บทสี่
เจ้ากับเสด็จแม่จะได้มิลำบาก เจินจิ่วหรงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก นางนั่งนิ่งท่ามกลางสายตาหลากหลายคู่ซึ่งจดจ้องมา เสียงหวานของตงเหลียนฮวาเอื้อนเอ่ยออกมามิหยุด พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลอาบลงมาทั้งสองข้างแก้ม มันช่างแลดูน่าสงสาร ทว่ากลับว่างเปล่าในสายตานาง ขณะที่นางเอาแต่นิ่งเงียบ รั่วซินกลับออกตัวปกป้องนาง ต่อเถียงกับตงเหลียนฮวามิขาดปาก หากนั่นเหมือนไร้ค่า เหล่าข้ารับใช้ส่วนใหญ่ในจวนถูกตงเหลียนฮวาซื้อตัวไป เห็นได้จากที่พวกเขากลายเป็นพยานใส่ความนางว่าผลักไท่ตงเจินตกลงไปในสระ เรียวนิ้วมือสัมผัสลงบนหว่างคิ้ว นางกัดปาก พลางลอบมองไท่หย่งเสียนครั้งหนึ่ง เขายังคงนิ่งเฉย เช่นเดียวกับไท่ฮูหยินและอดีตแม่ทัพ “ข้าต้องการความเป็นธรรม” ตงเหลียนฮวากรีดร้องเสียงแหลม หันขวับไปหาไท่หย่งเสียน “ท่านแม่ทัพ...” พวกคนตระกูลไท่ย่อมมิใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา ไท่หย่งเสียนหรี่ตาลง ก่อนโบกมือไปมา “ทุกอย่างต้องมีการตรวจสอบอย่างเป็นขั้นตอน” “มีพยานเห็นเหตุการณ์มากมาย ยังต้องตรวจสอบอะไรอีกเจ้าคะ” “ฮูหยินเป็นถึงองค์หญิงเก้า มีหรือต้องลดตัวไปทำเรื่องชั่วช้าเยี่ยงนั้น” รั่วซินกลอกตาไปมา “อย่าคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนท่าน ฮูหยินรอง” นัยน์ตาดำขลับทอประกายวาวโรจน์ เรียวนิ้วมือชี้ออกมาตรงหน้า “เป็นเพียงบ่าวไพร่ทว่ากลับไร้การสั่งสอน!” “เจ้า!” ก่อนที่จะมีสงครามเกิดขึ้น นางถอนหายใจยาวเหยียด แล้วขยับลุกโดยมิไยดีใคร เรียวขางามก้าวออกไปหมายหลบออกจากความวุ่นวายนี้ไปให้เร็วที่สุด แต่แล้วตงเหลียนฮวากลับกรีดร้องอีกครา “ท่านจะไปไหน” ปลอกเล็บสีเงินครูดลงบนอาภรณ์ นางหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับเขา เมินเฉยต่อตงเหลียนฮวาโดยสิ้นเชิง “ข้ามิได้ทำ” ไท่หย่งเสียนเพียงขมวดคิ้ว “งั้นหรือ” “เจินจิ่วหรงมิใช่คนโง่ ท่านน่าจะรู้ดี” นางเหยียดยิ้ม กล่าวเสียงเรียบ “ประการแรก หากข้าจะลงมือคงมิทำโจ่งแจ้ง องค์หญิงเก้ามีอำนาจมากมายในมือ ประการที่สอง ถ้าต้องการกำจัดเขา ข้าคงมิยอมปล่อยให้เขาออกมาจนถึงตอนนี้” เขาพยักหน้า “บางทีทั้งหมดนี่อาจเป็นแผนการของนาง ตลอดมาข้ามิเคยเข้าหาเด็กคนนั้นเลยสักครั้ง มิมีเหตุผลข้อใดเลยที่เขาต้องพุ่งตัวมาหาข้า หากจะมีก็คงเป็นมารดาของเขา” ตงเหลียนฮวาเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก “ท่านกำลังกล่าวหาข้า ช่างกลับกลอกยิ่งนัก” “อย่าคิดว่าข้ามิรู้ว่าเจ้าพยายามทำอะไร” นางก้าวประชิดตัวอีกฝ่าย ดวงตากวาดมองไปโดยรอบ “ข้ารับใช้พวกนี้ช่างมิรู้ความ กล้าใส่ความเปิ่นกง...” คำแทนตัวที่เปลี่ยนย่อมทำให้ทุกคนตระหนักรู้ดีถึงความเกรี้ยวโกรธขององค์หญิงเก้า “นำพวกมันไปโบยให้ตาย” “ท่านแม่ทัพ ! ฮูหยินรอง !” พริบตานั้นพวกเขาต่างคุกเข่าร้องขอความเมตตา ทว่ามันกลับไร้ค่า ตงเหลียนฮวาเคว้งขว้าง รีบมองหาไท่หย่งเสียน แล้วเดินไปสวมกอดเขาเอาไว้แน่น “ท่านแม่ทัพ...หย่งเสียน” ชั่วขณะหนึ่งเจินจิ่วหรงรู้สึกเหนื่อยหน่าย นางสบตาอดีตท่านแม่ทัพครั้งหนึ่ง ชายวัยกลางคนรีบเตรียมออกปากให้ ทว่ากลับถูกไท่หย่งเสียนแทรกขึ้นก่อน “โบยพวกเขาห้าสิบไม้” “ข้าบอกโบยให้ตาย มิใช่ห้าสิบไม้” ริมฝีปากสีชาดกระตุกยิ้ม นางเปล่งเสียงหัวเราะแผ่วเบา แล้วโบกมือไปมา “แต่ก็ช่างมันเถอะ” “จิ่วหรง พ่อบ้านหวังบอกว่าเจ้าจงใจมิช่วยเขา จริงหรือ” “ข้าปรารถนาจะเห็นเขาตาย ดังนั้นข้าจึงทำใจช่วยเขามิได้” ดวงตาคู่คมฉายแววผิดหวัง พลันวูบไหวอย่างรุนแรง ไท่หย่งเสียนสูดหายใจเข้าช้า ๆ “ข้าเข้าใจแล้ว” นางหลับตาลง ขยับตัวออกไป บานประตูไม้ถูกเปิดออก กระนั้นก็ทันได้ยินประโยคอันแสนไร้อารมณ์ของเขา “กักบริเวณฮูหยินรอง นับแต่นี้ให้พ่อบ้านหวังเป็นผู้ดูแลคุณชาย” หนึ่งชั่วยามต่อมา นางถึงได้ข่าวว่าไท่ตงเจินปลอดภัยดี หนึ่งวันต่อจากนั้น เจินจิ่วหรงเริ่มเก็บตัวเงียบแล้วมิไยดีสิ่งใดอีกต่อไป นางยกมือขึ้นกอดเข่า ดวงหน้าแหงนมองแสงสว่างอันน้อยนิดที่สาดส่องเข้ามาภายในห้อง ข้างกายเต็มไปด้วยไหสุรามากมาย และกระดาษคัดลายมืออันรางเลือน เรือนผมหลุดลุ่ยมิเป็นทรง นัยน์ตาเลื่อนลอยอย่างไร้จุดหมาย ความเงียบสงบเข้ากลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง เข้าสู่วันที่ห้าสิบสี่ของการเก็บตัวอยู่ในนี้ ราวถูกขังลืม กระทั่งไท่หย่งเสียนก็ยังมิมีปัญญาจะพานางออกไป และด้วยภาระงานของเขาที่ต้องออกไปร่วมรบกับองค์ชายสิบสาม ฮูหยินไท่เองก็ใช่ว่าจะกล้า ดวงหน้างามซุกลงกับหว่างขา ได้ยินเสียงหวานของรั่วซินดังจากด้านนอก “ฮูหยินเจ้าคะ ทำเช่นนี้ไปก็มิเกิดประโยชน์อันใด” พวกเขาต่างมิเข้าใจถึงเหตุผลการกระทำของนาง แต่นั่นมิสำคัญ เขากำลังผิดหวังในตัวนาง ดวงตาของเขาในวันนั้น มือเรียวหยิบไหสุราก่อนเทลง ปล่อยมันไหลลงตามลำคอ “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ฮูหยินรองต้องได้อำนาจในการดูแลจวนไปแน่เจ้าค่ะ” ดูแลจวนปรนนิบัติมารดาบิดาของสามี เรื่องเหล่านี้นางทำมาหลายปี แต่ก็ยังเป็นที่สองในใจของทุกคน “เหตุผลที่ปีนั้นข้ายอมถอยออกมา เปิดทางให้ท่านกับนาง มันเป็นเพราะข้ามิอยากให้เป็นเช่นนี้” น้ำตาของนางไหลลงมามิขาดสาย “คุณค่าความรักของข้ามีค่ามากเกินกว่าจะจบลง อย่างน้อยในเวลานั้นข้าก็มองว่าเป็นการถนอมความสัมพันธ์ของเราเอาไว้ ข้ามิอยากเป็นฝันร้ายหรือความผิดหวังของท่าน” “ฮูหยิน...” รั่วซินเพียรเรียกนางมิหยุด “พยายามมากเพียงนี้ ไฉนข้าถึงได้พ่ายแพ้ตลอด ทั้งในใจของเสด็จแม่ ในใจของท่าน ข้าแค่อยากเป็นที่หนึ่ง เป็นตัวเลือกแรก” “ฮูหยิน !” “ฮึก...” ผ่านไปอีกครึ่งปีเต็ม ทั่วทั้งของนางเต็มไปด้วยกระดาษคัดลายมือมากมาย ไหสุราถูกนำออกไปเมื่อหลายวันก่อน เจินจิ่วหรงมองเงาสะท้อนบนกระจกทองเหลือง แลเห็นเป็นสตรีที่ไร้ชีวิตชีวานางหนึ่ง อาภรณ์ถูกสวมลงบนร่างกาย เรือนผมเกล้าขึ้นสูงปักปิ่นระย้า “ท่านแม่ทัพจะกลับมาถึงวันนี้แล้วเจ้าคะ” นางเปล่งเสียงครางอย่างไร้อารมณ์ เรียวขางามเหยียดกว้าง “ออกไปได้แล้ว” รั่วซินกัดปาก ก่อนพยักหน้าครั้งหนึ่ง “เจ้าค่ะ” เจินจิ่วหรงขยับลุกขึ้น ผ้าม่านหนาทึบในเรือนถูกแหวกออก แล้วหมุนตัวกลับเดินไปที่โต๊ะไม้ เพื่อเริ่มฝนน้ำหมึก ปลายพู่กันลากลงบนผืนกระดาษขาว ข้อผิดพลาดของเจินจิ่วหรง คราแรกนางคิดว่าเมื่อบานประตูเปิดออก มันจะปรากฏเป็นร่างสูงใหญ่ของเขา ทว่ามันกลับมิเป็นเช่นนั้น เจินจิ่วหรงหรี่ตาลง จดจ้ององค์ชายสิบสามที่กำลังสาวเท้าเข้ามาด้านใน ดวงตาคู่คมกวาดมองนาง พลางกระตุกยิ้ม “ท่านดูเปลี่ยนไป...พอสมควร” นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนผินหน้าไปทางอื่น “เป็นเสด็จแม่หรือเขาที่บอกให้เจ้ามา” น้องชายของนางไหวไหล่ แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นพรม “ทั้งคู่” “อ่า” เขาหยิบไหสุราขึ้น ไล่สายตามองมันสลับกับนาง “องค์หญิงเก้ามิควรเป็นเช่นนี้” “ข้าก็เป็นตัวข้า” “นี่มิใช่ท่าน” เจินจิ่วหรงแค่นยิ้ม “นี่แหละข้า ที่พวกเจ้าเห็นมันก็แค่เจินจิ่วหรงที่สมบูรณ์แบบ” องค์ชายสิบสามนิ่งเงียบ ชายหนุ่มหลุบตาต่ำลง “ข้านึกสมเพชท่านมิใช่น้อย” “ข้าสมเพชและเวทนาตนเองทุกวัน” “แล้วก็มิเข้าใจเหตุผลในการขังตนเองอยู่ในนี้ ไท่หย่งเสียนใช่ว่าจะมิดี เขาดีต่อท่านเพียงนี้ หากเป็นเรื่องอนุภรรยา นั่นเป็นธรรมดาสำหรับบุรุษ ไฉนท่านถึงได้เอาแต่ทำตัวน่าสมเพช มิก้าวออกมา” เดิมทีเขาคิดว่าพี่สาวอาจจะโกรธ กระนั้นกลับมีเพียงริมฝีปากที่หยันขึ้นเป็นรอยยิ้ม “เจ้ามิเข้าใจข้า มิมีทางเข้าใจ” “ข้าย่อมมิเข้าใจความน่าสมเพชของท่าน” “เมื่อก่อนข้าเคยเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ เป็นที่หนึ่งหาใครเสมอเหมือนในใจของเสด็จแม่” ไหสุราถูกยกขึ้นระดับสายตา “รักใคร่กลมเกลียว ทว่ายามเจ้าออกมา ฐานะของข้าก็กลายเป็นที่สอง” องค์ชายสิบสามหรี่ตาลง “ตอนนั้นข้าคิดว่ามันเป็นเพราะข้ายังมีข้อผิดพลาด ต่อมาจึงได้พยายามเป็นเจินจิ่วหรงที่สมบูรณ์แบบ เป็นเด็กดีของเสด็จแม่” หยาดน้ำเมารินรดลงบนพื้น “หากท้ายที่สุดแล้ว ข้าก็ยังเป็นที่สอง ทั้งที่พยายามมากเพียงนั้น” “ข้ามิได้มาเพื่อฟังท่านพูดเรื่องนี้” “ข้าหวาดกลัวว่าต่อไปอาจมิได้รับความรักจากเสด็จแม่อีก กระทั่งสมบูรณ์แบบแล้วก็ยังเป็นที่สอง หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาข้าอาจมิอยู่ในสายตาของเสด็จแม่” ร่างสูงใหญ่เลื่อนตัวบดบังแสงสว่าง ฝ่ามือหยาบกร้านบีบหัวไหล่บอบบาง “ตั้งสติ ท่านต้องลุกขึ้น สตรีนางนั้นก็แค่สามัญชน ขณะที่ท่านเป็นองค์หญิงเก้า หาได้มีสิ่งใดด้อยกว่าแม้แต่น้อย” นางเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น “กระนั้นแล้วเขาก็ยังมิรักข้าอยู่ดี ตลอดมาข้ารู้ว่าควรทำอะไรและมิควรทำอะไร” “จิ่วหรง” “ข้าควรอยู่ในนี้ ดื่มสุราแล้วก็มึนเมา” เพี๊ยะ! ดวงหน้างดงามสะบัดไปตามแรงตบ ตามด้วยกลิ่นคาวของเลือดที่คละคลุ้งภายในช่องปาก นัยน์ตาเรียวดั่งหงส์เบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นตระหนก ค่อย ๆ หันกลับมามองอีกฝ่าย “ลุกขึ้นมาซะ !” ณ ตอนนั้น ดวงตาดำขลับทอประกายวาวโรจน์ เรียวนิ้วมือกำเข้าหากันแน่น ก่อนตวาดลั่นราวเสียสติ “ทั้งหมดที่เจ้าทำก็แค่เกิดเป็นบุรุษ !” “เจินจิ่วหรง...” “ที่บอกให้ข้าลุกขึ้นมา เพื่ออะไร” “...” “ถ้าข้าลุกขึ้นมาแล้ว เขาจะหย่ากับตงเหลียนฮวา เขาจะมอบความรักให้ข้า และเด็กคนนั้นจะหายไป เราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมงั้นหรือ ความจริงแล้วมันมิมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสักอย่างเดียว ทำไมข้าต้องทำเรื่องพวกนั้น เรื่องไร้ค่าเช่นนั้น” “อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้” นางส่ายหน้า ก่อนขยับตัวขึ้นเดินไปที่ชั้นหนังสือแล้วหยิบแผ่นกระดาษมากมายออกมา “รู้ไหมว่าข้าเอาแต่คิดเรื่องอะไร” องค์ชายสิบสามหรี่ตาลงอย่างหวาดระแวง “เรื่องอะไร” “วิธีการกำจัดตงเหลียนฮวาและลูกของนาง ข้าเป็นองค์หญิงเก้านี่ ข้ามีอำนาจ การกำจัดสามัญชนไร้ค่าผู้หนึ่งคงมิยากนักหรอก” “...” “แต่ถ้าทำเช่นนั้น ไท่หย่งเสียนต้องรู้แน่ ถึงตอนนั้นเขาจะผิดหวังในตัวข้า ลงโทษข้า นอกจากนั้นตระกูลไท่คงมิยอมสนับสนุนเจ้าอีก มีแต่ผลเสีย” “ท่านกำลังถลำลึก” กระดาษขาวร่วงหล่นลงมา นางเอ่ยเสียงสั่น “ข้าเป็นมนุษย์ ต่อให้พยายามทำตนเองให้สมบูรณ์เพียงใด ข้าก็มิอาจหยุดยั้งความริษยาของตนได้ ข้าเคยต่อว่านางร้ายในวรรณกรรมถึงการกระทำอันไร้เหตุผล ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ข้ากลับเข้าใจว่าทำไม บางอย่างชอนไชหัวใจของข้า” ท้ายที่สุดแล้วนางก็เริ่มร้องไห้ “เพราะข้ารู้ว่าตนเองต้องเป็นเช่นนี้ ปีนั้นข้าถึงได้ถอยหนี มิเคยบีบบังคับเขา ข้าทำทุกอย่างตามความถูกต้อง แต่ข้าก็ยังตกอยู่ในสภาพนี้” “...” “ถ้าเกิดตงเหลียนฮวาไม่โผล่หัวมา ถ้านางตายไปจริง ๆ ครอบครัวของข้าก็ยังเหมือนเดิม เจ้ามิรู้หรอกว่าข้ายินดีมากเพียงใด ตอนได้ยินว่านางตาย” “พอได้แล้ว เจินจิ่วหรง” ปลายนิ้วมือสั่นระริก “ดังนั้นข้าควรอยู่ใน อย่าออกไปข้างนอกนั้น การขาดสติครั้งเดียวของข้าอาจทำให้ทุกอย่างพัง กลายเป็นฝันร้าย ไร้ฐานอำนาจ เจินจิ่วหรงจะต้องมิทำผิดพลาดเช่นนั้น” ร่างอรชรทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนยกมือขึ้นกอดเข่า แลเห็นว่าองค์ชายสิบสามขยับเข้ามาใกล้ “ขอเวลาอีกห้าปี ถ้าข้าได้เป็นองค์รัชทายาทเมื่อไหร่ ท่านก็หย่ากับเขาซะ กลับมาเป็นพี่สาวที่สง่างามของข้า” ห้าปีงั้นหรือ “ข้าทนขนาดนั้นมิได้แน่” นางขยับยิ้มบางเบา ฝ่ามือทาบบนข้างแก้มของเขา “ข้าหาทางออกให้ตนเองได้แล้ว มิต้องห่วงเขาจะยังเป็นฐานอำนาจของเจ้า” “...” “แต่ข้าอาจต้องใช้เวลาตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อม เจ้ากับเสด็จแม่จะได้มิลำบาก”บทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต