เด็กชายยื่นมือเล็กๆ มารับ และกินซาลาเปาอย่างมีมารยาท ลั่วเยี่ยนหัวเราะ เขาพึมพำว่า
“กินมีมารยาทกว่าเราอีก พ่อแม่สอนมาดีจริงๆ”
เด็กชายจิงซิงอี้ใช้ปากน้อยๆกัดกินซาลาเปาจนหมด เขามองไปที่น้ำเต้าหู้ในมือของลั่วเยี่ยน ชายหนุ่มรู้ว่าเด็กน้อยคงหิวน้ำ เขาจึงอุ้มเด็กน้อยมานั่งบนที่ม้านั่ง และรีบเดินไปซื้อน้ำเต้าหู้ใส่แก้วมาให้
เมื่อได้มาแล้ว เขายกแก้วขึ้นมาเป่าคลายร้อน และบอกให้เด็กชายค่อยๆ ดื่มทีละนิดอย่างระมัดระวัง
ลั่วเยี่ยนใช้ทิชชู่ที่ติดมาในกระเป๋ากางเกงเช็ดปากให้เด็กน้อย และถามเขาว่าจะดื่มน้ำชาไหม เด็กชายขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
ลั่วเยี่ยนรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้อย่างประหลาด ไม่เพียงแต่เขาจะมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แต่ยังมีบุคลิกบางอย่างที่แตกต่างไปจากเด็กทั่วไป
ลั่วเยี่ยนไม่ใช่คนรักเด็กแต่ก็ไม่ได้เกลียดเด็ก เขาจึงไม่ชอบเด็กแสบที่ชอบส่งเสียงดัง เล่นซนไม่รู้จักกาลเทศะ เมื่อพบจิงซิงอี้ที่ชอบทำสีหน้าเคร่งเครียดแบบคนแก่ในร่างเด็ก จึงทำให้เขารู้สึกเอ็นดู และเด็กน้อยยังแต่งตัวสะอาดสะอ้าน มีมารยาทดี น่าจะมาจากครอบครัวที่ดีด้วย
ลั่วเยี่ยนพยายามจะถามเพิ่มเติม แต่เด็กชายจิงซิงอี้ก็ยังไม่ยอมตอบ เขาทำหน้าไม่เข้าใจคำถามและบางครั้งก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน ลั่วเยี่ยนรู้ว่าเด็กน้อยเข้าใจ เพราะเขาเห็นสายตาซุกซนของจิงซิงอี้ที่รู้สึกสนุกจากการได้แกล้งหมอหนุ่มคนนี้
เมื่อเด็กชายไม่ยอมร่วมมือ และลั่วเยี่ยนต้องกลับไปตรวจคนไข้ เขาจึงพาเด็กน้อยเดินกลับไปที่โรงพยาบาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยหาว่า เด็กชายเป็นญาติของคนไข้ในโรงพยาบาล หรือหลงทางมาจากที่ไหนกันแน่
เมื่อเดินไปถึงโรงพยาบาล นางพยาบาลที่อยู่หน้าเคาเตอร์ต่างพากันมุงดูเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู แต่จิงซิงอี้ถอยไปหลบอยู่ข้างหลังลั่วเยี่ยน เขาไม่ได้กลัว แต่ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ใกล้ๆ“เดี๋ยวๆทุกคน ใจเย็นๆ เจ้าหนูกลัวแล้ว”ลั่วเยี่ยนเตือนสาวๆ และเล่าให้พวกเธอฟังว่าไปพบเด็กชายที่ไหน และขอให้พวกเธอช่วยประกาศหาพ่อแม่ในโรงพยาบาล และถ้าไม่พบ เขาจะโทรไปแจ้งตำรวจให้ช่วยตามหาอีกทีในระหว่างที่ชายหนุ่มอธิบาย จิงซิงอี้ก็ยืนฟังเงียบๆด้วยความสนใจ แม้ว่าใครๆ จะพยายามถามชื่อและที่อยู่ เขากลับนิ่งทำหูทวนลมเหมือนไม่เข้าใจ จนลั่วเยี่ยนอดหัวเราะไม่ได้ชายหนุ่มจะต้องออกตรวจคนไข้ตอนเช้า เขาจึงคิดจะฝากให้เด็กชายอยู่กับเจ้าหน้าที่ แต่จิงซิงอี้ไม่ยอม เด็กน้อยวิ่งตามลั่วเยี่ยน ทำให้เขาต้องพาเด็กชายไปที่ห้องตรวจด้วยเขาย่อตัวลงสบตากับเด็กน้อยและพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันไม่รู้ว่านายต้องการอะไร แต่ฉันรู้ว่านายเข้าใจทุกสิ่งที่ฉันพูด ถ้านายไม่อยากไปไหน ก็อยู่กับฉันไปก่อน ถ้าเปลี่ยนใจอยากพูด ก็พูดมาก็แล้วกันนะเจ้าหนู”จากนั้นชายหนุ่มก็ลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู พวก
ตั้งแต่ยังหนุ่ม จิงเซียวมักออกเดินทางและหายไปหลายอาทิตย์ บางครั้งเขาเดินทางไปรักษาชาวบ้านตามที่ห่างไกล บางครั้งก็ไปเก็บสมุนไพรตามป่าเขาลำเนาไพร และได้รับเชิญจากผู้นำระดับประเทศ รวมไปถึงผู้มีชื่อเสียงและอำนาจขอให้ไปช่วยรักษาโรคเมื่ออายุมากขึ้น เขาจะเลือกรักษาเฉพาะคนที่เขารู้สึกถูกใจเท่านั้น ถึงแม้บางคนจะใช้ทั้งเงินและอำนาจมาข่มขู่ ชายชราก็ไม่เคยหวั่นไหว เพราะเขามีลูกศิษย์และคนไข้ที่มีชื่อเสียงคอยปกป้องอยู่เสมอนี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่จิงเซียวไม่เคยเปิดคลินิกรักษาที่หมู่บ้านเจียวจู เพราะเขาไม่ค่อยจะอยู่บ้านนั่นเองในระหว่างที่สองตาหลานง่วนอยู่กับการทำงานของตัวเอง จิงเซียวก็บอกกับจิงซิงอี้ว่า“เสี่ยวอี้ อีกสองวันตาจะไปปักกิ่งนะ มีนัดรักษาคนไข้”ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ชายชราก็พูดต่อว่า “เสี่ยวเยี่ยน ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าจะมารับตาไป”เสี่ยวเยี่ยน หรือลั่วเยี่ยน อายุ 48 ปี เป็นศิษย์คนแรกของจิงเซียว เขาเป็นเจ้าของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่รักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีนในปักกิ่ง ตัวเขาจบแพทย์แผนปัจจุบันมา เมื่
จิงซิงอี้เห็นว่าป้าซ่งมีรูปร่างท้วม ยิ่งทำให้เข่าเสื่อมและเสียรูปมากกว่าปกติ เขาจึงอธิบายอาการให้หญิงสูงวัยฟังว่า“โรคที่ป้าเป็น คือ ข้อเข่าเสื่อมนะครับ เกิดขึ้นได้จากอายุที่มากขึ้นทำให้เสื่อม แล้วก็น้ำหนักที่มากกว่าปกติ บางคนก็เกิดจากการทำงานหนัก ยกของหนักมานาน”ป้าซ่งรีบตอบว่า “ใช่เลยจ้ะ ป้าทำไร่ทำสวนมาตั้งแต่สาวๆ บางทีก็ต้องแบกปุ๋ย แบกผักผลไม้ไปขาย ช่วงนี้ป้าปวดเข่ามาก มันตึงไปหมด พอนั่งๆนอนๆ น้ำหนักก็เลยขึ้นอย่างที่หมอเห็นนี่ละจ้ะ”ในขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยนั้น ลุงซ่งฮ่าวเทียน ก็ถือขวดใส่นมแพะ 3 ขวดเดินเข้าบ้านมาถามว่า“เท่านี้พอมั้ยหมอจิง”เมื่อเห็นป้าซ่ง เขาจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า“อายี่ ออกมาทำไม จะเอาอะไรเหรอ”ป้าซ่งรีบตอบว่า“ไม่มีอะไร ฉันเห็นว่าหมอจิงมา เลยเดินออกมาทัก”จิงซิงอี้สังเกตเห็นว่า ป้าซ่งไม่อยากพูดถึงอาการของตนต่อหน้าสามี เขาจึงหันไปพูดกับซ่งฮ่าวเทียนว่า“เท่านี้ก็พอครับ พรุ่งนี้สัก 5 โมงเย็นจะแวะมาซื้ออีกนะครับ ขอบคุณครับลุงซ
ระหว่างที่ถาม จิงซิงอี้กวาดสายตาไปรอบๆ ด้านอย่างระมัดระวัง เขากลัวแม่ของมันจะพุ่งออกมาจู่โจม ถึงเจ้าตัวเล็กจะทำตัวฟู และมีแววตาหวาดระแวง แต่ก็ยังจ้องตาเขาไม่หลบจิงซิงอี้ค่อยๆ ถอยออกมานั่งที่เดิม ทั้งสองปรึกษากันว่าจะนั่งรอห่างๆ และดูว่าแม่จิ้งจอกจะมารับลูกหรือไม่ และค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร เวลาผ่านไป 15 นาที ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีแม่จิ้งจอกเดินออกมา แต่แล้วลูกสุนัขจิ้งจอกก็ค่อยๆ โผล่หน้ามาออกมาจากหลังต้นไม้ และมองมาที่สองตาหลานในที่สุดจิงซิงอี้และจิงเซียวจึงลุกเดินไปหามันช้าๆ จิงเซียวพูดกับมันด้วยเสียงมีเมตตาว่า“เจ้าอยากจะให้พวกเราทำอะไรให้ บอกมาสิเจ้าตัวเล็ก”ลูกสุนัขจิ้งจอกเอียงคอฟัง จากนั้นมันก็หันหลังเดินเข้าไปในป่าด้านหลัง มันเดินไปสองสามก้าว และหยุดหันมามองพวกเขาหลายครั้ง เหมือนจะบอกให้ทั้งสองเดินตาม จิงซิงอี้และจิงเซียวมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่าเจ้าตัวเล็กคงอยากจะให้พวกเขาเดินตามทั้งสองจึงเดินตามมัน ที่พามุดเข้าไปในป่าที่เริ่มรกทึบ พวกเขาต้องก้มตัวหลบเถาวัลย์และลุยเข้าไปในพุ่มไม้ที่ขวางทางเอาไว้หลายครั้ง&
จิงซิงอี้ขยับตัวตื่นตอนเช้ามืด เพราะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูไม้หน้าบ้าน เขาลุกขึ้นและคว้าเสื้อกันหนาวมาสวมทับ ถึงแม้ว่าช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่หมู่บ้านนี้อยู่ใกล้กับภูเขาจึงมีอากาศเย็นตลอดทั้งปี และในช่วงเช้าแบบนี้ ยิ่งหนาวเย็นมากกว่าปกติเขาล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ทะมัดทะแมง คว้าโทรศัพท์และเป้ใส่ของ เดินออกมาจากห้องนอน และตรงไปที่ห้องครัวซึ่งอยู่ซ้ายสุดของห้องฝั่งตะวันตกเขาเริ่มต้นทำอาหารเช้า ด้วยการต้มข้าวกล้องผสมธัญพืชที่เคี่ยวจนเปื่อยนุ่ม จากนั้นก็จัดผักดองหลากชนิด ที่ใส่เกลือนิดหน่อยพอให้มีรสชาติลงไปในถ้วยเล็กๆ พร้อมกับไข่เค็มดองเองจากไข่เป็ดที่เลี้ยงตามธรรมชาติ ทำให้ไข่แดงมีสีเข้มมันเยิ้มน่ากินเมื่อทำเสร็จแล้ว เขาเดินไปที่ห้องทำงานของจิงเซียว และเคาะประตูเรียกชายชรา ทั้งสองนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน และมีคุยกันบ้างนิดหน่อย ตอนนี้ ชุนเฉิงเดินทางกลับบ้านของเขาที่อยู่อีกเมืองหนึ่งไปแล้ว เพื่อกลับไปดูแลคลินิกและธุรกิจของตัวเองจิงซิงอี้บอกจิงเซียวว่า เขาได้รับออเดอร์ถุงหอมสมุนไพรจำนวนมาก เขาจึงคิดจะทำขายอย่างจริงจัง และจะขึ้นไปบนภูเขาห
จิงซิงอี้ซึ่งกำลังคัดแยกสมุนไพร ก็ตอบตรงๆ ว่า “ยังไม่มีชื่อเลยครับ”จิงเซียวยิ้ม และมองหลานชายที่ก้มหน้าก้มตาเลือกสมุนไพร ก่อนจะพูดว่า“คลินิกฉางซาน”จิงซิงอี้เงยหน้าขึ้นทันทีด้วยความตกใจ จิงเซียวย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นว่า“ได้เวลาที่คลินิกฉางซานจะต้องมีผู้สืบทอดแล้ว!”จากนั้น ชายชราก็พูดต่อว่า “ตาเชื่อมั่นในฝีมือของเจ้านะ ตาไม่อยากให้ความรู้ที่สั่งสมมาจากบรรพบุรุษของเรา ต้องจบไปในรุ่นของตา”ขอบตาของจิงซิงอี้ร้อนผ่าว เขารู้ว่าจิงเซียวมีความฝันที่อยากจะเปิดสำนักแพทย์ของตนเองมานานแล้ว แต่เขายังไม่มีโอกาสสักที ถึงเขาจะมีลูกศิษย์อยู่ 3 คน แต่เป็นครั้งแรกที่จิงเซียวมอบชื่อสำนักแพทย์ฉางซานให้เขาสืบทอด จิงซิงอี้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า“ผมจะทำให้ดีที่สุด ผมจะสืบทอดคลินิกฉางซานเองครับ!”ชุนเฉิงซึ่งยืนฟังอยู่หน้าประตูยิ้มนิดๆ ก่อนจะเคาะประตูห้องทำงานและเดินเข้ามาในห้อง ทั้งสามคนช่วยกันคัดแยกสมุนไพร และสนทนาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ด้วยบรรยากาศอบอุ่น