ผ่านไปสามเดือนนับแต่ตงเหลียนฮวาเข้ามา
เจินจิ่วหรงยังคงใช้ชีวิตตามปรกติ ในฐานะฮูหยินตราตั้งของแม่ทัพประจิม ท่ามกลางสายตาหลากหลายคู่ซึ่งจดจ้องมองมา แต่แรกนางนึกว่าจะเป็นเหมือนบทละครที่เคยอ่าน แม่สามีมิชอบอนุต่ำต้อย ทว่ามันกลับมิได้เป็นเช่นนั้น จวนตระกูลไท่สุขสงบ มารดาและบิดาของไท่หย่งเสียนทำตัวลอยเหนือเรื่องพวกนี้ มิรังแกตงเหลียนฮวา ขณะเดียวกันก็มิได้เข้าข้างหรืออะไร ซึ่งนับว่าเป็นการวางตัวที่ดี อย่างไรเสียด้วยฐานะของนาง ปฏิเสธมิได้ว่ามันต้องเกี่ยวพันถึงในวัง หากแต่งเป็นอนุภรรยาคงมิมากเรื่อง แต่นี่กลับแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินรอง ทั้งที่ฐานะทางครอบครัวแต่เดิมก็มิได้ดีนัก ย่อมกลายเป็นที่ติฉินนินทาไปทั่ว นางเสียเวลาอยู่หลายคืนเพื่อจัดการเรื่องนี้ การรักษาหน้าตาและชื่อเสียงของสามี นับเป็นเรื่องที่สมควรทำ เรียวนิ้วมือยกขึ้นนวดขมับที่ปวดร้าว นัยน์ตาเรียวดั่งหงส์คล้ายพร่ามัวไปชั่วขณะ สิ่งใดที่สมควร นางก็ทำไปหมดแล้ว โชคดีที่ไท่หย่งเสียนมิได้เป็นบุรุษในบทละครพวกนั้น เขาแลเห็นคุณค่ารวมถึงตัวตนของนาง จึงมิได้ทอดทิ้งนาง ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เพียงแต่ต้องมีการแบ่งปั่นสามีให้กับสตรีอื่น ไท่หย่งเสียนจะนอนค้างกับนางสี่วัน และตงเหลียนฮวาอีกสามวันที่เหลือ นางชำเลืองมองเขาซึ่งนอนอยู่ข้างกาย ลำแขนแกร่งพาดลงบนหน้าท้องของนาง เปลือกตาทั้งสองปิดสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ขณะที่ไท่หย่งเสียนนอนหลับไปแล้ว กลับเหลือเพียงนางที่มิอาจข่มตาหลับได้ ร่างอรชรพลิกตัวไปหาเขา แล้วโอบกอดร่างอุ่นกว่าอย่างไร้ความลังเล ก่อนเริ่มทบทวนข้อผิดพลาดของตนในใจ “หย่งเสียน…” ความสงบสุขเป็นสิ่งที่เจิ่นจิวหรงปรารถนา ทั้งชีวิตนางอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายภายในวังหลวง ผลประโยชน์รวมไปถึงการชิงดีชิงเด่น กระนั้นแล้วการมีคนเพิ่มเข้ามาย่อมสร้างความวุ่นวายมิมากก็น้อยอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ดั่งเช่นเหล่าสนมภายในวังหลังของเสด็จพ่อ “มีเรื่องอะไร” เสียงเล็กแหลมของฮูหยินไท่ถามขึ้น ยามเห็นว่ารั่วซินกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูนาง เจินจิ่วหรงขบริมฝีปากเป็นเส้นตรง พลางโบกมือให้สาวใช้คนสนิทออกไปรั้งรอด้านนอก ยามกลางวันปรนนิบัติดูแลมารดาบิดาของสามี และจวน ยามค่ำคืนปรนนิบัติสามี สองสิ่งนี้คือหน้าที่ของนาง ส่วนตงเหลียนฮวานั้น… “หาได้มีอะไรน่าตกใจไม่” นางกล่าวเสียงเรียบ รับถ้วยน้ำชาจากอีกฝ่ายมาวางไว้ที่ตน แม้นว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นมารดาสามี ทว่าด้วยยศฐาแต่เดิม ผนวกกับที่ครอบครัวแม่ทัพประจิมคือข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ พวกเขาจึงปฏิบัติกับนางสูงกว่า และต้องการให้นางเป็นองค์หญิงเก้ามากกว่าลูกสะใภ้ “องค์หญิงเก้า” นางแย้มยิ้มบางเบา “หลายเดือนก่อนตงเหลียนฮวาพยายามจะซื้อตัว เข้าแทรกแซงการปกครองคนในจวนของลูก ดังนั้นลูกเลยให้รั่วซินไปจัดการ มิคาดว่าหลายคนจะตีความหมายผิด คิดว่าลูกต้องการรังแกนาง และเพื่อเอาอกเอาใจลูกพวกเขาเลยทำโดยพลการ” ฮูหยินไท่ขมวดคิ้ว อย่างไรก็ตามมารดาสามีค่อนข้างเกรงใจนางอยู่หลายส่วน อำนาจดูแลจวนล้วนยกให้นางนับแต่แต่งเข้ามา ฝ่ามือหยาบกร้านทาบลงบนข้างแก้ม เจินจิ่วหรงเงยหน้าสบตาอีกฝ่าย รอยยิ้มประดับบนดวงหน้างดงามมิเลือนหาย “จัดการให้เรียบร้อย” เจินจิ่วหรงพยักหน้า “ลูกสั่งให้คนโบยสาวใช้พวกนั้นแล้ว ส่วนตงเหลียนฮวานางแค่ตกน้ำ มิได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย ทั้งตอนนี้ก็ให้คนไปเชิญท่านหมอมาแล้วด้วย” “ข้าจะพูดกับหย่งเสียนให้เอง” “มิจำเป็น ลูกบอกเขาทุกอย่างนับแต่เรื่องก่อนหน้านี้แล้ว” เพราะนางอยู่ในวังหลวงมานาน เล่ห์เหลี่ยมและแผนการแยบยลผ่านมานักต่อนัก ตงเหลียนฮวาต่อให้เป็นบุตรีของตระกูลชั้นล่าง ทว่าเรื่องมารยาทและธรรมเนียมพื้นฐานย่อมได้รับการสั่งสอนมาบ้าง อย่างน้อยก็ควรรู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร โดยเฉพาะกับฮูหยินตราตั้งซึ่งเป็นองค์หญิง หากนี่กลับจงใจใช้เงินซื้อตัวคนในจวน ราวกับต้องการประกาศสงครามไร้สาระกับนาง ทั้งเรื่องในครั้งนี้ไท่หย่งเสียนก็ออกจะโปรดปรานนาง ข้ารับใช้ในจวนย่อมให้ความเคารพอยู่บ้าง อีกทั้งตงเหลียนฮวาเคยไปร่วมรบกับไท่หย่งเสียน นางต้องมีวนยุทธติดตัวอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่ามีช่องโหว่อยู่หลายจุด ดูท่าแล้วความสงบสุขกำลังห่างหายไปทุกที เจินจิ่วหรงแหวกผ้าม่านผืนบาง เรียวขางามขยับก้าวเข้าไปด้านในเรือนของตงเหลียนฮวา ครึ่งชั่วยามก่อนมีคนรายงานว่าอีกฝ่ายตื่นแล้ว ท่านหมอที่เชิญมาก็บอกว่ามิมีอะไรน่าเป็นห่วง นางหรี่ตาลงเล็กน้อย แลเห็นร่างบอบบางนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง “ท่านแม่ทัพ…” “เขามิมาหรอก” นางเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงโดยมีรั่วซินคอยประคอง ตงเหลียนฮวาปรือตาขึ้นมองนางอย่างตื่นตระหนก “ตามจริงเขาควรกลับมาตั้งแต่สองชั่วยามก่อน แต่องค์ชายสิบสามเรียกเข้าพบ” นางหันไปรับถ้วยน้ำชาอุ่นร้อนจากรั่วซินมาถือไว้ เรือนผมดำขลับขยับสั่นไหว “หากยังมิรู้ องค์ชายสิบสามคือน้องชายร่วมมารดาของข้า” “หรือว่าท่านจะ” ริมฝีปากสีชาดเหยียดยิ้มกว้าง “เจ้ารู้นี่ว่าวันนี้เขาจะกลับเร็ว ย่อมมาทันเห็นสภาพน่าสมเพชเช่นนี้ จากนั้นเขาต้องตำหนิข้า นั่นคือสิ่งที่เจ้าคิดเอาไว้” ตงเหลียนฮวาหลุบตาต่ำ พลิกตัวหนีนางอย่างไร้มารยาท อย่างไรก็ตามเจินจิ่วหรงเพียงเลิกคิ้ว หาได้นึกโกรธเคืองหรืออะไร ส่วนหนึ่งนางก็พอเข้าใจตงเหลียนฮวาอยู่บ้าง หากกลับมาแล้วอยู่ ๆ คนรักก็ถูกแย่งชิงไป มิมากก็น้อย ย่อมคิดจะทวงคืน กระนั้นนางก็ยังหาข้อผิดพลาดที่เด่นชัดของตนมิเจอ ไท่หย่งเสียนเป็นคนขอนางแต่งงาน เขาสัญญาว่าจะดูแลมิทอดทิ้งนาง ขณะที่ตอนนั้นตงหลียนฮวาคือคนตาย หาได้ผิดอะไร เพราะต่อให้มิแต่งกับเขา นางก็แต่งกับผู้อื่นอยู่ดี อีกทั้งเมื่อไร้ตงเหลียนฮวา เขาก็มิมีทางยกใครขึ้นมาทัดเทียมนาง บางทีข้อผิดพลาดทั้งหมด อาจเป็นการที่มิได้คิดเผื่อเอาไว้ว่าตงเหลียนฮวายังอยู่ “เจ้าอาจเป็นจุดเด่นในสนามรบ แต่น่าเสียที่ในจวนหรือวังหลังคือสถานที่ของข้า” ถ้วยน้ำชายกจรดริมฝีปาก แผ่นหลังสง่าเหยียดตรง “นับร้อยนับพันแผนการโสมมที่ผ่านมา เจ้ายังมีข้อผิดพลาดอีกมา ทางที่ดีควรทำตัวดี ๆ อย่าให้ข้าต้องโกรธ” “ท่านแม่ทัพจะปกป้องข้า” ตงเหลียนฮวากล่าวเสียงสั่นพร่า นัยน์ตากลมโตสบตานางอย่างมิเกรงกลัว “เขามิมีทางย่อให้ท่านรังแกข้า” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงหัวเราะ “รังแกเจ้างั้นหรือ เท่าที่เห็นมีแต่เจ้ามากกว่าที่รังแกข้า” “…” “ข้ากับไท่หย่งเสียนเป็นมากกว่าสามีภรรยา อย่างเรื่องในวันนี้เขามิมีทางตำหนิสักคำ แม้นเพียงครึ่งคำก็มิมีทาง เขาน่ะมิใช่คนโง่หรือบุรุษในละครพวกนั้นหรอกนะ” เจ้าของร่างอรชรขยับลุกขึ้น ก่อนหมุนตัวกลับออกไป นัยน์ตาเรียวดั่งหงส์หม่นแสงลง “พวกเราเกี่ยวข้องกันมากมาย ทั้งเรื่องผลประโยชน์ การเมือง และอำนาจ” พริบตามานางได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของอีกฝ่าย ตามบทสมควรเป็นนางซึ่งต้องหลั่งน้ำตา แต่เอาเถอะ องค์หญิงเก้ามีอะไรอีกมากต้องทำ “ไฉนข้าได้นึกถึงตงซือ หญิงไร้แก่นสารคนนั้นได้กัน” สำหรับบุรุษที่ตงซือหลงรัก รูปโฉมนับเป็นสิ่งสำคัญ ทว่ากับไท่หย่งเสียนแล้ว อะไรกันแน่ที่สำคัญ ตงเหลียนฮวามิได้สร้างความวุ่นวายอะไรอีกเลยนับแต่นั้น จวนแม่ทัพประจิมกลับมาสงบสุขอีกครั้ง ระยะห่างของนางกับเขาคล้ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ไท่หย่งเสียนมาหานางตามปรกติก็จริง ทว่าตงเหลียนฮวากลายเป็นผู้เข้าใจเขายิ่งกว่าใคร ด้วยความชอบ ทั้งยังเคยออกรบร่วมกัน มิแปลกใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเป็นเพื่อนคุยที่ดีกว่านาง กระนั้นแล้วเรื่องพวกนี้มิได้ทำให้นางบกพร่องต่อหน้าที่ภรรยาของเขา เช่นเดียวกับเขาที่มิได้บกพร่องต่อหน้าที่สามีของนาง เข้าสู่เดือนสิบเอ็ด สภาพอากาศแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้นางล้มป่วยนอนติดเตียง เจินจิ่วหรงสูดหายใจเข้า ควันขาวขุ่นพวยพุ่งในอากาศหนาวเหน็บ เรือนผมดำขลับสยายไปทั่ว นัยน์ตาเรียวดั่งหงส์ชำเลืองมองดวงหน้าคมคาย มือเรียวถูกเขากอบกุมเอาไว้ แผ่ความอบอุ่นแทรกซึมเข้ามา สุขภาพร่างกายของนางแข็งแรงอยู่ตลอดทั้งปี หากการล้มป่วยในช่วงเวลานี้กลับเป็นปรกติ ราวกับเป็นการพักผ่อนหลังจากทำงานหนักมานาน “หลายปีก่อน ข้าเคยนอนอยู่บนเตียงตามลำพัง ไร้คนเคียงกาย มีเพียงความว่างเปล่าที่โอบล้อม” ไท่หย่งเสียนเลิกคิ้วสูง ฝ่ามืออุ่นร้อนลูบไปตามเรือนผมของนาง “มิใช่ว่าเจ้าเคยบอกพระสนมเสียนเฟยจะคอยเฝ้าเจ้าอยู่ข้างเตียง” นางส่ายหน้าพลิกตัวหาความอบอุ่น “เผอิญว่าปีนั้นน้องสิบสามป่วยหนักมิต่างกัน ข้าเลยถูกทิ้งเอาไว้ กระนั้นแล้วข้าก็พอเข้าใจเหตุผลของเสด็จแม่อยู่บ้าง” เขานิ่งเงียบไป พลางทิ้งตัวลงนอนข้างนาง ดวงตาดำขลับสบเข้ามา “ข้าจะอยู่เฝ้าเจ้าเอง ระหว่างนี้เรื่องในจวนจะให้พ่อบ้านหวังจัดการดีหรือไม่” พ่อบ้านหวังงั้นหรือ เมื่อก่อนอาจมิใช่เรื่องน่าแปลกใจ หากนี่รับฮูหยินรองเข้ามาแล้ว ยามนางล้มป่วยควรเป็นตงเหลียนฮวาที่ดูแลจวนชั่วคราว ทว่าไท่หย่งเสียนกลับให้พ่อบ้านหวังจัดการ เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงร้องคราง ยกมือกอดเขาไว้แน่น “ดี” แต่แล้วแรกเช้าที่นางลืมตาขึ้นมา ไท่หย่งเสียนกลับหายไป ครั้นถามความจากรั่วซินจึงได้รู้ว่าตงเหลียนฮวาเองก็ล้มป่วยมิต่างกัน รอยยิ้มหวานแข็งค้าง มิได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีกเลย สามวันต่อมาไท่หย่งเสียนไปมาระหว่างนางกับตงเหลียนฮวาจนแทบมิได้นอน ในที่สุดนางฉีกยิ้ม พลางเอ่ยเสียงนุ่มนวล “แท้จริงแล้วท่านมิจำเป็นต้องกระเสือกกระสนมาหาข้าก็ได้ เพราะสุขภาพของท่านสำคัญยิ่งกว่าอะไร” กระนั้นแล้วไท่หย่งเสียนยังดื้อดึงอยู่หลายวัน ก่อนจะยอมนอนค้างกับตงเหลียนฮวา ยามเห็นนางดีขึ้นมาแล้ว องค์หญิงเก้าเงยหน้าขึ้น ก่อนเริ่มนับแผ่นกระเบื้องอีกครา... การเข้าวังปรนนิบัติเสด็จแม่ในช่วงขึ้นปีใหม่กลายเป็นเรื่องปรกติ ผิดแปลกออกไปก็ตรงที่ครานี้ไท่หย่งเสียนมิได้มาด้วย สามีของนางยังคงยุ่งกับงานมากมายตราบจนวันขึ้นปีใหม่ ชายอาภรณ์สีมงคลปักลายนกกระเรียงยาวลากผืนพรมภายในตำหนัก เจินจิ่วหรงย่อตัวลงเล็กน้อยทำความเคารพผู้เป็นมารดา ก่อนอีกฝ่ายจะรีบเข้ามาพยุงนางขึ้นอย่างรวดเร็ว พระสนมเสียนเฟย – เสด็จแม่ของนาง เป็นหนึ่งในสตรีที่ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ ด้วยรูปโฉมงดงามมิโรยราตามกาลเวลา ต่อให้เข้าสู่วัยสามสิบปลาย ๆ ก็ยังสง่างาม “เสด็จแม่” เรียวขางามขยับเข้าไปใกล้ พลางยกมือสวมกอดมารดาพอเป็นพิธี ความสัมพันธ์ระหว่างมารดากับนางมิได้ต่างจากคนทั่วไป เป็นห่วงเป็นใย ไปมาหาสู่กันเสมอ แน่นอนว่านั่นรวมไปถึงเรื่องเกี่ยวกับตงเหลียนฮวา เรื่องเหล่านี้ย่อมมิหลุดรอดจากสายตาของมารดา หากมีหรือจะตำหนิอะไรได้ ในเมื่อมันเป็นสามัญธรรมดาของเหล่าบุรุษ กระทั่งเสด็จพ่อเองก็มิต่างกัน “หย่งเสียนมีภาระงานมากมายจึงมิได้มากับลูก ขอเสด็จแม่โปรดอภัยด้วยเพคะ” นางกล่าว พลางหันไปรับกล่องทองเหลืองฉลุลายดอกพุดตานจากรั่วซิน แล้วเปิดออก “ปิ่นดอกไม้ขนนกกระเต็น งดงามและสูงค่า” พระสนมเสียนเฟยขยับยิ้มอ่อนโยน รีบให้นางกำนัลข้างกายไปรับมาโดยไว นัยน์ตาของสตรีสูงศักดิ์เปล่งประกายนึกพอใจเป็นที่สุด “หรงเอ๋อร์ เจ้าเลือกของขวัญได้ถูกใจแม่อีกแล้ว” “ขอบพระทัยเสด็จแม่เพคะ” เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็ก ก่อนเลื่อนมือสัมผัสกับถ้วยน้ำชาอุ่นร้อนซึ่งถูกรินเอาไว้ เสด็จแม่ยังคงเอาแต่สนใจของขวัญที่นางให้ กล่าวชมมิหยุดปาก “เชื่อเถอะว่าสนมน้อยใหญ่คงได้อิจฉาแม่เป็นแน่” รอยยิ้มประดับอยู่บนดวงหน้างดงาม นางหลุบตาลงต่ำนึกลังเล ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ยังเอ่ยออกไปอยู่ดี “ลูกมีบางสิ่งอยากทูลถามเสด็จแม่” “ว่าอย่างไร” พระสนมเสียนเฟยกล่าว ทั้งที่ดวงตาคงจดจ้องแต่เครื่องประดับในมือ “หากลูกจะหย่ากับหย่งเสียน เสด็จแม่มีความเห็นอย่างไรเพคะ” ประโยคนั้นของนางทำให้แววตาที่เคยเปล่งประกายแปรเปลี่ยนเป็นเฉยชา เสด็จแม่หันขวับมามองทันใด แล้วส่งปิ่นขนนกกระเต็นให้แก่นางกำนัลข้างกาย “หมายความเช่นไรกัน” การแต่งงานระหว่างนางกับไท่หย่งเสียน เป็นที่พึงพอใจอย่างถึงที่สุดของพระสนมเสียนเฟย เพราะทุกอย่างล้วนเกี่ยวพันกันถึงผลประโยชน์เบื้องหลัง ภายนอกแล้วนางและเขามิต่างจากกิ่งทองใบหยก “ตงเหลียนฮวากลับมาแล้ว ลูกมองมิเห็นว่าทำไมถึงยังต้องอยู่ต่อไป อีกทั้งนับวันความริษยาในใจลูกกลับควมคุมได้ยากขึ้น” นางเอ่ยเสียงเรียบ “กระนั้นแล้วมันก็เป็นเพียงการคิดคำนวณ ในความจริงแล้วการสละละทิ้งเขายากยิ่งกว่าการเข้าเฝ้าองค์เง็กเซียน” “หรงเอ๋อร์ เสด็จพ่อของเจ้ายังมีสนมนับพัน บุรุษใดเล่าจะมิมีอนุภรรยา เจ้าจะคิดมากไปไย” “ลูกมิเคยหวั่นหากเป็นเรื่องอนุอุ่นเตียง แต่แรกลูกแต่งงานกับเขาเพราะตงเหลียนฮวามิอยู่แล้ว ท่านก็รู้ว่าลูกมิเคยดึงดันจะสู้กับคนในใจของเขา” แรกเริ่มเมื่อเขาบอกว่ามีสตรีในดวงใจ นางก็ถอยกลายเป็นผู้เฝ้ามอง เสด็จแม่ขยับลุกขึ้นมากอดนางเอาไว้ “นั่นสำคัญหรือ เจ้าเป็นฮูหยินตราตั้ง เป็นองค์หญิงเก้า หากเป็นปัญหามากนักก็กำจัดนางทิ้งซะ” นางแหงนหน้าขึ้นสบตาเสด็จแม่ “ตลอดมาลูกเลือกทางที่ดีที่สุดเสมอ ไท่หย่งเสียนอาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ลูกเลือกความสุขมากกว่า” “เจ้ามีอำนาจในมือ บิดาของไท่หย่งเสียนเองก็เป็นแค่สุนัขรับใช้ของฝ่าบาท สามัญต่ำต้อยผู้หนึ่งจะหวั่นเกรงไปเพื่ออะไร” “ท่านก็รู้ว่าบางอย่างมิได้ง่ายดายเพียงนั้น คนมากมายต่างชื่นชมในสติปัญญาของลูก พวกเขาต่างกล่าวว่าเป็นพรสวรรค์ กระนั้นแล้วคนที่รู้ว่าแท้จริงแล้วลูกอ่านตำรามากเพียงใด กลับมีมิกี่คน” พระสนมเสียนเฟยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “น้องชายของเจ้า องค์ชายสิบสามเขาจำเป็นต้องมีแม่ทัพ” ณ ตอนนั้นนางพยักหน้าครั้งหนึ่ง แล้วเป็นเด็กดีของเสด็จแม่เช่นเดิม “ลูกเข้าใจแล้ว” “เด็กดี” เพราะทุกอย่างเกี่ยวพันกับผลประโยชน์เต็มไปหมด หากแต่ผู้ที่ต้องยอมรับในผลการกระทำกับมีเพียงแค่นางผู้เดียว ครึ่งปีหลังจากนี้ ตงเหลียนฮวาตั้งครรภ์บทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต