บทสิบสาม
ไม่สมประกอบ ไท่หย่งเสียนมองออกนอกบานหน้าต่างของตำหนักองค์หญิง หิมะยังถล่มหนักจนกลายเป็นพายุไปแล้ว ดูท่าวันนี้คงไม่มีโอกาสกลับจวนแม่ทัพ เจินจิ่วหรงกำลังอาบน้ำอยู่ ส่วนเขานั่งรออยู่ด้านนอกฉากกั้นตามลำพัง ข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติองค์หญิงเก้ามีเพียงรั่วซินเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้เขาหายห่วง เพราะรั่วซินเป็นหนึ่งในคนที่รักเจินจิ่วหรงอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ข้ารับใช้ประจำตำหนักองค์หญิงเก้าเหลือน้อยเต็มที ส่วนใหญ่ถูกโยกย้ายไปประจำเรือนแม่ทัพ ไท่หย่งเสียนเลยเป็นฝ่ายปูที่นอนบนพื้นข้างเตียงนอนเจินจิ่วหรงด้วยตนเอง ตอนเจินจิ่วหรงเดินออกมา นางสวมเพียงอาภรณ์ขาวสะอาดแสนเรียบง่าย ไร้เครื่องประดับและการประทินโฉม ดวงตาเรียวดั่งหงส์สบมองเขา พลางย่อตัวลงทาบฝ่ามือของตนเองกับผืนพรม พร้อมถอนหายใจ ”ท่านขึ้นไปนอนบนเตียงกับข้าซะ ค่อยนำหมอนกั้นกลางเอา คืนก่อนข้ารังแกท่านไว้มาก หากคืนนี้ยังไล่ให้ไปนอนบนพื้นอีก เกรงว่าจะล้มป่วยจริง ๆ” ดวงตาของไท่หย่งเสียนทอประกาย เจินจิ่วหรงกำลังเป็นห่วงเขาใช่หรือไม่ ? ราวกับนางรู้ทันความคิด เลยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หย่งเสียน ข้ามิใช่คนใจร้ายก็จริง แต่ไม่ใช่คนขลาดเขลาด้วยเช่นกัน”นางยกยิ้มมุมปาก ก้าวขาขึ้นไปนอนบนเตียง “ต่อให้เป็นชายอื่น หากขึ้นชื่อว่าเป็นสามี ข้าย่อมไม่ปล่อยให้ตนเองต้องมีมลทิน เพราะรังแกเขาจนล้มป่วยหรอกนะ” คำตอบของนางทำให้ไท่หย่งเสียนกำมือแน่น แล้วค่อย ๆ คลายออกอย่างอดกลั้น เขาไม่เคยเห็นเจินจิ่วหรงชายตามองชายอื่น เลยไม่เคยคิดว่าจะมีใครกล้ามาเป็นสามีของนาง นอกจากเขา พอคิดว่าเจินจิ่วหรงมีตัวเลือกสามีอีกมากมาย เขาก็ยิ่งหงุดหงิดใจเอามาก ๆ ใช่ นางงดงาม เฉลียวฉลาด ฐานันดรสูงส่ง ใต้หล้านี้ไม่ควรถามว่าเจินจิ่วหรงเหมาะสมกับใคร แต่ควรถามว่าใครกล้าคิดว่าตนเองเหมาะสมกับนางบ้าง ? ไท่หย่งเสียนค่อย ๆ ก้าวขาขึ้นไปนอนบนเตียง เขาทิ้งตัวนอนตรงแหงนหน้ามองผืนกระเบื้องของตำหนัก ก่อนรั่วซินจะปิดม่านที่เตียงนอนลง แล้วเลื่อนฉากกั้นมาปิดไว้อีกชั้น ทั้งเรือนนอนของตำหนักจึงเหลือเพียงเจินจิ่วหรงและเขา นางเองก็แหงนหน้ามองแผ่นกระเบื้องเช่นกัน ก่อนปิดเปลือกตาลงอย่างไร้เสียง แต่กลับได้ยินเสียงกระซิบภาวนาแผ่วเบานั้นอยู่ดี “ขอพระพุทธองค์โปรดเมตตา ให้ข้าไม่หวนนึกถึงอดีตอีกแล้ว…” หลังเจินจิ่วหรงเอ่ยประโยคนั้น ลมหายใจของนางก็สม่ำเสมอ แสดงให้เห็นว่าเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสงบแล้ว ไท่หย่งเสียนเห็นดังนั้นก็เขี่ยหมอนกั้นกลางทิ้ง แล้วเคลื่อนเข้าไปใกล้ภรรยา ยามสัมผัสผิวกายของเจินจิ่วหรงก็ต้องตกใจเพราะร้อนรุ่มราวถูกเปลวเพลิงแผดเผา หยาดเหงื่อมากมายไหลออกมา ราวกับนางกำลังไม่สบาย ไท่หย่งเสียนใช้มือซับหยดเหงื่อของภรรยาออก ริมฝีปากบางขบเป็นเส้นตรง ท่าทางทรมานไม่น้อยเลย เขาอยากเรียกรั่วซินให้ตามหมอ แต่รั่วซินเคยบอกว่ากว่าเจินจิ่วหรงจะนอนหลับได้นั้นยากมาก อีกทั้งไท่หย่งเสียนก็เหนื่อยล้าจนเผลอหลับไปทั้ง ๆ ที่มือยังพยายามซับเหงื่อของนางอยู่ด้วยซ้ำ ผิวกายอันเย็นเหยียบดุจคนตาย เปลือกตาสองข้างปิดสนิท ดวงหน้างดงามไร้รอยยิ้ม เมื่อพยายามเปิดเปลือกตาขึ้น ก็เห็นแต่แววตาราวก้นเหวลึกดำทมิฬ ร่างกายบอบบางที่แข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ คราบน้ำตาแห้งเหือดอันเด่นชัด นี่น่ะไม่ใช่คน แต่เป็นซากศพของเจินจิ่วหรง “อ้ากกกกกกกก !” ไท่หย่งเสียนกรีดร้อง ลืมตาตื่นจากฝันร้าย มือพยายามไขว่คว้าและโอบกอดเจินจิ่วหรงเอาไว้ หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ขาดสาย เขาหอบหายใจ พยายามตั้งสติอีกหน รู้ตัวอีกทีก็ถูกอ้อมแขนอันอุ่นร้อนของนางดึงเข้าไปกอดเอาไว้แน่น และเมื่อสังเกตดี ๆ เจินจิ่วหรงเองก็กำลังสั่นกลัวเพราะฝันร้ายเฉกเช่นเดียวกัน น้ำตาหลั่งริน พร้อมสีหน้าอันบิดเบี้ยว “พวกเราไม่ไหวหรอก…”นางกล่าวเสียงสั่นเครือ ปลายนิ้วมือสั่นระริก “ข้ากับท่านต่างเป็นแก้วแตกละเอียด อยู่ใกล้ก็บาดลึก ไกลออกไปก็ไม่สมประกอบ” “ในใจข้ามีเจ้าเพียงคนเดียว มีแต่เจ้าที่ข้ายินยอมสยบให้ทั้งหมด !” เจินจิ่วหรงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “หากต้องการคลอดเด็กคนนี้ให้ปลอดภัยก็ต้องไปให้ไกลจากเมืองหลวง” “…ข้าควรอยู่ข้างกายเจ้า” “หรือท่านจะบอกว่า แม่ทัพประจิมไม่ได้มีส่วนร่วมในการวางยามิให้ข้าตั้งครรภ์ ?” ไท่หย่งเสียนกัดปาก พยายามสูดหายใจเข้าออกอย่างใจเย็น “ท่านพ่อทำไปเพราะเป็นรับสั่งของฝ่าบาท” “แท้จริงแล้วข้ากับท่านอาจมิใช่คู่เหมาะสมอย่างที่คนอื่นเห็น”นางเปล่งเสียงหัวเราะร่วน ยกมือทาบลงบนหน้าท้องแบนราบ “เดิมเสด็จพ่อก็หวาดระแวงเสด็จแม่มากอยู่แล้ว ที่ยินยอมให้ข้าตบแต่งเข้าจวนแม่ทัพเป็นเพียงการเดินหมากหนึ่งตา สุดท้ายแล้วเจินจิ่วหรงกับไท่หย่งเสียนก็เป็นคู่ที่ไม่สมประกอบเท่านั้นเอง !” ร่างกายของไท่หย่งเสียนเริ่มสั่น เขาในอ้อมกอดของนางไม่ต่างจากเด็กชายตัวน้อย พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ “เราห่างกันสักพัก จนกว่าเด็กคนนี้จะคลอดออกมาอย่างปลอดภัยดีหรือไม่ ?” เจินจิ่วหรงสะอึดสะอื้น “ข้าอยากไปอยู่หัวเมืองทางใต้อยู่แล้ว เป็นแบบนั้นดีที่สุดสำหรับเราสองคน” “แต่ว่า…ข้าไม่อยากปล่อยให้เจ้าเผชิญช่วงเวลายากลำบากนี่ตามลำพัง” “หย่งเสียน พวกเราต่างต้องการเวลา เพื่อมองให้เห็นชัดเจนว่าบาดแผลใหญ่นี่สามารถเยียวยาได้หรือไม่ได้กันแน่” “…” “เมื่อพบคำตอบแล้ว หากไม่ได้ก็ปล่อยตนเองและข้าไปเถอะ ตระกูลไท่จะอยู่อย่างสงบสุขมากกว่า หากไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกับองค์หญิงเก้าและการช่วงชิงบัลลังก์” ไท่หย่งเสียนกำมือแน่น ยกมือลูบหัวเจินจิ่วหรง “ต่อให้ต้องทอดทิ้งตระกูลไท่ ข้าต้องปกป้องเจ้าและลูกของเราให้ได้ !” ราวกับถูกปลอบโยน เจินจิ่วหรงและไท่หย่งเสียนค่อย ๆ สงบลงในอ้อมกอดของกันและกันในที่สุด องค์หญิงเก้ากับราชบุตรเขยกลับถึงจวนแม่ทัพในอีกสามวันต่อมา หลังพายุหิมะสงบลงและรถม้าสามารถเคลื่อนตัว ไม่มีใครคาดคิดว่าปลายฤดูหนาวจะเกิดพายุหิมะรุนแรงขนาดนี้ หลายคนบอกว่าเป็นลางร้ายจากสงคราม บ้างก็บอกว่าคือการเริ่มต้นใหม่ เจินจิ่วหรงเตรียมพร้อมลงไปหัวเมืองทางใต้ทันที เมื่อสภาพอากาศมีแนวโน้มว่าจะสดใส นางน่าจะไปถึงทันฤดูใบไม้ผลิ เฝ้ามองมวลบุปผาผลิบาน พร้อมกับการเติบโตของเด็กในครรภ์ หนีจากฝันร้ายอย่างสมบูรณ์ ไท่ฮูหยินและสามีต่างไม่ทราบว่าลูกสะใภ้กับลูกชายของตนเองมีปัญหาอะไรกัน เมื่อถามไท่หย่งเสียน เขาก็เอาแต่ปิดปากเงียบ บอกสั้น ๆ ว่าเป็นการแยกกันอยู่สักพัก เพื่ออารมณ์อันสดใสของเจินจิ่วหรง นางรู้ดีว่าลูกชายกำลังโกหก แต่ใครจะกล้าไปถามองค์หญิงเก้ากัน ? ด้านค่ายทหารแถบชานเมืองก็มีเรื่องให้แม่ทัพประจิมต้องหนักใจ เมื่อพลทหารในค่ายไปพบกับร่างหญิงสาวนอนหายใจโรยริน มันคงมิใช่เรื่องใหญ่อะไร หากมิใช่เพราะหญิงสาวคนนั้นมีรูปร่างเหมือนกับตงเหลียนฮวาทุกประการ ! แม่ทัพประจิมลังเลอยู่ช่วงหนึ่งว่าสมควรบอกลูกชายหรือไม่ เพราะเขาก็ไม่อยากทำความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงเก้ากับไท่หย่งเสียนแย่ลงไปกว่าเดิม แต่จะปล่อยตงเหลียนฮวาไปเลย ที่มาอันน่าสงสัยของนางก็อาจเป็นภัยต่อกองทัพต้าเจิน ด้วยเหตุนี้ ยามไท่หย่งเสียนกลับถึงจวน แม่ทัพประจิมเลือกโยนรายงานเกี่ยวกับตงเหลียนฮวาแก่ลูกชายไปฉบับหนึ่ง หากเขามองไม่ผิด ไท่หย่งเสียนกำลังเหยียดรอยยิ้มกว้างราวปีศาจในสงคราม ก่อนหลบซ่อนทุกอย่างภายใต้ท่าทางอันนิ่งสงบ “ถ้าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ตงเหลียนฮวาย่อมเกี่ยวข้องกับแม่ทัพแห่งแดนบูรพาของแคว้นฝูเยว่ นับเป็นเรื่องใหญ่สมควรรายงานฝ่าบาท” ชาติก่อนไท่หย่งเสียนก็เห็นด้วยกับความคิดนี่ สุดท้ายเจินเซียหยางฮ่องเต้ก็เลือกใช้เขาเป็นหมาก เก็บตงเหลียนฮวาไว้ข้างกาย โดยไม่แยแสว่าชีวิตแต่งงานของเขากับเจินจิ่วหรงจะเป็นอย่างไร ? กระนั้นฐานะของตงเหลียนฮวาก็ทำให้สงครามแดนบูรพาง่ายขึ้น เลยยังไม่สามารถกำจัดนางตอนนี้ ยิ่งกว่านั้นหูตาของเจินเซียหยางฮ่องเต้กว้างไกลนัก หากรู้ทีหลังว่าเขากำจัดตัวหมากล้ำค่าอย่างตงเหลียนฮวาทิ้งอย่างไม่ไยดี คงเกิดปัญหาแน่นอน ไท่หย่งเสียนนำรายงานแผ่นนั้นเผากับตะเกียงไฟ ท่ามกลางความตื่นตระหนกอันเรียบนิ่งของผู้เป็นบิดา พร้อมถามหนึ่งประโยค “ท่านพ่อ ท่านคิดอย่างไรหากองค์ชายสิบสามจะขึ้นเป็นองค์รัชทายาท ?” “เขาเป็นน้องชายขององค์หญิงเก้า ได้ยินว่าความสามารถโดดเด่น แต่อายุยังน้อยเกินไป โอรสของหว่านกุ้ยเฟยดูจะเหมาะสมกว่า” “หากต้องเลือก ท่านพ่อจะเลือกองค์ชายสิบสามหรือไม่” แม่ทัพประจิมขมวดคิ้ว มองกระดาษรายงานถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน “เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับตงเหลียนฮวากัน ?” “ถ้าเลือกเก็บนางเอาไว้ อย่างน้อยก็ควรรู้ว่าจะใช้ทำอะไร…” นับแต่แรกจนถึงตอนนี้ แม่ทัพประจิมไม่เห็นแววตาแห่งความเสน่หาที่ลูกชายมีต่อตงเหลียนฮวาสักแวบเดียว ราวทุกอย่างกลายเป็นอดีตไปจนหมดสิ้น “ตอนนี้หัวใจของลูกมีเพียงเจินจิ่วหรง ไม่เหลือพื้นอื่นใดแก่ใครอีกแล้ว” “องค์ชายสิบสามอาจโดดเด่น แต่คุณธรรมในใจเขากลับหมองหม่นนัก ไม่ควรคู่กับการเป็นองค์รัชทายาท”แม่ทัพประจิมกล่าวเสียงเฉียบขาด คอยสังเกตท่าทางของลูกชายเป็นระยะ “หรือเจ้าจะบอกว่าพ่อมองผิดไป” “ท่านพ่อพึ่งบอกเองว่าองค์ชายสิบสามยังเด็ก หมายความว่ายังเหลือเวลาอีกมากเพื่อขัดเกลาเขามิใช่หรือ ?” “เจ้าจะสนับสนุนองค์ชายสิบสามจริง ๆ สินะ” ไท่หย่งเสียนส่ายหน้า พลางโคลงหัวลงเสมือนคนเขลา “คนที่ลูกสนับสนุนมีเพียงเจินจิ่วหรง—ภรรยาของลูกเท่านั้น”บทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต