บทสิบสี่
เปลวไฟแห่งชีวิต ข้าวของในเรือนของเจินจิ่วหรงถูกเก็บลงในหีบมากมาย ขบวนรถม้าไปยังแดนใต้ทอดยาวไปถึงหน้าประตูเมืองหลวง ไท่หย่งเสียนได้แต่มองภรรยาด้วยสายตาหวาดหวั่น หากเจินจิ่วหรงกลับไม่สนใจสักนิดเดียว เอาแต่เก็บสมบัติที่จำเป็นลงในหีบ หนึ่งในนั้นคือปิ่นขนนกกระเต็นล้ำค่าที่เจินเซียหยางฮ่องเต้ประทานให้ สถานการณ์การศึกแดนใต้ค่อนข้างสงบ เหมาะสำหรับการคลอดและเลี้ยงดูเด็กในท้องให้เติบใหญ่ เจินจิ่วหรงค่อย ๆ ทิ้งตัวนั่งบนตั่งไม้ ขณะไท่หย่งเสียนหยิบถ้วยน้ำแกงบำรุงมาให้ภรรยาดื่ม และเพื่อความปลอดภัย เขาเลือกดื่มมันก่อนคำหนึ่ง ยามเห็นว่าไม่เป็นอะไรจึงป้อนใส่ปากเจินจิ่วหรง เจินจิ่วหรงเกลียดการดื่มน้ำแกงบำรุงพวกนี้ที่สุด นอกจากรสชาติไม่อร่อยยังตอกย้ำความพ่ายแพ้ในชีวิตก่อน เพราะนางอยากมีลูกกับหย่งเสียนมาก ทุกวันและทุก ๆ วันต้องดื่มน้ำแกงบำรุงมากมาย สุดท้ายก็ไม่อาจตั้งครรภ์ได้อยู่ดี เมื่อคิดถึงสาเหตุที่นางไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกหน เจินจิ่วหรงรู้สึกเจ็บร้าวจนอยากอาเจียนออกมา ไท่หย่งเสียนคงเห็นสีหน้าพะอืดพะอมของนาง เลยรวบตัวภรรยาเข้าไปในอ้อมกอด พร้อมลูบหัวเบา ๆ “ไม่เป็นไร ข้าอยู่นี่แล้ว และจะอยู่เคียงข้างเจ้า” ไท่หย่งเสียนที่อ่อนนุ่มและอบอุ่น มีผลต่อหัวใจของนางไม่น้อย ยิ่งเขายอมถอยหนึ่งก้าว ปล่อยเจินจิ่วหรงไปแดนใต้ มันก็ยิ่งสั่นสะเทือนจนถึงหัวใจ แม้นไม่อยากเห็นท้องฟ้าและผืนหญ้าในแววตาของเขาอีกแล้ว ทว่าไท่หย่งเสียนในตอนนี้ก็เป็นราวผืนหญ้าอ่อนนุ่ม และท้องฟ้าปลอดโปร่ง อย่างน้อยเขาก็กลับมารักษาหัวใจของตนเองได้ และนั่นดีต่อตัวเขาแล้ว อย่างที่คิดเอาไว้ เศษแก้วแตกละเอียดอย่างพวกเราสมควรห่างไกลกันดีที่สุด “หย่งเสียน ฝ่ามือของท่านอบอุ่นเหลือเกิน…” เจินจิ่วหรงล้มป่วยก่อนออกเดินทางสามวัน เรื่องนี้สั่นสะเทือนไปถึงภายในวังหลวง โดยเฉพาะกับพระสนมเสียนเฟย แน่นอนว่ามิใช่เพราะองค์หญิงเก้าล้มป่วยอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องการเดินทางออกนอกเมืองหลวง แม้นนางจะบอกเจินเซียหยางฮ่องเต้แล้ว แต่กลับยังไม่ได้บอกเสด็จแม่หรือน้องสิบสามด้วยตนเอง การป่วยครั้งนี้ค่อนข้างสาหัส เจินจิ่วหรงตัวร้อนตลอดคืน นางหอบหายใจโรยริน และมีไท่หย่งเสียนค่อยกุมมือมองมาด้วยความห่วงหา เพราะกำลังตั้งครรภ์ ทำให้นางไม่สามารถกินยาบางตัว ส่งผลให้การรักษาค่อนข้างติดขัดและยุ่งยาก มีอยู่คืนหนึ่ง ร่างกายของนางไม่ร้อนอีกแล้ว มันเย็นเหยียบราวคนตาย ลมหายใจแผ่วเบาลงจนแทบสัมผัสไม่ได้ กระทั่งหมอหลวงยังบอกว่าตายมากกว่าเป็น มิใช่เป็นตายเท่ากัน ตอนนั้นจวนแม่ทัพไร้ความสงบสุข เสด็จแม่เข้าพระอารามหลวงสวดมนต์ขอพร ขณะเจินเซียหยางฮ่องเต้ถ่ายทอดราชโองการเรียบง่ายว่าหากองค์หญิงเก้าไม่รอด ใครอื่นก็อยู่ต่อมิได้เช่นกัน ! เจินจิ่วหรงผ่านความตายมาครั้งหนึ่ง นางตระหนักดีว่าช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเป็นเช่นไร และตอนนี้ยังไม่ใช่โอกาสจำต้องอำลาคนมากมาย ถึงอย่างนั้นนางก็เหนื่อยล้ามากแล้ว… แต่แล้วความอบอุ่นจากฝ่ามือหยาบกร้านของไท่หย่งเสียนก็ปลุกให้นางลืมตาตื่น แลเห็นเขากำลังร้องไห้ไม่ยอมหยุด เขา…ช่างเปราะบางเสียจริง อยู่ ๆ ก็มีอีกหนึ่งความคิดผุดขึ้นมา เด็กในท้องของนางจะร้องไห้เก่งเหมือนไท่หย่งเสียนไหมนะ หรือจะเปราะบางเช่นเดียวกับนางและเขา อนาคตจะกลายเป็นคนแบบไหน ต้องเป็นเจ้าของหัวใจคนมากมายแน่ ๆ เลย “หย่งเสียน…”นางเรียกเขาเสียงแผ่วเบา แต่กลับดังกังวานที่สุดในใจของไท่หย่งเสียน “จิ่วหรง…” “ข้าอยากเห็นเด็กคนนี้เติบโต อยากได้รับรอยยิ้มจากเขา ข้าอยากมีชีวิตอยู่ เพื่อไปสู่วันพรุ่งนี้” นี่เป็นครั้งแรกที่เปลวไฟแห่งชีวิตของเจินจิ่วหรงลุกโชติช่วงในรอบหลายปี ปลายเล็บมือเรียวยาวจิกลากลงบนอาภรณ์ฟ้าครามของไท่หย่งเสียน หยดน้ำตาไหลอาบราวสายน้ำ เขาโน้มกายกอดนางเอาไว้แน่น หัวใจของไท่หย่งเสียนจวนเจียนแตกสบาย เขาพนมมือสองข้าง เป็นคราแรกที่พร้อมกลับมาศรัทธาพระพุทธองค์ วอนขอให้เจินจิ่วหรงข้ามผ่านคืนนี้ไปอย่างปลอดภัย ยิ่งลมหายใจของนางแผ่วเบาลงเท่าไหร่ หัวใจของเขาก็สั่นไหวและแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเหยียบ สุดท้ายไท่หย่งเสียนเปล่งเสียงสะอื้น หยดน้ำตาไหลอาบลงมา จนนางต้องยกมือสัมผัสของเขา พร้อมรอยยิ้มบางเบา “ข้าไม่เป็นไรหรอก ของแค่นี้เอง” “…” “หย่งเสียน ขอบคุณนะ” ยามรุ่งอรุณมาถึง ร่างกายของเจินจิ่วหรงกลับมาอบอุ่น หนึ่งวันหลังจากนั้น พวกหมอหลวงถูกมอบรางวัลมากมาย ห้าวันหลังจากนั้น พระสนมเสียนเฟยออกจากพระอารามหลวงในที่สุด สิบสามวันหลังจากนั้น นางหายดีพอจะเดินทางไกลในที่สุด นางถูกพระสนมเสียนเฟยผู้เป็นแม่เรียกตัวเข้าวังหลวง คราวนี้อีกฝ่ายส่งองค์ชายสิบสามมากดดันถึงจวนแม่ทัพประจิม นางมองดวงหน้าสงบนิ่งของน้องชาย พลางบอกให้รั่วซินไปนำน้ำชาที่องค์ชายสิบสามชอบมา ทำให้ในเรือนเหลือเพียงนางกับเจินจิ่วเยี่ยนตามลำพัง “เสด็จแม่เป็นห่วงท่านมาก แต่ท่านพี่กลับตอบแทนนางด้วยการไม่ไปหาไม่พอ ซ้ำวันรุ่งยังคิดออกเดินทางไปแดนใต้ โดยไม่บอกข้ากับท่านแม่อีก” “ข้าบอกเสด็จพ่อไปแล้ว ไม่นานเขาจะบอกกับเสด็จแม่ด้วยพระองค์เอง”เจินจิ่วหรงตอบเสียงราบเรียบ ค่อย ๆ เหยียดขายาวออกไป “เจ้าควรสนใจเรื่องของตนเองมากกว่านะ หากข้ากับหย่งเสียนไปด้วยกันไม่รอด เจ้าจะทำอย่างไร ?” “…” ”ถ้าข้าไม่อาจเป็นฐานอำนาจให้แก่เจ้า ได้คิดเอาไว้บ้างหรือไม่ ?” องค์ชายสิบสามหลุบตาต่ำลง มองน้ำชาในถ้วยที่นิ่งสงบเหมือนกับพี่สาวของเขา พร้อมพินิจมันอย่างละเอียดว่าปรากฎรอยรั่วตรงไหนหรือไม่ ก่อนจะกล่าวเสียงเย็นเยียบ “มิน่าท่านถึงแนะนำคุณหนูรองแห่งจวนแม่ทัพบูรหาแก่ข้า เพราะต้องการให้ข้ามีฐานอำนาจเป็นของตนเอง…” สมกับเป็นน้องชายของนาง ไม่นานก็มองทุกอย่างกระจ่างชัด “อ่า…” “ข้าไม่อะไรมากหรอกนะ หากท่านพี่เป็นฐานอำนาจให้ข้ามิได้จริง ๆ”เจินจิ่วเยี่ยนระบายยิ้มบางเบา ละสายตาจากถ้วยชามามองเจินจิ่วหรงจริง ๆ จัง ๆ “แต่ถ้าเมื่อไหร่ท่านไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับข้า ถึงตอนนั้นค่อยคิดดีกว่าว่าสมควรทำเช่นไร” เจินจิ่วหรงเบิกตากว้าง ไม่คาดคิดเลยว่านอกจากมองแผนการของนางออก เขายังคิดไปถึงเรื่องราวในอีกหลายปีข้างหน้า พร้อมคาดการณ์และหวาดระแวงเต็มที่ เจินจิ่วเยี่ยน เขาเกือบจะเหมาะสมกับตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้ว หากนับเพียงความสามารถอย่างเดียว น่าเสียดายที่เสด็จพ่อมองต้องการสิ่งอื่นด้วย “ท่านพี่ต้องไม่ลืมว่ามารดาของพวกเราเป็นแค่สนม และเป็นเพียงเสียนเฟย มิใช่หว่านกุ้ยเฟย แม้นได้รับความโปรดปรานมากกว่า แต่ตำแหน่งก็ยังต่ำกว่าหนึ่งขั้น” เจินจิ่วหรงสบมองเขากลับไปอย่างไม่หวั่นเกรง “อย่างไรเจ้าก็เป็นน้องชายของข้า และเสด็จแม่ก็คือมารดาของข้าอยู่ดี” “ระหว่างไท่หย่งเสียนและข้ากับท่านแม่ ท่านพี่เลือกได้อย่างชัดเจนหรือไม่”องค์ชายสิบสามถามกลับ ในใจนึกหวาดกลัวไม่น้อยว่าพี่สาวของตนเองจะเปลี่ยนไป ทว่าสุดท้ายก็ยังได้รับรอยยิ้มอ่อนหวานเหมือนทุกครากลับมา เป็นรอยยิ้มที่สามารถมอบให้แก่เขากับเสด็จแม่เท่านั้น “พวกเรามีกันแค่สามคนแม่ลูกนะ”เจินจิ่วหรงตอบกลับด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงนุ่มนวล “จะให้ข้าทอดทิ้งครอบครัวตนเองได้อย่างไรกัน” เจินจิ่วเยี่ยนพยักหน้า เผยรอยยิ้มบางเบาออกมาในที่สุด “อือ” เขาก็ยังคงเป็นน้องชาย ที่อยากได้รับความรักจากพี่สาวอย่างเจินจิ่วหรงอยู่วันยังค่ำ อ่า…ช่วยไม่ได้จริง ๆ นะ ไท่หย่งเสียนตื่นแต่เช้า เช่นเดียวกับเจินจิ่วหรงที่ถูกรั่วซินปลุกขึ้นจากความฝัน เพื่อแต่งกายให้เรียบร้อย และเตรียมเคลื่อนขบวนรถม้าลงไปทางใต้ นางเลือกสวมอาภรณ์สีม่วงหม่นไร้ลวดลาย เรือนผมปล่อยสยายปักปิ่นระย้า เขามองนางด้วยสายตาห่วงหาสุดหัวใจ หลังองค์ชายสิบสามมาเมื่อวาน พระสนมเสียนเฟยก็ไม่ส่งจดหมายใดมาอีก มิต่างจากเจินเซียหยางฮ่องเต้ที่ไร้การเคลื่อนไหว “เจ้าออกไปก่อน”ไท่หย่งเสียนออกคำสั่ง รั่วซินมองหน้านายหญิงหนึ่งหน เมื่อเห็นสีหน้านิ่งสงบจึงออกไปตามคำสั่ง เจินจิ่วหรงปรายตามองเขา ก่อนถูกไท่หย่งเสียนโอบกอดเอาไว้แน่น ความอบอุ่นของเขาแทรกซึมผ่านอาภรณ์ยาวสลวย “ข้าขอกอดเจ้าอีกหน่อย”เขาเอ่ย คล้ายทุกอย่างถูกหยุดเวลาเอาไว้ เจินจิ่วหรงยืนนิ่งในอ้อมกอดนั้น พอคิดว่าต้องจากไท่หย่งเสียนไปไกล นางก็รู้สึกสับสนไม่น้อย อาจเพราะพวกเขาอยู่เคียงข้างกันมาหลายปี และมีแต่เขาที่มักจากเจินจิ่วหรงไปไกล เพื่อไปยังสมรภูมิ นางหวาดกลัวและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน “เมื่อไหร่ที่เจ้าต้องการข้า ไม่ว่าจะเดือดร้อนหรือไม่ ข้าก็จะไปหาทันที” ไท่หย่งเสียนกล่าวเสียงหนักแน่น ค่อย ๆ ผลักตัวออกจากร่างบอบบาง “อือ” เจินจิ่วหรงครางตอบเบา ๆ “สามปี ข้าให้เวลาเจ้าสามปีในการหาคำตอบว่ายังต้องการข้าอยู่หรือไม่ หรือต้องการแค่ข้าในบทบาทบิดาของลูกเท่านั้นกันแน่” “…” “ข้าไม่มีสิทธิ์เลือกก็จริง แต่ขอข้ากำหนดเวลาเถอะนะ ความถวิลหามันทรมานและรอนราญหัวใจของข้า” เจินจิ่วหรงมองเขา แลเห็นประกายความปวดร้าวในแววตาไท่หย่งเสียนอย่างชัดเจน การย้อนเวลาครั้งนี้ ทำให้บทบาทของพวกเขาสลับกัน คนที่เป็นฝ่ายรอกลับกลายเป็นไท่หย่งเสียน ส่วนคนที่มีสิทธิ์เลือกก็คือนาง ชีวิตของนางต้องตกเป็นตัวเลือกมาตลอด ความรู้สึกของการเป็นผู้เลือกมันดีเช่นนี้เองหรือ ? น่าหลงใหลเสียจริง ตงเหลียนฮวาแสร้งหันซ้ายแลขวาด้วยความหวาดระแวง หลังลอบเข้ามาในค่ายทหารสำเร็จ นางก็แกล้งทำเป็นหวาดหวั่นกับทุกอย่าง มองหาเพียงไท่หย่งเสียนคนเดียว แม้นเมื่อครู่จะได้พบกับมือขวาของแม่ทัพประจิม แต่นางกลับไม่ได้พบไท่หย่งเสียนสักคราเดียว และนี่ก็กินระยะเวลารวมสี่วันแล้ว เพราะมีใครบางคนจงใจปล่อยข่าวลือว่านางมีชีวิตอยู่ ตงเหลียนฮวาจึงใช้เรื่องนี้ให้เป็นโอกาสในการกลับสู่แคว้นเจินอีกหน จากเคยคิดว่าจะรั้งรออีกสองปี อย่างน้อยก็ทำให้แผนการเร็วขึ้น และยังได้พบกับไท่หย่งเสียนไว ๆ อีก การกลับมาคราวนี้ไม่เพียงแต่กลับสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของไท่หย่งเสียน ยังเป็นการทำเพื่อชาติบ้านเมือง แม้นได้ข่าวว่าเขาแต่งงานสร้างครอบครัวกับองค์หญิงเก้าไปแล้ว แต่ตงเหลียนฮวาไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างเจินจิ่วหรงจะสามารถแทนที่นางในใจของเขา ตงเหลียนฮวาสร้างบาดแผลบริเวณเรียวขาด้วยตนเอง นางแสร้งทำเป็นได้รับบาดเจ็บหนัก ดังนั้นเลยได้แต่นอนรอเวลาว่าเมื่อไหร่สวรรค์จะเมตตาส่งไท่หย่งเสียนลงมา ในที่สุดเช้าวันที่ห้า กุนซือคนสนิทของไท่หย่งเสียนก็เดินมาที่กระโจมรักษาตัวของตงเหลียนฮวา ยามเห็นดวงหน้าเรียบเฉย นางก็พยายามขยับรอยยิ้มสดใส ดวงตากลมโตทอประกาย รีบถามถึงไท่หย่งเสียนทันที “หย่งเสียนมาถึงค่ายแล้วใช่หรือไม่ เขากำลังมาหาข้าสินะ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เริ่มคิดในใจเงียบ ๆ ว่าตงเหลียนฮวาช่างหน้าด้านหน้าทน ถามถึงสามีของผู้อื่นด้วยดวงหน้ายิ้มระเรื่อเหลือเกิน ขนาดคนนอกยังมองออกว่านางคิดปีนขาเตียงท่านรองแม่ทัพกับองค์หญิงเก้า มีหรือคนอย่างไท่หย่งเสียนจะมองไม่ออก “ข้าแค่จะบอกว่าทันทีที่แม่นางหายดี พวกเราจะเริ่มการไต่สวนทันที” ตงเหลียนฮวาหน้าถอดสี พลางกล่าวเสียงแผ่วเบา “ไต่สวนข้างั้นหรือ…ไต่สวนทำไมกัน” “จู่ ๆ แม่นางก็โผล่มาที่ค่ายทหารอย่างไม่ทราบที่มาแน่ชัด อย่างไรก็ย่อมมีการไต่สวนรวมถึงสืบหาที่มาให้แน่ชัด แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นคำสั่งของท่านรองแม่ทัพ องค์หญิงเก้ายังมีความเห็นเช่นเดียวกัน” “!!!” “ท่านรองแม่ทัพกล่าวว่ารับสั่งขององค์หญิงเก้านับเป็นเรื่องสำคัญที่สุด มิอาจมองข้าม ดังนั้นข้าจึงต้องบอกแม่นางให้ชัดเจนว่าจะมีการไต่สวนในอีกเจ็ดวัน” ความจริงแล้ว การมีตัวตนอยู่ของตงเหลียนฮวาเป็นความลับสูงสุดในค่าย ท่านแม่ทัพประจิมและท่านรองแม่ทัพไม่มีทางบอกให้คนนอกกองทัพรับรู้ แม้นจะเป็นองค์หญิงเก้า แต่ยามเห็นสีหน้าหนักแน่นและแววตามั่นคง ตอนบอกให้เขาเน้นย้ำเรื่องขององค์หญิงเก้าต่อหน้าแม่นางตงเหลียนฮวา กุนซือหนุ่มก็ได้แต่โคลงหัวยอมรับ สุนัขยังต้องออกคำสั่งจึงรู้ว่าเชื่อฟังหรือไม่ แต่ท่านรองแม่ทัพไท่หย่งเสียน องค์หญิงเก้ายังไม่ทันออกคำสั่ง ก็จัดการเสียเรียบร้อย ยากจะเชื่อจริง ๆ ว่าข่าวลือเรื่องแยกกันอยู่นั้นเป็นความจริง !บทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต