Share

บทสาม

last update Terakhir Diperbarui: 2025-09-17 18:46:13

บทสาม

แก้วตาดวงใจของทุกคน แต่มิใช่กับข้า

ไท่หย่งเสียนกำลังจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ นานมาแล้วเขาเคยวาดฝันจะมีเด็กตัวน้อย ๆ วิ่งเล่นรอบจวน เปล่งเสียงหัวเราะใสกังวาน คอยเป็นเพื่อนเล่นกับบิดามารดา ทุกอย่างกำลังจะเป็นจริง ทว่าผู้ที่จะเป็นมารดาของเขากลับมิใช่นาง

ขณะทุกคนกำลังฉีกยิ้มยินดีกับข่าวมงคลของตงเหลียนฮวา รอยยิ้มของนางกลับแข็งค้าง เรียวนิ้วมือจิกลงบนอาภรณ์สีม่วงเข้ม เจินจิ่วหรงหลับตาลงพลางสูดหายใจเข้าช้า ๆ ทรวงอกกระพือขึ้น ก่อนสงบลงเมื่อไท่หย่งเสียนหันมาหานางพร้อมยิ้มบางเบา

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เช่นเดียวกับมารดาและบิดาของเขาที่พึ่งตระหนักว่าองค์หญิงเก้ายืนอยู่ตรงนี้ ปลายเท้าขยับเข้ามาใกล้ นัยน์ตาคู่คมสบหาหานาง

“ข้าต้องบอกข่าวมงคลพวกนี้แก่เหล่าญาติพี่น้องของท่าน แล้วก็ต้องตระเตรียมของสำหรับเด็ก ก่อนอื่นต้องเชิญท่านหมอ...”น้ำเสียงหวานขาดห้วงไป ยามฝ่ามืออุ่นร้อนทาบลงมา นางหลุบตาต่ำลง แม้นว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเพื่อมิให้เกิดข้อผิดพลาด เจินจิ่วหรงต้องเป็นภรรยาที่ดีและสง่างามของเขา

“จิ่วหรง”

ชั่วขณะหนึ่งนัยน์ตาดำขลับวูบไหวอย่างรุนแรงราวกับหยาดน้ำตาจะไหลลงมา ทว่านี่คือองค์หญิงเก้า มีหรือจะยอมให้ข้อผิดพลาดพวกนั้นเกิดขึ้น เรียวขางามขยับถอยออกมา “ดูท่าจะวุ่นวายมิใช่น้อย”

อาจเพราะพวกเขาอยู่ด้วยกันมานาน ไท่หย่งเสียนจึงมิได้ดึงดันจะคาดคั้นอะไรนางอีกต่อไป เขาหันกลับไปมองตงเหลียนฮวากำลังจดจ้องมา ”เจ้าเป็นฮูหยินตราตั้ง ลูกของนางย่อมเหมือนลูกของเจ้าเฉกเช่นเดียวกัน”

นับแต่จำได้ไท่หย่งเสียนมักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอยู่เสมอ หากแต่บางคราประโยคนั้นของเขาก็ช่างบาดลึกถึงจิตใจ

นางเหลือบมองเพดานขุ่นมัวเล็บมือครูดลงบนอาภรณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า “บางครั้งข้าก็เกลียดความเห็นอกเห็นใจของท่าน”

“มันมิใช่ความเห็นอกเห็นใจ เจ้าเป็นภรรยาของข้า”เขาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกดวงหน้างดงามออก

เจินจิ่วหรง ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี

“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ”

สมควรได้รับงั้นหรือ…

แต่งงานมาห้าปี เจินจิ่วหรงไม่เคยให้กำเนิดบุตรีหรือบุตรชายกับเขาแม้นเพียงคนเดียว ลึกลงไปแล้วมันคือสิ่งที่ไท่ฮูหยินและอดีตท่านแม่ทัพประจิมปรารถนา แต่ก็มิกล้าจะคาดคั้นหรือออกปากให้ไท่หย่งเสียนรับอนุภรรยา ดังนั้นเมื่อตงเหลียนฮวาสามารถเติบเต็มความปรารถนานี้แก่พวกเขาได้ มิแปลกใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้กลายเป็นที่ต้องการอย่างรวดเร็ว

กระนั้นแล้วไท่ฮูหยินก็มิลืมบอกกับนางว่าไยดีเพียงเด็กในท้อง เพื่อเป็นข้ออ้างมิให้องค์หญิงเก้าเกรี้ยวโกรธ หากแท้จริงเป็นเช่นไร ใช่ว่านางจะมิรู้ เป็นอีกครั้งที่เจินจิ่วหรงเลือกหลับตาลงข้างหนึ่ง ใช้ชีวิตเช่นเดิม ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงมากมาย เหล่าข้ารับใช้เริ่มออกนอกกรอบการควบคุม เข้าประจบตงเหลียนฮวา

ทุกวันนี้นางมีตำแหน่งองค์หญิงคุมกะลาหัว ทว่าในอนาคตเกิดลูกของอีกฝ่ายออกมาเป็นบุรุษ จะอย่างไรเสียย่อมมีอิทธิพลเหนือนางมิมากก็น้อย ถึงแม้นว่าไท่หย่งเสียนจะมิมีทางทอดทิ้งนาง

นางหรี่ตาลงเล็กน้อยแลเห็นเมฆครึ้มลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ก่อนกลับมามอบความสนใจแก่ท่านหมอหลวงที่เชิญมาจากในวังหลวงอีกครั้ง “เจ้าบอกว่าสุขภาพของข้าแข็งแรงดี พร้อมต่อการมีบุตร ไฉนหลายปีที่ผ่านมากลับมิเคยตั้งครรภ์เลยสักครั้งเดียว”

บุรุษวัยกลางคนนิ่งเงียบ ได้แต่ก้มหน้าต่ำลงมิกล้าสบตานาง “กระหม่อมยืนยัน สุขภาพขององค์หญิงแข็งแรงดีพะย่ะค่ะ”

“หรือเจ้าจะบอกว่าเป็นเพราะพระพุทธองค์มิเมตตาข้างั้นหรือ”

ยังคงมีเพียงความเงียบสงบที่เข้ากลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง นางถอนหายใจยาวเหยียดพลางผินมองไปทางอื่น

“รั่วซิน ส่งท่านหมอหลวงกลับวัง”

รั่วซินพยักหน้าอย่างรวดเร็ว รีบเชื้อเชิญให้ท่านหมอหลวงออกไปจากเรือน เพียงมินานห้องกว้างใหญ่ก็เหลือเพียงนางตามลำพัง เวลาผ่านไปมากเพียงใดมิอาจล่วงรู้ ครั้นเงยหน้าขึ้นดวงอาทิตย์กำลังสาดแสงสีส้มแล้วหายลับไปจากท้องนภา รู้ตัวอีกทีรั่วซินกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมจานอาหารสำหรับมื้อเย็น

ปลายนิ้วมือสัมผัสลงบนเปลือกตา ได้ยินเสียงหวานของข้ารับใช้สาวดังข้างตัว “ฮูหยิน ท่านแม่ทัพบอกว่าอาจมาช้าเสียหน่อย ให้ฮูหยินทานได้เลยมิต้องรอเจ้าค่ะ

เรียวคิ้วยาวเลิกสูง “มีเรื่องอะไร”

เจ้าของร่างเล็กกัดปาก ตอบกลับมิเต็มเสียงนัก “ฮูหยินรอง…”

และเพียงเท่านั้นนางก็เข้าใจได้อย่างง่ายดาย เจินจิ่วหรงถอนหายใจอีกครา แล้วหยิบตะเกียบขึ้น ก่อนชะงักค้างไป ท่ามกลางความสงสัยใคร่รู้ของรั่วซิน “ฮูหยิน”

ตามที่ตกลงกันไว้ เขาต้องอยู่ร่วมทานอาหารเย็นกับนาง ถึงยามค่ำคืนจะคอยดูแลตงเหลียนฮวาก็ตาม

“ข้าจะรอหย่งเสียน”

ตลอดมาเขามิเคยผิดสัญญากับนางเลยสักครั้งเดียว

ทว่าในคืนนั้นมิว่าจะรั้งรออยู่นานเท่าใด ก็ไม่ปรากฏให้เห็นแม้นเงาอันเลือนรางของเขา ท้ายที่สุดแล้ว เช้าวันต่อมาไท่หย่งเสียนถึงโผล่หน้ามาพร้อมกับแจกแจงเหตุผลของเขาแก่นาง ตามด้วยคำขอโทษ

“ข้าขอโทษ”

กระนั้นหรอกหรือ

แล้วมันก็เป็นอีกครั้งที่นางเลือกหลับตาลงข้างหนึ่ง ฉีกยิ้มกว้างให้อภัยเขาอย่างง่ายดาย

“ช่างมันเถอะ”

ห้าเดือนต่อมาตงเหลียนฮวาให้กำเนิดบุตรชายแก่เขา

สามปีต่อมาเด็กคนนั้นกลายเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของทุกคน ยกเว้นนาง

ฝ่ามืออุ่นร้อนทาบลงบนข้างแก้ม ดวงเนตรดำขลับของเสด็จแม่สบเข้ามา ริมฝีปากสีชาดเหยียดยิ้มกว้าง เจินจิ่วหรงขยับยิ้มอ่อนหวานเฉกเช่นทุกปี เรียวขางามก้าวถอยออกมาสองสามก้าว ท่ามกลางสายตามากมายของเหล่าข้ารับใช้กำลังจดจ้องมา

“เจ้ากับเขาเป็นเช่นไรบ้าง”

นี่นับเป็นประโยคเดิมที่ถูกไถ่ถามในทุกครั้งที่พบหน้า

นัยน์ตาเรียวดั่งหงส์ฉายแววเฉยชา พลางยกยิ้มขึ้นสักหน่อย “ลูกถอยให้เขาก้าวหนึ่งเสนอ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเพคะ”

นอกเหนือจากรั่วซินที่ค่อนข้างกังวลในความสัมพันธ์ระหว่างนางกับไท่หย่งเสียน ก็คงมีพระสนมเสียนเฟยอีกคน ถึงแม้นจะกังวลในความหมายที่ต่างออกไปก็ตามที คล้ายรับรู้ว่านางใช่จะอยากพูดถึงเรื่องพวกนี้ เสด็จแม่เพียงพยักหน้า ก่อนเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว

“ได้ยินเยี่ยงนี้ แม่ก็สบายใจ”พระสนมคนงามโบกมือไปมา ก่อนหันไปหาบุตรชายของตนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ตัว “ใช่หรือไม่ เยี่ยนเอ๋อร์”

“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”องค์ชายสิบสามตอบรับเสียงเรียบ หยิบกาน้ำชารินลงในถ้วย แล้วเลื่อนมาตรงหน้านาง รอยยิ้มอ่อนโยนและลุ่มลึกประดับอยู่บนดวงหน้า “ท่านพี่”

ในทางปฏิบัตินางค่อนข้างมั่นใจว่าตนเองรู้ดีเสมอว่าควรทำตัวอย่างไร จึงจะเหมาะสม เจินจิ่วหรงหรี่ตามองปิ่นขนนกกระเด็นบนหัวของเสด็จแม่ ปีนั้นมิเพียงนางที่มอบปิ่นปักผมให้ องค์ชายสิบสามเองก็มอบมันให้เช่นเดียวกัน และช่างน่าเสียดายเมื่ออันที่ปักอยู่บนเรือนผมนั้น มิใช่ของนาง

ไฉนนางถึงได้ตกเป็นที่สองเสมอ มิว่าจะในใจของเสด็จแม่ หรือสามี

“แม่ทัพประจิมมิว่าหรอกหรือ พี่หญิงมาร่วมฉลองกับเสด็จแม่เกือบทุกปี”

“ข้าเป็นองค์หญิงเก้า ใครจะกล้าตำหนิ”นางเอ่ย ถ้วยน้ำชายกขึ้นระดับสายตา “อีกอย่างนี่มินับว่าเป็นความกตัญญูหรอกหรือ”

มันอาจเป็นครั้งแรกที่นางตอบอะไรกลับไปมากกว่ารอยยิ้ม ดวงตาคู่คมฉายแววประหลาดใจ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของนางกับองค์ชายสิบสาม นับว่าเป็นไปได้ด้วยดี เพียงแต่ว่า…

“ไยจึงต้องถกเถียงเรื่องพวกนี้ในวันมงคล”พระสนมเสียนเฟยรีบตัดบททันใด เช่นเดียวกับองค์ชายสิบสาม เขาชำเลืองมองนางเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันไปผลิยิ้มแก่เสด็จแม่ กล่าวคำหยอกล้อดั่งเด็กน้อยเหมือนทุกครา ตามมาด้วยคำชมเชยและดวงเนตรที่แสดงถึงความภาคภูมิใจจากเสด็จแม่

“แม่ได้ยินว่าเสด็จพ่อจะแต่งตั้งเจ้าเป็นแม่ทัพ นำทัพปราบกบฏที่ชายแดน”

“ลูกกำลังจะบอกเรื่องนี้กับเสด็จแม่ มิคาดว่าทรงรู้อยู่ก่อนแล้ว”

เพียงเท่านั้น วันต้นปีอันหนาวเหน็บก็กลายเป็นฤดูใบไม้ผลิแสนอบอุ่นอย่างง่ายดาย เจ้าของร่างอรชรขยับลุกขึ้นสวมกอดองค์ชายสิบสาม “เจ้าเป็นความภาคภูมิใจของแม่ องค์ชายสิบสาม”

“แต่ยังมิมีราชโองการออกมา ลูกมิอยากให้เสด็จแม่…”

พระสนมเสียนเฟยส่ายหน้า “เจ้ามีแม่ทัพประจิมอยู่ด้วย อย่างไรเสียเสด็จพ่อของเจ้าย่อมมอบหมายหน้าที่สำคัญนี้ให้แน่ องค์ชายสิบสามเจ้าต้องเป็นฮ่องเต้ เป็นที่พึ่งพิงของแม่และพี่สาวของเจ้า ใช่หรือไม่ หรงเอ๋อร์”

อีกครั้งและอีกครั้งของการเป็นเด็กดี เชื่อฟังมารดาเพื่อให้ได้รับความเอ็นดู

“เพคะ เสด็จแม่”

ได้มาซึ่งรอยยิ้ม

เสด็จแม่กวักมือสองสามครั้ง “มาให้แม่กอดเจ้าหน่อย เด็กดี”

ณ ตอนนั้นนางขยับลุกขึ้นเปรียบดั่งกายหยาบไร้ความรู้สึก เสมือนอ้อมกอดที่กำลังได้รับ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ฝ่ามือขาวเนียนกำลังลูบหัวนาง “เด็กดีของแม่”

ทว่าท้ายที่สุดแล้วมันกลับมิมีอะไรเลย

ช่างว่างเปล่าเสียจริง

องค์หญิงเก้ากระชับร่มคันเล็กในมือ ปลายเท้าเหยียบย่ำลงบนถนนสายหลักซึ่งเวลานี้ปกคลุมด้วยหยาดหิมะขาวโพลน โดยมีรั่วซินเดินตามอยู่มิห่าง ดวงหน้างดงามแหงนขึ้นมองท้องฟ้าขมักขมัวด้วยหมู่เมฆ การเดินจากวังกลับจวนแม่ทัพประจิมมิได้แย่เสียเท่าไหร่นัก อย่างน้อยมันก็อยู่มิไกลนัก ทั้งยังมิใช่ครั้งแรกเสียด้วย ในอดีตตอนที่ไท่หย่งเสียนจมอยู่กับความเสียใจ นางเคยออกมาหาเขาด้วยเท้าเปล่า เหยียบย้ำลงบนหิมะ

หลังจากนั้นก็ต้องนอนโทรมอยู่บนเตียงเสียหลายวัน ทั้งที่ทุ่มเทและเหมาะสมถึงเพียงนี้

มินานประตูจวนตระกูลไท่ก็ปรากฏสู่สายตา ชั่วขณะหนึ่งนางเกิดความลังเล ร่างอรชรยืนนิ่ง ท่ามกลางความงุนงงมิเข้าใจของบรรดาข้ารับใช้ รั่วซินกระตุกอาภรณ์ของนางหมายเรียกสติ

“รั่วซิน ด้านในนั้นพวกเขากำลังร่วมฉลอง หย่งเสียนเขามีลูกชายของเขา ภรรยาของเขา และครอบครัวของเขา”

“ฮูหยิน…”

หลายคราที่คิดว่าน้ำตาอาจไหลออกมา ทว่ากลับมิมีแม้นเพียงหยดเดียว เจินจิ่วหรงยกยิ้มเย้ยหยัน ก่อนก้าวเท้าออกไปมุ่งตรงสู่เรือนของตน แล้วเก็บตัวเงียบเหมือนที่ผ่านมา เมินเฉยต่อพ่อบ้านหวังที่เขาสั่งให้มาเชิญนางออกไป ขังตนเองอยู่ในโลกใบเล็ก

แผ่นหลังพิงแนบไปกับขอบเตียง ทอดสายตามองเกล็ดหิมะซึ่งโปรยปรายลงมามิหยุด นางกอดเข่านึกเวทนาตนเองอยู่ในใจมิใช่น้อย ยิ่งพอได้ยินเสียงใสกังวานของเด็กน้อย นางยิ่งอยากร้องไห้ แต่แล้วมันก็มิมีสิ่งใดไหลออกมา ได้แต่เฝ้ามองให้วันเวลาผันเปลี่ยนไปอย่างไร้ค่า รู้ตัวอีกทีฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง

กระนั้นแล้วก็ยังมิเคยได้รับคำถามในสิ่งที่ถามตนเองอยู่ตลอด

นางทำผิดพลาดตรงไหนกันแน่

หน้าที่ปรนนิบัติมารดาบิดาของสามียังเป็นหน้าที่นาง เช่นเดียวกับหน้าที่ดูแลจวน แน่นอนว่าเจินจิ่วหรงทำมันได้ดีเสมอ จนกระทั่งพักหลังที่ไท่ฮูหยินเริ่มติดหลานตัวน้อย ไท่ตงเจิน ด้วยเหตุนี้นางจึงมีเวลาว่างในช่วงบ่าย ยามที่บุปผาเบ่งบาน นางจึงใช้มันกับการอยู่ในสวน ข้อเท้าเปลือยเปล่าสัมผัสลงในของเหลวสีใส แลเห็นปลาตัวเล็ก ๆ เหวกว่ายในสระ

พักหลังมานี้ไท่หย่งเสียนและนางต่างใช้ชีวิตในส่วนของตน อาจเพราะเขามีไท่ตงเจิน บุตรชายตัวน้อย มินับรวมตงเหลียนฮวา และภาระงานมากมาย อย่างไรก็ตามเจินจิ่วหรงค่อนข้างชาชินกับการอยู่คนเดียว ผลาญวันเวลาไปกับความว่างเปล่า

ปลายนิ้วมืออุ่นร้อนสัมผัสลงบนเปลือกตา นับแต่เกิดมานางมิเคยต้องอดทนต่ออะไรมากมายเท่านี้มาก่อน ใช้เวลาห้าปีในฐานะสหาย แปดปีในฐานะภรรยา แม้นสามปีให้หลังจะใช้มันถามหาและทบทวนความผิดพลาดก็ตาม

“บ่าวเชื่อว่าหากฮูหยินลองบอกความมิพอใจกับท่านแม่ทัพ เขาต้องไยดีท่านแน่เจ้าค่ะ”รั่วซินอยู่ข้างกายนางเสมอ เสียงหวานนั้นเอ่ยสิ่งต่าง ๆ มิเคยหยุด “อย่างไรเสียฮูหยินก็เป็นที่หนึ่งเสมอนะเจ้าคะ”

หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่แน่ว่า “ข้าเคยคิดว่าตนเองสมบูรณ์เท่าที่สุดแล้ว ทว่ามันกลับว่างเปล่า มิมีอะไรอยู่เลย”

“ฮูหยินเป็นองค์หญิงเก้า”

นางส่ายหน้า “ข้ามิอยากดิ้นรนหรือพยายามมากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”

ต้องจมอยู่กับความเดียวดาย อิจฉาริษยา นางถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนเสียงคุ้นหูของไท่ตงเจินจะดังขึ้น พร้อมกับเสียงของเหล่าพี่เลี้ยง เจินจิ่วหรงก้มหน้าต่ำลง แล้วขยับลุกขึ้น “ข้าอยากพักผ่อน กลับกันเถอะ”

เพราะเจินจิ่วหรงมิได้เป็นดั่งพระพุทธองค์มากเมตตา นางเป็นเพียงสตรีธรรมดาที่มีความรู้สึก และมิอาจทำเป็นเอ็นดูหรือรักใคร่ในตัวเด็กคนนั้นได้ เด็กน้อยที่เป็นลูกของไท่หย่งเสียนกับคนอื่น แค่ได้ยินเสียงก็รู้สึกทุกข์ทรมาน ตลอดมาจึงเลือกมิยุ่งเกี่ยวอะไร ต่างคนต่างอยู่

ที่ใดมีเด็กคนนั้น ที่นั่นจะมิมีนาง

“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”

แต่แล้ว มันกลับมีข้อผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้น เด็กชายตัวน้อยกำลังพุ่งตรงมาหานาง รอยยิ้มกว้างสดใสประดับบนดวงหน้าเล็ก นางเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก รีบขยับถอยหนี ก่อนพบเข้ากับความว่างเปล่า รั่วซินรีบคว้าตัวนางออกไว้ ทว่ากลับมิทันได้คว้าตัวของไท่ตงเจิน เสียงกรีดร้องจากเหล่าข้ารับใช้บริเวณนั้นดังขึ้น

“คุณชาย !”

มือเรียวยื่นออกด้านหน้า แน่นอนว่าเจินจิ่วหรงสามารถคว้าตัวเขาได้อย่างง่ายดาย แต่กลับชะงักค้างกลางอากาศ ความริษยามากมายฉายชัดอยู่ในดวงตา ความรู้สึกเข้าครอบงำสามัญสำนึกของนาง ก่อนที่ร่างนั้นจะจมลงใต้ผืนน้ำ นางกะพริบตา ปลายนิ้วมือเริ่มสั่นระริก นัยน์ตาวูบไหว

“ฮูหยิน !”

“ข้า…มิได้ทำอะไรผิด”

เด็กคนนั้นตกลงไป และนางแค่มิได้ช่วยเขา

องค์หญิงเก้าสูดหายใจเข้าช้า ๆ พลันรับรู้ถึงหยาดน้ำตาที่กำลังไหลลงมา ในเวลานั้นนางพบข้อผิดพลาดของตนเอง

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • จิ่วหรง   บทสุดท้าย

    บทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห

  • จิ่วหรง   บทยี่สิบแปด

    บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ

  • จิ่วหรง   บทยี่สิบเจ็ด

    บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว

  • จิ่วหรง   บทยี่สิบหก

    บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่

  • จิ่วหรง   บทยี่สิบห้า

    บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร

  • จิ่วหรง   บทยี่สิบสี่

    บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status