Share

บทห้า

last update Last Updated: 2025-09-17 18:47:07

บทห้า

ข้าเลือกปลายทางของตนเอง

สิ่งใดกันที่สำคัญต่อการได้รับความรัก เป็นที่หนึ่ง ตัวเลือกแรกในใจของผู้คน

นั่นคือคำถามที่ตั้งไว้เพื่อตนเองของนาง แผ่นหลังบอบบางเหยียดตัวพิงไปปกับเก้าอี้ไม้ตัวยาวด้านหลัง ใบไม้แห้งโปรยปราย มวลบุปผาต่างโรยรา รวมไปถึงอากาศหนาวเย็น และความแห้งแล้ง สัญญาการมาเยือนของฤดูใบไม้ร่วงอันแสนหม่นหมอง

นัยน์ตาเรียวดั่งหงส์หรี่ลง ปลายนิ้วมือสัมผัสลงบนเรือนผมซึ่งถูกปล่อยสยาย ก่อนออกแรงสางมัน แลเห็นเงาร่างของรั่วซินยืนอยู่ตรงบานประตู นางกะพริบตาสองสามครั้ง ก่อนเปล่งเสียงแผ่วเบา พลันตระหนักถึงลำคอที่แห้งเหือดราวขาดน้ำมานาน “ข้าอยากล้างหน้า”

อาจเป็นประโยคแรกที่บอกความต้องการในรอบหลายวัน รั่วซินเบิกตากว้างขึ้นอย่างตื่นตระหนก ตามด้วยรอยยิ้มที่ขยับกว้าง แล้วรีบทำตามคำสั่งของนาง “เจ้าค่ะ ฮูหยิน”

เพียงมินานก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ เจินจิ่วหรงมองเงาสะท้อนบนผืนน้ำ พลางสูดหายใจเข้าช้า ๆ กวักของเหลวสีใสขึ้นชโลมทั่วดวงหน้า พริบตานั้นสามารถจมดิ่งไปกับภวังค์ได้อย่างง่ายดาย ดวงตาไร้แววเริ่มเจือด้วยอารมณ์ “รั่วซิน ท่านแม่ทัพล่ะ”

หลายวันก่อนไท่หย่งเสียนมาหานาง กล่าวให้ถูกมันเป็นครั้งที่สามหรือสี่ ก่อนหน้าจะไปรบเขาก็เคยมาหานาง แล้วก็หายไปเพราะภาระงานของเขา ทว่ามันกลับไร้ประโยชน์โดยสิ้นดี เมื่อนางมิต้องการพบ เข้ามาเขาก็เห็นเพียงเจินจิ่วหรงที่เลื่อนลอย ไร้สติ มึนเมากับสุรา กระนั้นความพยายามของไท่หย่งเสียนนับว่ายอดเยี่ยม

“บ่าวยังมิเห็นเจ้าค่ะ” รั่วซินเอ่ยมิเต็มเสียง หลุบตาลงต่ำ “ได้ยินว่าหลายวันมานี้ ภาระงานของแม่ทัพมากมายนัก มิแน่ว่า…”

แต่เขาคงเริ่มเบื่อหน่ายแล้วกระมัง

“ข้าต้องการเครื่องประทินโฉม อาภรณ์สีม่วงปักลายดอกเบญจมาศ” นางกล่าวเสียงเรียบ ก่อนขยับลุกขึ้น ตามด้วยผ้าม่านผืนหนาที่ถูกเปิดออกให้แสงสว่างสาดส่องเข้ามาด้านใน “แล้วก็รองเท้าสักคู่”

“ฮูหยินหรือว่าท่านจะ…”

นางชำเลืองมองจดหมายมากมายบนพื้น “ข้าจำเป็นต้องออกไปแล้ว”

จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย

ฝ่ามือทาบลงบนผนังเย็นชื้น “เจินจิ่วหรงเลือกจุดจบให้ตนเองเสมอ”

และนางได้เลือกแล้ว

นานเท่าไหร่ที่มิได้ออกมายังโลกภายนอก คำตอบนั้นอาจดูได้จากสายตาของผู้คนที่จดจ้องมาอย่างตื่นตระหนก ตั้งแต่สาวใช้เป็นจนถึงพ่อบ้านหวัง ตกใจที่สุดคงมิพ้นตงเหลียนฮวา นางเพียงมองอีกฝ่ายด้วยความเฉยชา ปลอกเล็บสีเงินครูดลงบนลำแขนของรั่วซิน สาวใช้คนสนิทรู้ดีเสมอว่าควรทำอย่างไรเพื่อความพอใจของนาง

อาภรณ์สีแดงที่สวมลงบนเรือนร่าง เครื่องประทินโฉมที่มากเกินตำแหน่งฮูหยินรอง

หากเป็นเมื่อก่อน นางอาจจะต่อว่าและไยดี

“ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”

“อากาศเย็นแล้ว ข้าอยากรีบไปหาหย่งเสียน” เรียวขางามเตรียมขยับก้าวออกไป ทว่าเสียงเล็กแหลมจากตงเหลียนฮวากลับแทรกขึ้น กระนั้นแล้วก็มิสามารถหยุดยั้งฝีเท้าของนางได้

“องค์หญิงเก้า”

“หากเจ้ามิหยุดส่งเสียง เปิ่นกงจะให้คนโบยเจ้าจนกว่าจะตาย”

เพียงประโยคที่เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ ทั่วทั้งร่างกายพลันสะท้าน ตงเหลียนฮวากัดปาก สัญชาตญาณบางอย่างกำลังกรีดร้องว่าสตรีตรงหน้าอันตราย และนางพร้อมที่จะทำตามคำพูดนั้น แม้นรั่วซินยังรับรู้ได้มิต่างกัน สาวใช้ร่างเล็กลอบมองนายสาวครั้งหนึ่ง รีบหลบเลี่ยงสายตาอย่างว่องไว

เสมือนกับว่าองค์หญิงเก้ามิได้ไยดีสิ่งใดอีกต่อไป

ระยะทางไปยังเรือนหลักมิเคยสั้นเท่านี้มาก่อน ยามผลักประตูเข้าไปด้านใน นางกับพบว่าเป็นจังหวะเดียวกับที่ไท่หย่งเสียนเตรียมออกมา ครั้นเห็นพ่อบ้านหวังยืนอยู่ด้านหลังกับดวงตาคู่คมที่วูบไหวของเขา คาดเดามิยากเลยว่าเพราะเหตุใด

เจินจิ่วหรงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา ริมฝีปากสีชาดแย้มยิ้มอ่อนหวาน “ข้าเคยถามตนเองว่าทำไมถึงได้ยอมทำตามความต้องการของผู้อื่น แท้จริงมันมิใช่เพราะการเสียสละ”

ไท่หย่งเสียนขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขามิเข้าใจคำพูดของนาง กระนั้นกลับสวมกอดนางแน่น “จิ่วหรง…เจินจิ่วหรง”

“เมื่อนึกว่าในอนาคตจะไร้คนร่วมฉลอง ข้ากลับรู้สึกเดียวดายยิ่งนัก บางครั้งมันก็จำเป็นต้องยอมเสียสละครึ่งหนึ่ง” ตอนนั้นร่างกายของเขาสั่นระริกอยู่ในอ้อมแขน เจินจิ่วหรงสอดมือเข้าไปใต้เส้นผมดำขลับ ก่อนออกแรงดึงรั้ง “เพราะใต้หล้ามิมีใครที่จะยอมรับเราได้ทั้งหมด กระทั่งชีวิตคู่ยังต้องปรับเปลี่ยนร่วมกัน”

“เจ้าหมายถึงอะไร”

นางขยับยิ้มกว้างขึ้น “ข้าอยากเป็นที่จดจำ มิว่าจะยามเป็นหรือตาย”

การดันทุรังจะทำให้เรายิ่งพังลงไป ดังนั้นข้าจะนิยามมันว่าการถนอมความรักและความเห็นแก่ตัว

ไท่หย่งเสียน

ท่านจะต้องจดจำจุดจบของข้าให้ดี รู้สึกผิดกับมันชั่วชีวิต จนมิสามารถมอบความรักให้ใครได้อีก

ไท่หย่งเสียนจับตามองนางทุกฝีก้าว บางทีเขาอาจคิดว่านางกำลังฆ่าตัวตาย

ปิ่นหยกถูกเสียบลงบนเรือนผม ริมฝีปากแต้มด้วยสีชาด ดวงหน้าคมคายคลอเคลียอยู่ข้างตัว เจินจิ่วหรงชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่ง ก่อนฝ่ามือหยาบกร้านทาบลงบนเรียวแขน ตลอดมาเป็นนางที่ไล่ตามไท่หย่งเสียน เฝ้ามองแผ่นหลัง และไยดีเขาอยู่เสมอ การขังลืมตนนานนับหลายเดือน คงทำให้เขาหวาดหวั่นมิใช่น้อย หาไม่คงมิทำตัวคล้ายคลึงสัตว์สี่เท้า

ริมฝีปากบางของเขาประทับลงมาบนกลีบปาก นางพยายามหอบหายใจ ภาพตรงหน้าพร่ามัว หยาดเหงื่อไหลซึมลงมา เล็บจิกลากลงบนอาภรณ์ ทั้งหมดคือการคิดทบทวน คิดแล้วคิดอีก หลายคราจนกว่าจะได้คำตอบที่แน่ชัด ตอนนั้นนางกำลังคิดถึงอะไรกันแน่

คะนึงถึงอดีตหรือความสัมพันธ์อันแสนยาวนาน

การควบคุมให้ไท่หย่งเสียนอยู่ในสายตามิใช่เรื่องยาก เช่นเดียวกับการทำให้เขาตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว

“ข้าขอโทษ”

, หนึ่งในสิ่งที่นางเกลียดชังที่สุดคือความเห็นอกเห็นใจของเขา ไท่หย่งเสียนมิเคยเข้าใจอะไรเลยสักอย่างเดียว

นางหลับตาลง ผินหน้าไปทางอื่น “ข้าหน่ายกับประโยคนี้ของท่านแล้ว”

เขาสบตานาง แลเห็นอะไรมากมายระหว่างพวกเขาฉายชัดอยู่ภายในนั้น “งั้นหรือ”

“ใช่ เบื่อแล้ว ลืมแล้วด้วย”

พริบตานั้นอาภรณ์เลื่อนตกลงไป ร่างเปลือยเปล่าปรากฏสู่สายตาของเขา เรียวขางามขยับถอยหนี ปิ่นปักผมถูกดึงออก เส้นผมดุจแพรไหมลู่ตกลงมา นางยกมือขึ้นกอดตนเองแน่น ไท่หย่งเสียนจดจ้องนางมิละสายตา ก่อนอาภรณ์ของเขาจะถูกปลดออกเช่นเดียวกับนาง

“เมื่อก่อนข้าเคยเฝ้ามองท้องฟ้าและผืนหญ้าที่ท่านบอกว่ามันเป็นของข้า”

เขากำลังขยับเข้ามาใกล้

“เคยพยายามมากมายเพื่อพิชิตใจผู้คน” เจินจิ่วหรงขยับยิ้ม “หนทางสู่การได้รับความโปรดปรานยังเห็นชัด ทว่าหนทางของการเป็นที่หนึ่งในใจคนนั้นช่างรางเลือน”

ปลายนิ้วมือสัมผัสบนข้างแก้ม “เจ้าช่างเปรียบเทียบเหมือนเคย แต่ข้าก็ยังมิเข้าใจอยู่ดี”

“แต่มิได้คาดหวังว่าท่านหรือจะเข้าใจ” นางกล่าว ก่อนเป็นฝ่ายจูบเขาด้วยตนเอง “มิจำเป็นต้องเข้าใจโสมมของข้าหรอกนะ”

“จิ่วหรง…”

เป็นครั้งแรกในรอบเดือนที่นางเดินทางมาหาเสด็จแม่ถึงในวังหลวง เหล่าข้ารับใช้ตื่นตกใจมิต่างจากที่จวนแม่ทัพ ทว่าผู้ที่ควรตกใจมากที่สุดอย่างเสด็จแม่กลับนิ่งเฉย ดูเหมือนว่าคงรู้เรื่องนี้จากองค์ชายสิบสาม หรือจากคนอื่นมาก่อนแล้ว หูตาของเสด็จแม่กว้างไกลเสมอมา ร่างอรชรขยับลุกขึ้นแล้วสวมกอดนาง แม้นสีหน้าจะยังยิ่งเฉย ทว่าอ้อมกอดนี้กลับรัดแน่นขึ้น มากที่สุดเท่าที่เคยได้รับมาก่อน

นัยน์ตาเรียวดั่งหงส์หรี่มองแสงสว่างซึ่งกระทบกับเครื่องเรือน แล้วได้แต่ยกมือกอดตอบ ราวคนไร้สติที่เลื่อนลอย รู้ตัวอีกที เสด็จแม่ก็นั่งอยู่หน้ากระจก เส้นผมปล่อยสยายลงมา หมายให้นางเกล้ามวยและปักปิ่นให้ เจินจิ่วหรงกะพริบตาครั้งหนึ่ง ก่อนกวาดมองเครื่องประดับภายในกล่อง

สิ่งแรกที่เห็นคือปิ่นดอกไม้ขนนกกระเต็นขององค์ชายสิบสาม กับอย่างอื่นที่ปะปนกันไป ครั้นไล่หาของตนที่เคยให้เมื่อปีนั้น จึงได้เห็นว่ามันซุกซ่อนอยู่ด้านในสุด คงมิคอยได้หยิบออกมาใช้

“เจ้าขังลืมตนเองเช่นนั้น แม่เป็นห่วงยิ่งนัก” พระสนมเสียนเฟยเอ่ยเสียงแผ่ว “จิ่วหรง นั่นมิใช่วิธีการที่เหมาะสมหรือฉลาดเสียเท่าไหร่”

นางตัดสินใจหยิบปิ่นของตนขึ้นมา เริ่มเกล้าผมให้แก่มารดา “ดูเสด็จแม่จะมิคอยได้หยิบปิ่นของลูกออกมาใช้”

“องค์ชายสิบสามไปหาเจ้า เขาบอกว่าเจ้ามิยอมฟังสิ่งใดเลย” เหมือนเสด็จแม่จะมิได้ไยดีที่จะถ้อยคำของนาง นัยน์ตาคู่นั้นทอประกายวาวโรจน์ “แต่เจ้าต้องฟังแม่”

“ลูกเลือกวิธีการที่สมควรและเหมาะสมอยู่เสมอ” นางมองเงาสะท้อนในกระจก “วิธีการที่คนต่างมองว่าเหมาะสมและฉลาด”

“เจ้ากำลังเถียงแม่” น้ำเสียงของเสด็จแม่เข้มขึ้น “นั่นมิใช่พฤติกรรมของเด็กดี เจินจิ่วหรง”

“ทว่าพวกเขาทั้งหลายต่างเป็นเพียงผู้พูด มิใช่คนที่ต้องร่วมยอมรับผลกระทบในอนาคต หรือทรมานไปพร้อมกัน”

องค์หญิงเก้าเคยหวาดกลัวเสมอเมื่อต้องโต้เถียงกับมารดา

“ลูกก็แค่เลือกในสิ่งที่ตนเองมีความสุข แล้วก็มิได้ส่งผลกระทบอะไรมากนัก” ปิ่นปักผมถูกเสียบลงมา “แม่ทัพประจิมก็ยังคงสนับสนุนองค์ชายสิบสาม มิใช่หรืออย่างไรเพคะ”

ปลอกเล็บสีทองครูดลงบนโต๊ะ พระสนมเสียนเฟยกัดริมฝีปากของตนแน่น “อีกแค่ห้าปีเท่านั้น เจ้าต้องอดทนให้ได้ เพื่อแม่กับองค์ชายสิบสาม”

นางย่อตัวตรงหน้าของเสด็จแม่ เรียวนิ้วมือทั้งสิบสัมผัสดวงหน้างดงาม “จิ่วหรง นี่คือความปรารถนาของแม่ เจ้าต้องมิทำให้มันพังพินาศ อดทนเพื่อแม่ได้หรือไม่”

“ลูกใกล้จะเสียสติอยู่แล้ว”

“…”

น้ำตาไหลอาบลงมา “เด็กดีของเสด็จแม่ พยายามอย่างถึงที่สุด”

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สุรากลายเป็นสหายข้างกายองค์หญิงเก้า สุราหนึ่งจอก กับพู่กันและหยาดน้ำหมึก เจินจิ่วหรงยกมือขึ้นปิดปาก จดหมายสามฉบับถึงเหล่าคนสำคัญวางเรียงอยู่ด้านหน้า ก่อนถูกทับด้วยไหสุรา ร่างสูงสง่าขององค์ชายสิบสามยืนอยู่ตรงหน้า ริมฝีปากบางเฉียบเม้มเป็นเส้นตรง สีหน้ามิบ่งบอกอารมณ์

“ข้านึกว่าท่านจะดีขึ้นกว่าเดิม” เขากล่าวเสียงเรียบ กวาดสายตามองนาง “แต่ดูแล้วจะมิต่างออกไปเท่าไหร่นัก”

“เจ้าควรกลับไปได้แล้ว” นางโบกมือไปมา ดวงหน้าแดงระเรื่อ “ผลาญช่วงเวลาไปกับการได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างไรเล่า”

“ท่านคิดจะทำอะไร”

นางขมวดคิ้ว “กำลังคิดว่าอาจต้องเขียนจดหมายสารภาพผิดอีกสักฉบับ”

ณ ตอนนั้นนางเริ่มเปล่งเสียงร้องเพลง เคลื่อนตัวไปทีกูเจิงแล้วดีดมัน บรรเลงทวงทำนอง แม้นองค์ชายสิบสามก็คร้านจะพูดกับนาง ผ่านไปครึ่งชั่วยามเขาถึงได้หนีหายไปในที่สุด ดวงตะวันลาลับไปจากท้องนภา แทนทีดวงจันทรานวลลออ นางขยับยิ้มอ่อนหวาน ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น เรียวขางามเหยียดกว้างออกไป

เจินจิ่วหรงหลับตาลง รับรู้ถึงเสียงฝีเท้าของเขา ปรกติแล้วเขาควรอยู่กับตงเหลียนฮวา นึกย้อนอีกทีฝ่ายตรงข้ามก็มักชอบเก็บเขาไว้คนเดียวในวันของนาง นัยน์ตาเรียวดั่งหงส์ปรือขึ้น ไท่หย่งเสียนทรุดตัวนั่งลงข้างนาง เขาหยิบไหสุราก่อนรินมันลงในจอก โดยไร้คำพูดใด

“ข้าสงสัยเรื่องหนึ่งมาโดยตลอด แม้นจะพยายามตรวจสอบเท่าใด ก็ยังมิได้รับคำตอบ”

นางโคลงหัวลง ตัดสินใจนอนลงบนตักอุ่นของเขา เพื่อจดจ้องว่าเขากำลังปดนางหรือไม่ ฝ่ามือบอบบางลูบบนหน้าท้องแบนราบ “ทำไมข้าถึงตั้งครรภ์มิได้เลยนับแต่นั้น ทั้งที่หมอหลวงบอกว่าข้าแข็งแรงดี จะว่าท่านไร้ความสามารถ ตงเหลียนฮวาก็ตั้งครรภ์ไปแล้ว”

สุราสีใสไหลลงมาตามลำคอ ไท่หย่งเสียนวางจอกสุรา ก้มหน้าสบตานาง “นั่นสำคัญด้วยหรือ ท้ายที่สุดเจ้าก็ยังเป็นภรรยาของข้า”

“มิคิดหรือว่าข้าควรได้รับคำตอบกลับมา”

นึกหวาดหวั่นกับความจริง

เขาถอนหายใจยาวเหยียด “แท้จริงแล้วปีนั้นหมอหลวงบอกข้าว่าเจ้าจะตั้งครรภ์มิได้อีก เพื่อกันมิให้เกิดปัญหาในอนาคต ข้าจึงคิดว่ามิควรบอกความจริง ปล่อยให้เรื่องนี้ถูกลบหายไป”

“…”

“เจินจิ่วหรง จะได้มิมีข้อตำหนิ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • จิ่วหรง   บทสุดท้าย

    บทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห

  • จิ่วหรง   บทยี่สิบแปด

    บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ

  • จิ่วหรง   บทยี่สิบเจ็ด

    บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว

  • จิ่วหรง   บทยี่สิบหก

    บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่

  • จิ่วหรง   บทยี่สิบห้า

    บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร

  • จิ่วหรง   บทยี่สิบสี่

    บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status