บทสิบห้า
หลังนางจากไป เจินจิ่วหรงเดินทางจากไปแล้ว หัวใจของไท่หย่งเสียนว่างเปล่าและหนาวเหน็บ เขามองรถม้าเคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา ก่อนหมุนตัวเดินออกจากประตูเมืองหลวง แม้นมีองครักษ์เงาติดตามไปด้วย ก็ไม่อาจทำให้เขาวางใจสักนิดเดียว เพราะไม่เคยต้องอยู่ห่างจากเจินจิ่วหรง ตอนนี้เลยรู้สึกเหมือนสิ่งที่สำคัญที่สุดในใต้หล้าลอยหายไป ไท่หย่งเสียนกระโดดขึ้นไปบนหลังม้า ก่อนควบม้าทะยานออกไปบนถนนตรงไปยังค่ายทหารที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อเตรียมจัดการกับตงเหลียนฮวาให้เรียบร้อย การไต่สวนจะมีขึ้นในอีกเจ็ดวัน เขาต้องทำให้นางสารภาพความจริงออกมา ทั้งเรื่องราวในแคว้นฝูเยว่ และการแฝงตัวเข้ามาในฐานะสายลับ ไท่หย่งเสียนแค่นยิ้มจนดวงหน้าบิดเบี้ยวไม่น่ามอง “ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเป็นแผนของตงเหลียนฮวา” ทันทีเมื่อเหยียบย่างลงบนค่ายทหาร กุนซือข้างกายของเขาก็รายงานว่าตงเหลียนต้องการขอเข้าพบเป็นการเร่งด่วน ไท่หย่งเสียนหลุดหัวเราะแผ่วเบา เผยสีหน้าน่าหวั่นเกรงจนอีกฝ่ายต้องหนาวสั่น “ข้าไม่ต้องการพบนางตอนนี้ แล้วก็ไปเชิญหมอคนใหม่มาตรวจสอบบาดแผลของนางซะ แผลแค่นั้นแต่กลับเดินไม่ได้จนถึงตอนนี้ มองดูว่ากำลังหลอกลวงข้าอยู่” หลังจากตอนนั้น ท่านรองแม่ทัพไท่ก็เปลี่ยนไป เลือกเดินทัพฝ่าหิมะเพียงเพราะข่าวลือไร้แก่นสารเกี่ยวกับตงเหลียนฮวา หลังจากนั้นก็ยังรีบกลับเมืองหลวงไปพบองค์หญิงเก้า เสมือนเป็นคนละคนจากก่อนหน้านี้ ไท่หย่งเสียนกระโดดลงจากหลังม้า แล้วเดินเข้าไปในกระโจมตามลำพัง เขาหยิบอุปกรณ์ชงชาของตนเองออกมา อันเป็นหนึ่งในของขวัญที่เจินจิ่วหรงทำขึ้นและมอบแก่เขา กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของชาหลงจิ่งลอยอบอวล ควันขุ่นมัวพวยพุ่งกลางอากาศ เหมือนกับเช้าวันนั้นไม่มีผิด… ไท่หย่งเสียนกำลังนั่งดื่มชาหลงจิ่งกับบิดา ก่อนสาวใช้ในเรือนของเจินจิ่วหรงจะมารายงานว่านางฆ่าตัวตายด้วยการผูกคอ ทำเอาอดีตแม่ทัพประจิมเบิกตากว้าง ขณะเขาเดินตามสาวใช้ผู้นั้นไปอย่างเลือนลอย ในใจภาวนาว่าเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น คนอย่างเจินจิ่วหรงไม่มีทางจบชีวิตของตนเอง ! แต่ร่างกายที่แขวนคออยู่บนนั้น ดวงหน้าขาวซีดไร้สีเลือด หากกลับเสมือนระบายยิ้มอย่างสงบ ไท่หย่งเสียนรีบนำร่างของเจินจิ่วหรงลงมา เขาตบหน้านางไปมาอย่างไร้สติ แล้วเปล่งเสียงกรีดร้องอย่างไร้เสียง ร่างกายของนางเย็นเหยียบ ซ้ำยังแข็งเกร็งขึ้นเรื่อย ๆ ขณะบุปผางามแห่งฤดูใบไม้ผลิเบ่งบานสะพรั่ง เจินจิ่วหรงในอ้อมกอดของเขากลับไม่อาจผลิบานอีกแล้ว กลีบของดอกหลันลอยอบอวลร่วงหล่นบนซากศพ “นางยังไม่ตาย ยังไม่ตาย”ไท่หย่งเสียนโอบกอดร่างวิญญาณนั้นแน่นกว่าเดิม เป็นแบบนี้อยู่ครึ่งวัน จนไม่อาจนำศพของเจินจิ่วหรงไปทำพิธีอย่างสมเกียรติ แม้นแต่อดีตแม่ทัพประจิมก็ห้ามบุตรชายไม่ได้เช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงไท่ฮูหยิน ในที่สุดคนจากวังหลวงก็มาถึง ข่าวการตายของเจินจิ่วหรงแพร่สะพัดเข้าไปในวังหลวงเรียบร้อย “ท่านแม่ทัพ โปรดมอบองค์หญิงให้ข้าน้อยเถิด”เจ้าของเสียงนั้นเป็นถึงมหาขันทีข้างกายองค์จักรพรรดิ กระนั้นกลับไม่เป็นผลใด ๆ ไท่หย่งเสียนกัดริมฝีปากตนเองแน่น พร้อมกล่าวเสียงหนักแน่นยิ่งกว่า “ไปตามหมอหลวงมา นางยังไม่ตาย หัวใจของนางยังเต้นอยู่ ข้าสัมผัสได้ !” รั่วซินที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก แค่นยิ้มเย็นชา พลางเอ่ยเสียงเหยียบเย็น “หัวใจขององค์หญิงจะเต้นอีกได้อย่างไร ? นางตายไปแล้ว ต้องจบชีวิตลงเช่นนี้ก็เพราะท่านแม่ทัพ !” ดวงตาดำขลับของไท่หย่งเสียนทอประกายวาววาม ตวัดมองรั่วซินหนหนึ่ง ความเกรี้ยวโกรธค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นทุกข์ตรมทีละน้อย ขณะไท่ฮูหยินรีบเงื้อมมือตบปากรั่วซิน แต่ก็ไม่อาจเป็นดั่งใจหวัง เพราะรั่วซินถือเป็นคนขององค์หญิงเก้า แน่นอนว่าแค่อดีตฮูหยินแม่ทัพย่อมไม่มีสิทธิ์ “หากท่านแม่ทัพไม่พาตงเหลียนฮวาเข้าจวน องค์หญิงเก้าของหม่อมฉันคงไม่ต้องตรอมตรมอยู่หลายปี เฝ้าถามตนเองทุกวันว่าทำอะไรผิด ! ข้อผิดพลาดของเจินจิ่วหรงคืออะไร !” “…” “วันนี้องค์หญิงเก้าจากไปด้วยสีหน้าสงบสุข ก็อย่าคิดกักขังนางอีกเลย ให้นางถูกฝังอย่างสมเกียรติ ส่วนพวกท่านทุกคนก็อยู่กับตงเหลียนฮวาไปเถอะ !” สิ้นประโยคนั้นน้ำตาของรั่วซินไหลอาบลงมา แตกต่างจากไท่หย่งเสียนที่นอกจากไม่ร้องไห้ ยังปล่อยร่างในอ้อมแขนให้แก่มหาขันทีด้วยความยินยอม ตงเหลียนฮวาเป็นหนึ่งในคนที่ล้อมอยู่ นางลอบเหยียดยิ้มกว้างด้วยความยินดี ในที่สุดตัวปัญหาอย่างองค์หญิงเก้าก็ถูกกำจัด ก่อนรอยยิ้มนี้จะเลือนหายไป เมื่อองค์ชายสิบสามมาถึง เจินจิ่วเยี่ยนแหวกผ่านคนมากมาย ปลายเท้าของเขาหยุดชะงักลง ยามเห็นร่างไร้วิญญาณพี่สาวในอ้อมแขนของเหมากงกง เขาได้รับจดหมายหลายฉบับที่รั่วซินส่งให้เมื่อเช้า แต่เพราะมีการศึกจึงทำให้มาถึงจวนแม่ทัพประจิมล่าช้าไปมาก เป็นครั้งแรกที่เจินจิ่วเยี่ยนรู้สึกโกรธแค้นไท่หย่งเสียน ตลอดมาเขามองทุกอย่างด้วยความเป็นกลาง คนระดับไท่หย่งเสียนจะรับอนุภรรยาย่อมไม่ใช่เรื่องผิด เสด็จพ่อของเขายังมีสนมมากมาย และเสด็จแม่ก็มิได้ทุกข์ตรมหรืออะไร แต่พี่สาวของเขาไม่เหมือนคนอื่น นางยึดติดกับความสมบูรณ์ และทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ต้องดีที่สุดอยู่เสมอ ไม่แปลก หากนางจะวนเวียนตั้งคำถามกับตนเองว่าทำผิดพลาดไปตอนไหน เมื่อไม่นานมานี้ เขาพึ่งรู้ว่าการมีอยู่ของตงเหลียนฮวาเป็นหนึ่งในการเดินหมากของเสด็จพ่อ ด้วยฐานะธิดาของอ๋องที่มีบิดาเป็นถึงแม่ทัพบูรพาแห่งแคว้นฝูเยว่อันสูงส่ง ย่อมง่ายต่อการใช้ประโยชน์ในสงคราม ซ้ำตระกูลไท่ก็โง่เขลากันทุกคน จงรักภักดีเยี่ยงสุนัข เป็นสุนัขไร้สมองไม่รู้จักมีหัวคิด ชอบอ้างแต่ทำเพื่อชาติบ้านเมือง แล้วพี่สาวของเขาไม่ทำเพื่อชาติบ้านเมืองหรือ ? นางเกิดเป็นสตรีออกรบมิได้ก็จริง แต่เจินจิ่วหรงก็ดูแลเรือนอย่างถึงที่สุด คอยสนับสนุนไท่หย่งเสียนผ่านคืนวันอันโหดร้ายไปกับเขา สุดท้ายกลับพบจุดจบเช่นนี้ น่าโกรธแค้นนัก ! เจินจิ่วเยี่ยนเกรี้ยวโกรธเกินกว่าจะทำตามที่เจินจิ่วหรงสั่งเสีย เขาจะลงมือด้วยตนเอง เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของเขากับเสด็จแม่ หลังต้องสูญเสียองค์หญิงเก้าไป “เปิ่นหวางจะพานางไปเอง มิต้องรบกวนกงกง”องค์ชายสิบสามกล่าวเสียงเรียบเฉย ค่อย ๆ ก้าวขาเข้าไปใกล้ และโอบอุ้มร่างกายเย็นเหยียบของเจินจิ่วหรง พร้อมหยุดสายตามองดวงหน้าใสซื่อของตงเหลียนฮวา “ต่อจากนี้ตระกูลไท่จะไม่เกี่ยวข้องอันใดกับองค์หญิงเก้าอีก พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นกบฏสังหารองค์หญิง !” เมื่อเจินจิ่วเยี่ยนกล่าวจบ ทหารจากวังหลวงก็เข้าคุมตัวคนตระกูลไท่ นอกจากไท่ฮูหยินและตงเหลียนฮวาที่โวยวาย ทุกคนล้วนยืนนิ่งอย่างสงบ ในตอนนั้นเอง หยดน้ำตาของไท่หย่งเสียนไหลอาบลงมาในที่สุด เขาปาดน้ำตาเงียบ ๆ เดินไปให้ทหารของวังหลวงจับกุม แววตาสุดท้ายของไท่หย่งเสียนที่เจินจิ่วเยี่ยนเห็น มันคือแววตาแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี เรื่องราวหลังจากนี้ องค์หญิงเก้าไม่รู้อีกแล้ว เพื่อคานอำนาจของราชสำนัก เจินจิ่วหรงถูกตีตราว่าเป็นคนของตระกูลไท่ และเพื่อไม่ให้อำนาจของกองทัพตกอยู่ในมือตระกูลไท่ เจินเซียหยางฮ่องเต้ประกาศให้ตระกูลไท่ต้องข้อหากบฏ ตามหลักฐานมากมายที่องค์ชายสิบสามหามา นี่เป็นเพียงหนึ่งในความวุ่นวายชั่วข้ามคืน เรื่องที่ทำให้ทุกข์ระทมมากกว่านั้น คือการที่เจินจิ่วหรงต้องถูกฝังร่วมในสุสานของตระกูลไท่ที่กำลังต้องข้อหากบฎ แทนการถูกฝังรวมในสุสานเชื้อพระวงศ์ เจินจิ่วเยี่ยนเหยียดรอยยิ้มร้ายกาจ พลางกล่าวกับตนเองเบา ๆ “ท่านพี่ แม้นข้าจะแสวงหาอำนาจมากเพียงใด แต่ก็อยากเห็นตระกูลไท่ย่อยยับมากกว่าเก็บพวกมันไว้ใช้งาน…” รู้ตัวอีกที หยดน้ำตาของเจินจิ่วเยี่ยนก็หลั่งรินลงมาไม่ยอมหยุดบทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต